ส่วนทสี่าม
เอกสารจากการจัดศาสนเสวนาทบู ิงเงน
 
“ศาสนาอบั ราฮัมท้งั สาม: การเปลยี่ นแปลงขนานใหญ่ในประวตั ิศาสตร์ – ความท้าทายในปัจจุบัน 
วนั ที่ 7 – 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2550, เมืองทบู ิงเงิน, เยอรมณี 
 
ศาสนาอบัราฮัมท้งัสาม
การเปลยี่ นแปลงในอดีต – ความท้าทายในปัจจุบัน 

 

บรรยายโดยศาสตราจารย์ ฮันส์ คุง 
ศาสตราจารย์เกยี รติคุณ, มหาวทิ ยาลยั ทบู ิงเงน 

1.ศูนยก์ ลางและรากฐานแห่งการยดึ ถือ 
2.การเปลี่ยนแปลงครังยงิใหญ่ที่เปลี่ยนแปลงยคุสมยั
3. ความทา้ ทายในปัจจุบนั
4. ศาสนาทงั สามที่มีส่วนสนบั สนุนต่อหลกั จริยธรรมโลก 

บทนา 
เรากาลงั เผชิญกบั ภยั ของ ความระแวงสงสัยแบบเหมารวม เพียงแต่คราวน้ีไม่ไดม้ ีต่อชาวยิวแต่เป็ นชาวมุสลิม พวกเขาดูเหมือนวา่ ถูกปลุกปันจากศาสนาและอาจเป็นพวกหวั รุนแรงไดท้ งั นนั แต่ในทางกลบั กนั พวกคริส เตียน ถูกมองว่า เพราะพวกเขาไดร้ ับการสังสอนจากศาสนา จึงดูเหมือนเป็นพวกไม่นิยมความรุนแรง รัก ความสงบสนั ติและน่ารัก...ซ่ึงดูแลว้ ช่างดีเหลือเกิน! 
  แน่นอนว่าจริงๆแลว้ มีปัญหาอยู่มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิงในทวีปยุโรปซ่ึงมีชนกลุ่มน้อยชาว มุสลิมขนาดใหญ่อาศยั อยู่ แต่ลองพิจารณากนั อยา่ งยตุ ิธรรมสักนิด แน่นอนวา่ พวกเราซ่ึงเป็ นพลเมืองของรัฐ ในระบอบการปกครองตามหลกั รัฐธรรมนูญแบบประชาธิปไตย ย่อมปฏิเสธการแต่งงานแบบคลุมถุงชน การกดข่ีผหู้ ญิง การฆ่าเพื่อรักษาเกียรติศกั ด์ิศรี (เช่น กรณีหญิงชายต่างวรรณะ ต่างศาสนา หรือแมแ้ ต่พวกที่ สืบสายเลือดใกลช้ิดเป็นเครือญาติแต่งงานกนั ซ่ึงเป็นสิงท่ีสังคมหรือคนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับหากด้ือแพ่งก็ จะถูกทาโทษดว้ ยการสังหาร) และพฤติกรรมทารุณโหดร้ายไร้มนุษยธรรมที่พน้ สมยั ในนามของการรักษา ศกั ด์ิศรีความเป็นมนุษย์ แต่ชาวมุสลิมส่วนใหญ่ที่อยู่ร่วมกบั เรากลบั กระทาเช่นท่ีว่ามา พวกเขาตอ้ งทน ทุกข์จากความจริงที่ว่าคาตราหน้านันเป็นกระทาอย่างเหมารวมต่อมุสลิมงัหลายและต่อศาสนา อิสลามโดยรวม โดยไม่มีการแยกแยะ พวกเขาไม่ไดม้ องตวั เองในแบบท่ีเรามีต่อศาสนาอิสลาม เพราะ พวกเขาตอ้ งการท่ีจะเป็นพลเมืองผภู้ กั ดีต่อศาสนาอิสลาม 
  ลองพิจารณากนั อยา่ งยตุ ิธรรมอีกสกั นิดผทู้ ่ีทาให้อิสลามตอ้ งกลายเป็นผรู้ ับผดิ ชอบต่อการลกั พา ตวั การโจมตีพลีชีพ คาร์บอมบแ์ ละการฆ่าตดั หวั ก็คือพวกหวั รุนแรงหูตามืดบอดเพียงไม่ก่ีคน ขณะเดียวกนั ควรจะตอ้ งประณามคริสตศ์ าสนาหรือศาสนายดู ายต่อการกระทาทารุณโหดร้ายป่าเถื่อนต่อนกั โทษ การโจมตีทางอากาศและการโจมตีดว้ ยรถถงั (ซ่ึงคร่าชีวิตพลเมืองเฉพาะในอิรักประเทศเดียวกว่า 10,000 คน ) โดยการกระทาของกองทพั สหรัฐ และประณามการก่อการร้ายของกองทพั อิสราเอลในการบุกเขา้ ยึด ครองปาเลสไตน์เช่นกนั หลงั จากสงครามสามปีผา่ นไปชาวอเมริกนั ส่วนใหญ่ก็ตระหนกั แลว้ วา่ ผทู้ ี่กาลงั ก่อ สงครามชิงนามนั และอานาจการปกครองในตะวนั ออกกลางและภูมิภาคอื่นๆ โดยอา้ งวา่ เป็น สงครามเพ่ือ ประชาธิปไตยและ สงครามต่อตา้ นการก่อการร้ายนั กาลงั พยายามหลอกลวงชาวโลก แมว้ ่าจะไม่ ประสบความสาเร็จก็ตาม 
  ใน งานบรรยายหลักจริยธรรมสากล ครังท่ี 3 ณ เมืองทูบิงเงน ปี 2003 เลขาธิการใหญ่ สหประชาชาติ นายโคฟี อนั นาน เน้นยาว่า ไม่มีศาสนาหรือความเชื่อใดทงั สินท่ีสมควรถูกประณาม เนื่องจากความหลงผิดทางศีลธรรมของเหล่าผนู้ บั ถือ ยกตวั อย่างเช่น หากว่าผมซ่ึงเป็นชาวคริสเตียนคน หน่ึงไม่อยากจะถูกตดั สินจากการกระทาของเหล่านักรบครูเสดหรือศาลศาสนา ผมก็สมควรที่จะตอ้ งใช้ ความระมดั ระวงั อยา่ งท่ีสุด ในการลงความเห็นต่อความเช่ือของผอู้ ื่นจากการกระทาที่ผกู้ ่อการร้ายเพียงไม่ก่ี คนกระทาในนามของความเชื่อเหล่านนั ” 
  ดงั นนั ผมถึงอยากถามคุณวา่ เรายงั สมควรดารงแนวคิดแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ที่รังแต่จะพาเราให้ จมลึกลงในความทุกขย์ ากดงั กล่าวต่อไปหรือไม่
  ไม่ควร ดงั นนั จึงจาเป็นที่จะตอ้ งมีเจตคติพ้ืนฐานต่อความรุนแรงและสงครามเป็นอยา่ งอื่นซ่ึงส่วน ใหญ่คนทุกคนในทุกๆท่ีต่างก็ตอ้ งการเช่นกนั ยกเวน้ ก็แต่ ในอาหรับบางประเทศรวมทงั ในสหรัฐอเมริกา ดว้ ย คนเหล่านนั ถูกชกั จงู ใหห้ ลงทางโดยรัฐบาลที่หมกมุ่นและมืดบอดในอานาจและจิตใจถูกปิ ดกนั ดว้ ยสื่อ ท่ีเตม็ ไปดว้ ยคตินิยมและผปู้ ลุกระดมเท่านนั 
  มีการใชค้ วามรุนแรงโดยอาศยั สัญลกั ษณ์พระจนั ทร์เส้ียว รวมทงั สัญลกั ษณ์กางเขน โดยเหล่า นกั รบครูเสดในช่วงยคุ กลางและยุคร่วมสมยั ผซู้ ่ึงบิดเบือนสัญลกั ษณ์แห่งความปรองดอง ให้กลายเป็น สัญลกั ษณ์แห่งสงครามต่อมุสลิมและชาวยิว (ในประเทศสเปน) ทงั สองศาสนา ทงั คริสต์และอิสลามนนั ต่างก็ไดแ้ พร่ขยายออกไปอยา่ งกา้ วร้าวในหนา้ ประวตั ิศาสตร์ และปกป้ องเขตอานาจของตนดว้ ยความรุนแรง ส่วนในดินแดนของตนก็ทาการเผยแพร่อุดมการณ์ แต่ไม่ใช่เพ่ือสันติภาพแต่เป็นอุดมการณ์ของสงคราม ดงั นนั ปัญหาที่เกิดข้ึนมีความซบั ซอ้ นมาก 
  เราทงั หลายต่างก็อยใู่ นความเส่ียงของการถูกท่วมทบั ดว้ ยขอ้ มูลข่าวสารมากมายมหาศาล จนอาจทา ให้เราสูญเสียแนวทางของเราได้ และบางครังเราก็อาจจะเคยได้ยินผูร้ อบรู้ทางศาสนาบางคนแสดง ความเห็นตามหลกั คาสอนของพวกตนกนั บา้งแลว้ เป็นการยากที่จะมองไกลเกินกวา่ประเด็นปลีกยอ่ ยเพื่อ จะเห็นภาพรวมได้ ดงั นนั ผรู้ อบรู้เหล่านนั บางคน ยกตวั อยา่ งเช่น ผรู้ อบรู้ทางดา้ นสังคมวิทยา จึงมุ่งเนน้ ไปท่ีการศึกษาในระดบั จุลภาคเป็นหลกั จนไม่พร้อม หรือไร้ความสามารถ ที่จะคิดพิจารณาในบริบทที่กว้าง กว่าอีกต่อไป ณจุดน้ีผมเช่ือวา่ จาเป็นจะตอ้ งมีการจดั หมวดหมู่เสียใหม่เพื่อเปิดรับความเปลี่ยนแปลง 
  ดงั นนั ผมจึงขอนาเสนอพวกคุณ ดว้ ยการปฐมนิเทศพ้ืนฐาน เก่ียวกบั ศาสนาอิสลาม ศาสนาอบั ราฮมั ทงั สามศาสนา ซ่ึงไดแ้ ก่ ศาสนายดู าย คริสตศ์ าสนาและศาสนาอิสลาม ดว้ ยระยะเวลาไม่มากไม่น้อยกว่า หน่ึงชวัโมง สาหรับประเด็นหลกั ของเรา ผมตอ้ งการที่จะตอบคาถามอนั สลบั ซับซ้อนสามขอ้ ต่อไปน้ี: 1. ศูนยก์ ลางและรากฐานแห่งการยึดถือ: สิงที่ตอ้ งไดร้ ับการสงวนรักษาเอาไวโ้ ดยไม่มีขอ้ แมใ้ ดๆ ทงั สิ; 2. การเปล่ียนครังยิงใหญ่ท่ีเปลี่ยนแปลงยุคสมยั:อะไรบา้งท่ีสามารถเปลี่ยนแปลงได้; 3.ความทา้ทายใน ปัจจุบนั:ภาระหนา้ที่ที่เราตอ้งแบกรับ 

I.ศูนย์กลางและรากฐานแห่งการยดึ ถือ 
ขอ้ น้ีเป็นคาถามในทางปฏิบตั ิ อะไรบา้ งที่ควรจะไดร้ ับการสงวนรักษาเอาไว้ อะไรบา้ งท่ีควรจะไดร้ ับการ สงวนรักษาเอาไวโ้ ดยปราศจากขอ้ แม้ ในศาสนาของเราเอง? ในศาสนาศาสดาพยากรณ์ทงั สามน้ี ต่างก็มี จุดยนื สุดโต่งที่แตกต่างกนั บา้ งก็บอกวา่ ไม่มีสิงอื่นสิงใดนอกจากสิงน้ีเท่านนั ท่ีตอ้ งไดร้ ับการสงวนรักษา เอาไว้ ในขณะท่ีอีกคนบอกวา่ ทุกสิงทุกอยา่ งเลย ทุกสิงทุกอยา่ งควรจะไดร้ ับการสงวนรักษาเอาไว้ 

- ชาวคริสเตยี นผ้ยู ึดหลกั ฆราวาสโดยสมบูรณ์ ระบุวา่ ไม่มีส่ิงใดท้งั สิ้นท่ีสมควรจะไดร้ ับการสงวนรักษา เอาไว:้ พวกเขาไม่เช่ือทงั ในพระเจา้ หรือในบุตรของพระเจา้ พวกเขาเพิกเฉยต่อคริสตจกั รและละทิงทงั คา สอนและพิธีกรรม 
  อยา่ งดีท่ีสุดพวกเขาก็เพียงแต่ช่ืนชมใฝ่รักษามหาวหิ ารในยุโรปหรือในตวั โยฮนั น์ เซบาสเตียน บาค คีตกวผี รู้ ังสรรคค์ วามสุนทรียบ์ ทเพลงสาหรับใชใ้ นโบสถข์ องนิกายออร์โธดอกซ์ รวมทงั เพื่อองคส์ มเด็จพระ สันตะปาปา ผเู้ป็นเสาหลกั ของกฎระเบียบท่ีกาหนดไว้ แมว้ า่ คนของศาสนาจะไม่ยอมรับศีลธรรมทางเพศ และความเป็นเผด็จการของบาค ซ่ึงบางครังก็เขา้ ข่ายผไู้ ม่นบั ถือศาสนาหรือผไู้ ม่เชื่อในพระเจา้ เลยก็ตาม 

- แต่ชาวยวิ ผู้ยึดถือหลกั ฆราวาส โดยสมบูรณ์ก็ยงั ระบุเช่นกนั วา่ ไม่มีสิ่งใดท้ังสิ้นที่ควรจะได้รับการสงวน รักษาเอาไว้พวกเขาไม่ฝักใฝ่ในพระเจา้ของศาสดาอบั ราฮมั และในตวั พระสังฆราชพวกเขาไม่เชื่อในคามนัสัญญา พวกเขาเพิกเฉยต่อเหล่าผูส้ วดภาวนาและบทสวดในโบสถ์ยิวและเยาะเยย้ ต่อลทั ธิอุลตร้าออร์โธ ดอกซ์ (เคร่งครัดมากกวา่ ออร์โธดอกซ์ทวัไป) 
  ส่วนใหญ่แลว้ พวกเขาจะมองหาศาสนาสมยั ใหม่มาทดแทนศาสนายดู ายเดิมที่ถูกผลกั ไสออกจาก ศาสนา เช่น รัฐอิสราเอล และการเรียกร้องความสนใจต่อกรณีของการฆ่าลา้ งเผ่าพนั ธุ์ชาวยิว ซ่ึงขอ้ น้ีได้ กลายเป็น อตั ลกั ษณ์ ของชาวยิวและความเป็นนาหน่ึงใจเดียวกนั ของชาวยิวผยู้ ึดถือหลกั ฆราวาส แต่ก็มี บ่อยครังท่ีเร่ืองน้ีถูกใช้เป็นขอ้ อา้ งต่อการก่อการร้ายโดยรัฐต่อชาวอาหรับซ่ึงถือเป็นการไม่เคารพต่อสิทธิ มนุษยชน 

- และชาวมุสลิมผู้ยึดถือหลักฆราวาส โดยสมบูรณ์ก็จะกล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดท้ังสิ้นท่ีควรจะได้รับการสงวน รักษาเอาไว้พวกเขาไม่เช่ือในพระเจา้ พระองคเ์ ดียว พวกเขาไม่อ่านคมั ภรีกุรอ่าน และโมฮมั หมดั ก็ไม่ใช่ ศาสดาของพวกเขา พวกเขาไม่ยอมรับในชารีอะห์ เสาหลกั ทงั หา้ ของศาสนาอิสลามนนั ไม่มีบทบาทอะไรเลย สาหรับพวกเขา 
  อย่างดีท่ีสุดศาสนาอิสลาม ก็จะถูกนาไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อประโยชน์ของลทั ธิ อิสลาม ลทั ธิอาหรับและลทั ธิชาตินิยม โดยการตดั เน้ือหาสาระสาคญั ของศาสนาออกไป 

ใ น ต อ น น ้ ี ค ุ ณ น ่ า จ ะ เ ข า้ ใ จ แ ล ว้ ว า่ ป ฏ ิ ก ิ ร ิ ย า ต ร ง ก นั ข า้ ม ก บั ก า ร ไ ม ่ ส ง ว น ร ั ก ษ า ส ิ ง ใ ด ท งั ส ิ ค ื อ เ ส ี ย ง เ ร ี ย ก ร ้ อ ง ท่ีวา่ สงวนไว้ทกุ ส่ิงทกุ อย่างทุกสิงทุกอยา่ งจะตอ้ งคงอยดู่ งั ที่เป็นมาแต่ก่อน 
  “อยา่ ไดเ้ คลื่อนยา้ ยศิลาแมแ้ ต่กอ้ นเดียวจากมหาวิหารแห่งคาสอนของคาธอลิก มิเช่นนนั แลว้ อาคาร ทงั หลงั จะคลอนแคลน”, เสียงป่ าวร้องจาก นักบูรณาการนิยมโรมนั [และนักประเพณนี ิยม
 “อยา่ ไดล้ ะเลยแมแ้ ต่คาพดู เดียวจากฮาลคั คา เจตจานงของพระเจา้ (อโดนาย) อยเู่ บ้ืองหลงั ทุกคาพูด เหล่านนั”,เสียงชาวยวินิกายอลุตร้าออร์โธดอกซ์ประทว้งข้ึนมา 
   “อยา่ ไดล้ ะเลยต่อคาสอนในคมั ภีร์กุรอานแมแ้ ต่คาเดียว เพราะแต่ละคานนั ลว้ นเป็นวจนะโดยตรง จากพระเจา้ชาวมุสลมิแนวอสิลามนิยมหลายคนยนืยนั 

จะเห็นไดว้ า่ ความขดั แยง้ ในท่ีน้ีไดถ้ ูกวางแผนเอาไวแ้ ลว้ ก่อนหนา้ น้ีในทุกแห่งหน ไม่เพียงแต่ ระหวา่ ง ทงั สามศาสนาเท่านนั แต่ยงั เกิดข้ึนภายในศาสนาเองดว้ ย ไม่วา่ ท่าทีเช่นน้ีจะไดร้ ับการสนบั สนุนดว้ ยมาตรการ ทางทหารหรือด้วยความกา้ วราวหรือไม่ก็ตาม แต่หลายครังเป็นการแสดงท่าทีแบบสุดโต่งเพ่ือเป็นการยวัแหยอ่ ีกฝ่ายหน่ึงเสมอ 
  แต่ขอใหม้นัใจวา่ความเป็นจริงมิไดม้ืดมนขนาดนนั เพราะในประเทศส่วนใหญ่การแสดงทีท่า สุดโต่งเช่นน้ียากที่จะกลายเป็นเสียงส่วนใหญ่ข้ึนมาได้ ถ้าไม่ไดร้ ับปัจจยั สนบั สนุนทางการเมือง ทาง เศรษฐกิจและทางสังคม ถึงอยา่ งไรก็ะตอ้ งมีคนอยู่จานวนหน่ึง ไม่ว่าจะเป็นชาวยิว ชาวคริสเตียนและชาว มุสลิมซ่ึงแน่นอนว่าอยใู่ นระดบั แตกต่างกนั ไปข้ึนอยกู่ บั ประเทศและช่วงเวลานนั เป็นคนซ่ึงแมจ้ ะไม่ค่อย สนใจ ข้ีเกียจหรือไม่รู้ไม่ศึกษาศาสนาของตวั เอง แต่ก็ไม่ตอ้ งการท่ีจะเลิกนบั ถือทุกสิงทุกอยา่ งที่เกี่ยวขอ้ งกบั ชีวิตและความเชื่อตามแบบชาวยวิ คริสเตียนหรือมุสลิมทวัไป แต่ในแง่หน่ึง พวกเขาก็ไม่พร้อมจะปฏิบตั ิ ตามทุกเรื่องดว้ ยเช่นกนั มีพวกคาธอลิกจานวนมากท่ีไม่ไดก้ ม้ หนา้ กม้ ตาปฏิบตั ิตามคาสอนและหลกั ธรรมคา สอนของกรุงโรมทุกขอ้ และชาวโปรเตสแตนตจ์ านวนมากก็ไม่ไดย้ ึดถือปฏิบตั ิตามคมั ภีร์ไบเบิลชนิดตรง ตามตวัอกัษรชาวยวิหลายคนก็ไม่ไดอ้ิงกบัฮาลคัคาไปเสียทุกเร่ืองและชาวมุสลิมจานวนมากก็ไม่ไดอ้ิงตาม บทบญัญตัิของชารีอะห์อยา่งเขม้งวด 
  แต่กระนนั หากว่าเราไม่พิจารณารูปแบบทางประวตั ิศาสตร์และหลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ล่าสุด แต่ กลบัไปมองเอกสารท่ีเป็นรากฐานบทบญัญตัแิรกเริ่มผมหมายถึงคมัภีร์ศกัด์ิสิทธ์ิของแต่ละศาสนาถา้เรา พิจารณาแต่คมั ภีร์ฮิบรู คมั ภีร์พนั ธะสัญญาใหม่และคมั ภีร์กุรอ่าน ไม่ตอ้ งสงสัยเลยวา่ ข้อยึดถือ” (ซ่ึงตอ้ ง ไดร้ ับการยดึ ถือ) ในศาสนาต่างๆ นนั ไม่เพียงแต่คลา้ ยคลึงกนั กบั ส่ิงทม่ี ีอย่(สิงท่ีมีอยใู่ นหว้ งขณะนนั ) และ สิงที่ก่อตวั ข้ึนเป็น แกนกลาง”, “แก่นสาระ”, “ใจความของศาสนาดงั กล่าวน้ีจะสามารถถูกนิยามไดโ้ ดย คมัภีร์ศกัด์ิสิทธ์ิของศาสนาดงักล่าว ดงันันคาถามณที่น้ีจึงค่อนขา้งเป็นคาถามในทางปฏิบตัิคือมี องคป์ ระกอบใดบา้ งท่ีถือวา่ เป็ นส่ิงทช่ี อบด้วยหลักการและควรเป็ นส่ิงผูกมัดตลอดไป ในแต่ละศาสนา? แต่ ตอ้ งเขา้ ใจใหช้ ดั เจนวา่ ไม่จาเป็นตอ้ งสงวนรักษาทุกสิงทุกอยา่ งเอาไว้แต่สิงที่ตอ้ งรักษาไวค้ ือแก่นสาระของ ความเช่ือ ศูนยก์ ลางและรากฐานของศาสนา คมั ภีร์ศกั ด์ิสิทธ์ิของศาสนา ศรัทธาในศาสนาดงั กล่าว! ดงั ที่ สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นที่ 23 กล่าวไวใ้ นสุนทรพจน์อนั โด่งดงั ของพระองค์ในการเปิ ดสภาสังคายนา วาติกนั ครังท่ี 2 ซ่ึงครังนนั ผมไดเ้ ขา้ ร่วมในฐานะท่ีปรึกษาทางเทววิทยา ร่วมกนั กบั เพื่อนร่วมงานของผม โจเซฟ แรตซิงเกอร์ ซ่ึงตอนน้ีคือสมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกตท์ ี่ 16 ในฐานะสองหนุ่มนกั เทววทิ ยา! แต่บงั เอิญวา่ คุณถามคาถามท่ีเป็นรูปธรรมมากกวา่ นนั และผมจะใหค้ าตอบที่ค่อนขา้ งสันกระชบั แต่เป็นเร่ือง พ้ืนฐานอยา่ งยงิ

คุณอาจจะถามผมวา่ : 
1. อะไรบา้ งท่ีจะตอ้ งไดร้ ับการสงวนรักษาเอาไวใ้ นคริสตศ์ าสนาเพ่ือไม่ใหส้ ูญเสีย จิตวญิ ญาณของมนั ไป? คาตอบของผมก็คือ ไม่วา่ กระบวนการวิจารณ์พระคมั ภีร์ในทางประวตั ิศาสตร์ ทางการรู้หนงั สือ หรือทาง สังคมวิทยาจะไดร้ ับการวิจารณ์, ตีความและตดั ทอนอยา่ งไร: [เมื่อพิจารณาถึงเอกสารรากฐานความศรัทธา ของชาวคริสเตียน ซ่ึงไดเ้ กณฑม์ าตรฐานและทรงอิทธิพลในประวตั ิศาสตร์] เมื่อพิจารณาถึงพระคมั ภีร์พนั ธะ สัญญาใหม่ (อนั พบไดใ้ นบริบทของคมั ภีร์ฮิบรู) เน้ือหาสาคญั ของความศรัทธานนั คือ พระเยซูคริสต์ ผมู้ ี ฐานะเป็นผไู้ถ่บาปและบุตรแห่งพระเจา้พระองคเ์ดียวของอบัราฮมั ผซู้่ึงวางคาสังสอนอนัตกทอดมาจนถึงทุก วนัน้ีผ่านจิตวญิญาณของพระเจา้พระองคเ์ดียวกนั ก็จะไม่มีศรัทธาในคริสต์ศาสนาจะไม่มีคริสตศ์าสนา หากปราศจากคาสารภาพที่วา่ พระเยซูคือพระเมสสิยาห์, พระเจ้าและบุตรของพระเจ้า!” [1. Kor: Iltous kyrios] พระนามเยซู คริสตน์ นั เป็นเครื่องแสดงซ่ึงสภาพการเปลี่ยนแปลงของ ศูนยก์ ลางของคมั ภีร์พนั ธะ สญั ญาใหม(ซ่ึงไม่มีหนทางใดเลยท่ีจะทาความเขา้ ใจไดห้ ากมองในรูปของสิงคงที่) 

คุณถามผมวา่ 
2. อะไรบา้ งที่จะตอ้ งไดร้ ับการสงวนรักษาเอาไวใ้ น ศาสนายูดาย หากว่าจะไม่ให้มนั สูญเสีย แก่นสาระของมนัไป?คาตอบของผมคือไม่วา่กระบวนการวจิารณ์พระคมัภีร์ในทางประวตัิศาสตร์ทางการรู้หนงัสือ หรือทางสังคมวิทยาจะไดร้ ับการวิจารณ์ตีความและตดั ทอนอยา่ งไร: [เมื่อพิจารณาถึงเอกสารรากฐานความ ศรัทธาของชาวคริสต์เตียนซ่ึงไดเ้กณฑ์มาตรฐานและทรงอิทธิพลในประวตั ิศาสตร์]เมื่อพิจารณาถึงพระ คมั ภีร์ฮิบรู เน้ือหาแก่นกลางของความศรัทธานนั คือพระเจ้าพระองคเ์ดียวและผคู้ นของประเทศอิสราเอล อาจจะไม่มีความศรัทธาของชาวยวิ อิสราเอล อาจจะไม่มีพระคมั ภีร์ฮิบรู อาจจะไม่มีศาสนายดู ายก็ได้ถา้ ปราศจากคาสารภาพที่วา่ : พระยาห์เวห์ (อโดนาย) น้ันคือพระเจ้าของอิสราเอล และอิสราเอลคือประชาชน ของพระองค์!” 

และคุณถามผมวา่ 
3. และสุดทา้ ยแลว้ อะไรบา้ งท่ีจะตอ้ งไดร้ ับการสงวนรักษาเอาไวใ้ นศาสนาอิสลาม หากวา่ มนั จะยงั คงเป็น อิสลามในแง่ตามตวั อกั ษรท่ีว่า การสวามิภกั ด์ิต่อพระเจา้ ”? คาตอบของผมคือ ไม่ว่ากระบวนการ รวบรวม จดั เรียงลาดบั และแกไ้ ขซูเราะห์ฉบบั ต่างๆ ของคมั ภีร์กุรอานนนั จะน่าเหน็ดเหนื่อยเพียงใด สาหรับ ชาวมุสลิมผศู้ รัทธาทงั หลายแลว้ มนั ชดั เจนยงิวา่ คมั ภีร์กรุ อานคือพระวจนะและหนงั สือของพระเจา้ และต่อ ใหช้ าวมุสลิมแลเห็นถึงความแตกต่างระหวา่ งซูเราะห์ของเมกกะ และซูเราะห์ของเมดินา และนาเอาปูมหลงั เร่ืองการแสดงอภินิหารเขา้ มาร่วมในการตีความหมายดว้ ยก็ตาม แก่นกลางของขอ้ ความของคมั ภีร์กุรอานนนั ก็ค่อนขา้งชดัเจนยงิไม่มีพระเจา้อ่ืนใดนอกจากพระเจา้และมูฮมัหมดัคือศาสดาของพระองค์ 

มนั คือความสัมพนั ธ์พิเศษของผูค้ นของประเทศอิสราเอลที่มีต่อพระเจา้ ของพวกเขา (ซ่ึงเป็ นแก่นสาระของ ศาสนายดู าย) และมนั คือความสัมพนั ธ์พิเศษกบั พระเยซู คริสต์ กบั พระเจา้ และพระบิดาของพระองค์ (ซ่ึง เป็นจุดเริมต้นของคริสต์ศาสนา) และมนั คือความสัมพนั ธ์พิเศษของคมั ภีร์กุรอ่านต่อพระเจา้ ซ่ึงเป็น แกนกลางของศาสนาอิสลาม ซ่ึงประกอบข้ึนรายลอ้ มและตกผลึกกลายเป็นศาสนาอิสลาม และแมว้ า่ จะมี การเปลี่ยนแปลงในหนา้ ประวตั ิศาสตร์ของผนู้ บั ถือศาสนาอิสลามอยา่ งไร ความสมั พนั ธ์พิเศษน้ีจะยงั คงเป็น ความเขา้ ใจพ้นื ฐานของศาสนาอิสลาม ซ่ึงจะไม่มีวนั ถูกละทิงไป 
  ค ุ ณ ล กั ษ ณ ะ อ นั เ ป ็ น ล กั ษ ณ ะ เ ฉ พ า ะ ข อ ง ศ า ส น า ท ี ่ ม ี ค ว า ม ศ ร ั ท ธ า ใ น พ ร ะ เ จ า้ อ ง ค เ ์ ด ี ย ว ท งั ส า ม ศ า ส น า ซ ่ ึ ง จะตอ้ งไดร้ ับการสงวนรักษาเอาไว้คือสิงที่พวกเขามีอยรู่ ่วมกนั และในขณะเดียวกนั ก็เป็นสิงที่แบ่งแยกพวก เขาดว้ ยเช่นกนั 

-สิงท่ีที่ศาสนายดูายคริสตศ์าสนาและศาสนาอิสลามมรี่วมกนัคืออะไร

ความศรัทธาในพระเจา้พระองคเ์ดียวของอบัราฮมัพระผรู้ังสรรคผ์ทู้รงมหากรุณาและเมตตาผปู้กปักษร์ักษา และผพู้ ิพากษามนุษยท์ ุกชีวิต ไม่มุ่งเนน้ มุมมองอยา่ งเป็นวฏั จกั รของประวตั ิศาสตร์โลกและสิงมีชีวิต แต่ มุ่งเนน้ ไปท่ีจุดจบ ความสาคญั ของตวั ศาสดา คมั ภีร์ศกั ด์ิสิทธ์ิมาตรฐานเดียวกนั และมาตรฐานทางจริยธรรม ร่วมกนั 

- แลว้ อะไรบา้ งท่ี แบ่งแยก พวกเขาออกจากกนั
สาหรับศาสนายูดายมนั คืออิสราเอลอนั เป็นประชาชนและผืนแผ่นดินของพระเจ้า(แก่นสาคญั ของ อิสราเอล) 
สาหรับคริสตศ์ าสนา พระเยซู คริสต์ อนั เป็นพระผไู้ ถ่บาปและบุตรของพระเจา้ 
สาหรับศาสนาอิสลาม คมั ภีร์กุรอานอนั เป็นพระวจนะและหนงั สือของพระเจา้ 

ในใจกลางของทงั สามศาสนา ของศาสนายดู าย คริสตศ์ าสนา และศาสนาอิสลามนนั เป็นที่ตงั ของ


- ความเริ่มแรกจากหว้งเวลาแรกสุด


- ความต่อเนื่องในประวตัิศาสตร์อนัยาวนานหลายศตวรรษของศาสนา


- อตัลกัษณ์แมว้า่จะมีความแตกต่างทงัหลายทงัมวลในดา้นภาษาผคู้น,วฒันธรรมและชนชาติ 

อยา่ งไรก็ตาม ดว้ ยใจกลางน้ี รากฐานน้ี สาระสาคญั ของความศรัทธาอนั น้ี หาไดด้ ารงอยอู่ ยา่ งสันโดษ แต่ ดารงอยใู่ นประวตั ิศาสตร์ มนั ไดถ้ ูกตีความและทาความเขา้ ใจซา ครังแลว้ ครังเล่า ในการนาไปสู่การปฏิบตั ิ ตามความตอ้ งการที่เปล่ียนแปลงตามกาลเวลา ทอยน์บี: ทา้ ทายและตอบสนอง! สาหรับนกั เทววิทยา นกั ประวตั ิศาสตร์และบุคคลอื่นๆมนั เป็นเรื่องสาคญั ที่จะต้องผสมผสานหลักเทววิทยาระบบเข้ากับคาอธิบาย เชิงประวัติศาสตร์เชิงลาดับเวลา ซ่ึงหากปราศจากมนั แลว้ หลกั เทววิทยาย่อมไม่อาจนาเสนอหลกั ฐาน น่าเชื่อถือได้ 


II. การเปลยี่ นคร้ังยงิ่ ใหญ่ทเี่ ปลยี่ นแปลงยคุ สมัย 
เป็นเร่ืองปกติท่ีจะตอ้ งมีกล่มุ ความเชื่อใหม่ที่เป็นการเปล่ียนแปลงยุคสมัยของช่วงเวลาหรือของสังคมหน่ึง สงัคมใดกลุ่มชุมชนความศรัทธาคาประกาศแห่งศรัทธาและการไตร่ตรองถึงความศรัทธาไดป้รากฏข้ึนใน หนา้ ประวตั ิศาสตร์ของทงั สามศาสนา และไดร้ ับการตีความใหม่และนาเขา้ มาเสริมรากฐานให้กบั แกนกลาง เดิมเดียวกนัน้ีของศาสนาเกิดข้ึนครังครังเล่าในศาสนายดูายคริสตศ์าสนาและศาสนาอิสลามประวตัิศาสตร์ ส่วนน้ีเป็นเรื่องราวอันน่าท่ึงอย่างยิง ในการสนองตอบต่อความท้าทายใหม่ๆที่ยิงใหญ่ในหน้า ประวตั ิศาสตร์โลกของชุมชนแห่งความศรัทธา โดยตอนแรกเป็นการเริมตน้ จากจุดเล็กๆแล้วจากนัน โ ด ย เ ฉ พ า ะ อ ย า่ ง ย งิ ใ น ก ร ณ ี ข อ ง ค ร ิ ส ต ศ์ า ส น า แ ล ะ ศ า ส น า อ ิ ส ล า ม ไ ด เ ้ จ ร ิ ญ เ ต ิ บ โ ต แ พ ร ่ ข ย า ย อ อ ก ไ ป อ ย า่ ง ร ว ด เ ร ็ ว ตอ้ งผา่ นพน้ การเปล่ียนแปลงทางศาสนาหลายชนั ขนั ตอนดว้ ยกนั ซ่ึงแน่นอนวา่ การเปลีย่ นแปลงววิ ัฒนาการ ของมโนทัศน์ ดังกล่าวน้ีเกิดข้ึนในระยะเวลาที่ยาวนานกว่า ผมได้เรียนรู้แนวคิดดังกล่าวจากนัก ประวตั ิศาสตร์ดา้ นวทิ ยาศาสตร์, โทมสั เอส คุนห์ โครงสร้างของการปฏิวตั ิทางวิทยาศาสตร์” (2505): มี อะไรบา้ งท่ีเปล่ียนแปลงไปในช่วงการปฏิวตั ิของโคเปอร์นิคสั ? พระอาทิตย,์ พระจนั ทร์, ดวงดาวนนั ยงั คง เป็นเช่นเดิม,แต่คนเราเปลี่ยนแปลงไป:แนวทางที่เรามองดูสิงเหล่านนั โลกทศัน์ของพวกเรามโนทัศน์: กลุ่มความเชื่อค่านิยมเทคนิคและสิงต่างๆอนั แบ่งปันโดยชุมชนหน่ึงชุมชนใดไดเ้ปล่ียนแปลงไปอนั ดบั แรกผมจะไดป้ระยกุต์ทฤษฎีดงักล่าวเขา้กบัเหตุการณ์ในประวตัิศาสตร์ของคริสตจกัรก่อนแลว้จึงประยกุต์ เขา้ กบั ศาสนาต่างๆ มีอะไรบา้ งที่เปลี่ยนแปลง อยา่ งเช่น ในระหวา่ งการปฏิวตั ิศาสนา? พระเจา้ , พระ คริสต,์ จิตวญิ ญาณของชาวคริสเตียนนนั ยงั คงเป็นเช่นเดิม แต่มุมมองของผศู้ รัทธาไดเ้ปลี่ยนแปลงไป:มโน ทศัน์แบบอยา่งไดเ้ปลี่ยนแปลงไป 
  การวิเคราะห์ทางประวตั ิศาสตร์ของกรอบความคิดของศาสนา มโนทัศน์ระดับมหภาค หรือ กลุ่ม ความเชื่อโดยรวมอันเปลยี่ นแปลงยุคสมัย รองรับต่อการเปลี่ยนแปลงความรู้ การวิเคราะห์กรอบความคิด นนั ทาให้มนั เป็นไปไดใ้ นการวิเคราะห์โครงสร้างและการเปลี่ยนแปลงเชิงประวตั ิศาสตร์ครังยิงใหญ่: โดย การมุ่งเน้นความสนใจไปต่อทงั ส่วนคงที่ของส่วนรากฐานและส่วนแปรเปล่ียนอย่างฉับพลนั ในเวลา เดียวกนั ในแนวทางน้ี มนั จึงเป็นไปไดท้ ี่จะอธิบายการเปลี่ยนแปลงครังใหญ่ในหน้าประวตั ิศาสตร์โลก และตวั แบบพ้ืนฐานท่ีก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงยุคสมยั ของศาสนาใดศาสนาหน่ึงซ่ึงถือกาเนิดข้ึนมาจาก ศาสนาเหล่านนั 
  ดงั นนั เราจึงตอ้ งพยายามกนั อีกครังท่ีจะพิจารณาความเป็นมาของหนา้ ประวตั ิศาสตร์ดงั กล่าว การ วเิคราะห์ประวัติศาสตร์อย่างเป็นระบบของกลุ่มความเชื่อโดยรวมอนั เปลี่ยนแปลงยุคสมัย ในหนงัสือของ ผมคริสต์ศาสนา(Christianity)ผมไดอ้ภิปรายถึงมโนทศันร์ะดบัมหภาคในหนา้ประวตัิศาสตร์ของ
. คริสต์ศาสนา(ดูแผนภาพ): ตอนน้ีผมจะอธิบายตามแผนภาพที่อยตู่ รงหนา้ เห็น โดยเฉพาะในส่วนของ หวัขอ้ : 

I. กรอบมโนทศั น์เรื่องวนั สินโลกของชาวยวิ ของคริสตศ์ าสนายคุ แรกเริ

II. กรอบมโนทศั น์เรื่องสมั พนั ธภาพระหวา่ งศาสนาของชาวกรีกในคริสตศ์ าสนายคุ โบราณ 

III.กรอบมโนทศัน์ของโรมนัคาธอลิกในยคุกลาง 

IV.กรอบมโนทศัน์เรื่องการปฏิรูปศาสนาของนิกายโปรเตสแตนต์

V. กรอบมโนทศั น์ท่ีมุ่งเนน้ เหตุผลและความกา้ วหนา้ ในยคุ สมยั ใหม่

VI. กรอบมโนทศั น์เร่ืองสมั พนั ธภาพระหวา่ งศาสนาในหลงั ยคุ สมยั ใหม่

 

ฮานส์คุง:สถานการณ์ของศาสนาตามหว้งเวลา 

ลทัธิยดูาย,ลอนดอน(เอสซีเอม็เพรส)1992;นิวยอร์ค(ครอสโร้ด)1992 

ศาสนาคริสต์.สาระสาคญั และประวตัิศาสตร์,ลอนดอน(เอสซีเอ็มเพรส)1992;นิวยอร์ค(คอนตินุ่ม) 1992 

ศาสนาอิสลาม,ลอนดอน(วนัเวลิด)์2006(ในระหวา่งการจดัเตรียม) 

 


ความเข้าใจประการแรก: ศาสนาทุกศาสนานนั ไม่ไดป้ รากฏอยู่เป็นตวั ตนอนั คงที่ ตวั ตนซ่ึงทุกสิงทุกอยา่ ง ดารงอยู่เช่นเดิมดงั ที่เคยเป็นมา แต่ศาสนาทุกศาสนานนั เป็นความจริงที่มีชีวิตและมีการพฒั นาตลอดเวลา ผ ่ า น ก า ร เ ป ล ่ ี ย น แ ป ล ง ค ร ั ง ส า ค ญั ท ่ ี เ ป ็ น ก า ร เ ป ิ ด ศ กั ร า ช ใ ห ม ่ ด งั น นั ค ว า ม เ ข า้ ใ จ ท ี ่ เ ด ่ น ช ดั ป ร ะ ก า ร แ ร ก น นั ค ื อ มโนทศัน์นนัสามารถดารงอยู่จนถึงปัจจุบนั และขอ้น้ีถือวา่มีคุณค่าเช่นกนัสาหรับศาสนายดูายและศาสนา อิสลาม ซ่ึงขอ้ น้ีถูกนาเสนอเอาไวใ้ นแผนผงั ดว้ ยเส้นต่อเน่ือง อนั ตรงกนั ขา้ มกบั วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ อย่างแทจ้ ริง”: กรอบมโนทศั น์แบบเก่า (ยกตวั อย่างเช่น ส่วนของ ปโตเลมี)) อนั สามารถไดร้ ับการตรวจ ยืนยนั หรือปลอมแปลงในเชิงประจกั ษ์ไดด้ ้วยความช่วยเหลือของกระบวนการทางคณิตศาสตร์และการ ทดลอง: การตดั สินใจท่ีเป็นการสนบั สนุนต่อมโนทศั น์ใหม่ (อย่างเช่น ของโคเปอร์นิคสั ) นนั อาจจะถูก บงั คบั ดว้ ยหลกั ฐานในระยะยาว แต่คุณจะเห็นวา่ ในกรอบขอบเขตของ ศาสนา (และรวมถึงศิลปะดว้ ย เช่นกนั ) สิงต่างๆนนั ค่อนขา้ งแตกต่างออกไป ในส่วนของคาถามเกี่ยวกบั ความศรัทธา ศีลธรรมและศาสน พิธี (ยกตวั อยา่ งเช่น ระหว่างโรมกบั ศาสนจกั รของยโุ รปตะวนั ออก และระหวา่ งโรมกบั นิกายลูเทอร์) ไม่มี สิงใดท่ีจะสามารถตดั สินไดโ้ ดยกระบวนการคณิตศาสตร์หรือการทดลอง และเช่นกนั กบั มโนทศั น์ทาง ศาสนาแบบเก่าซ่ึงไม่มีทางท่ีจะทาใหจ้ างหายไปได้ เพียงแต่ว่ามโนทศั น์ดงั กล่าวสามารถดารงอยู่ร่วมกนั นานนบั ศตวรรษ ควบคู่ไปดว้ ยกนั มโนทศั น์แบบใหม่ กล่าวคือมโนทศั น์ใหม่ (การปฏิรูปหรือยุคสมยั ใหม่) ดารงอยคู่ ู่กบั มโนทศั น์เก่า (ของคริสตจกั รยคุ แรกหรือยคุ กลาง) 

. ในทานองเดียวกนั ในส่วนของศาสนายูดายนั ผมไดแ้ จกแจงมโนทศั น์มหภาคในประวตั ิศาสตร์ของ ศาสนายดู ายเอาไวเ้ช่นกนั (ดูแผนภาพ) 

I. มโนทศั น์ของชนเผา่ ช่วงก่อนการก่อตงั รัฐ

II.มโนทศันข์องอาณาจกัรยคุราชาธิปไตย

III.มโนทศัน์ของเทวาธิปไตยศาสนายดูายยคุหลงัการเป็นเชลย

IV. มโนทศั น์ช่วงยคุ กลาง: แรบไบและโบสถย์ วิ

V. มโนทศั น์ยคุ สมยั ใหม่ การผสมกลมกลืน

VI. มโนทศั นเ์ ร่ืองสมั พนั ธภาพระหวา่ งศาสนาหลงั ยคุ สมยั ใหม่? 

ความเข้าใจประการที่สอง: การยืนหยดั และการแข่งขนั กนั ระหว่างมโนทศั น์ที่แตกต่างนนั เป็นสิงท่ีสาคญั อย่างที่สุดในการประเมินสถานการณ์ของศาสนาต่างๆ ซ่ึงถือว่าเป็นความเข้าใจประการที่สองซ่ึงมี ความสาคญั ทาไม? เพราะตราบจนถึงปัจจุบนั ผู้คนจากศาสนาเดียวกันก็ดารงชีวิตภายใต้มโนทัศน์ที่ แตกต่างกนั ความคิดของพวกเขาถูกกาหนดโดยสภาวะพ้ืนฐานท่ีดาเนินไปอยา่ งต่อเนื่องและถูกกากบั ดว้ ย กลไกทางประวตั ิศาสตร์อยา่ งใดอยา่ งหน่ึง ยกตวั อยา่ งเช่น ยงั คงมีชาวคาธอลกิ ยคุ ปัจจุบนั ซ่ึงดารงชีวิตตาม หลกั ความเช่ือของตนเองที่ตกทอดมาตงั แต่ศตวรรษที่ 13 (เป็นยุคสมยั เดียวกบั โทมสั อะไควนาส พระ สันตะปาปาในยุคกลางและผปู้ กครองคริสตจกั รในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช) มีตวั แทนของนิกายอีส เทริ ์น ออร์โธดอกซ์ ซ่ึงดารงชีวติ ตามหลกั ความเชื่อในยุคศตวรรษที่ 4/5 (ยุคเดียวกบั นกั บวชของคริสตจกั ร กรีก)และมีชาวโปรเตสแตนต์ส่วนหน่ึงในกลุ่มความเชื่อก่อนยุคโคเปอร์นิกสั ในช่วงศตวรรษที่16(ยุค เดียวกบั นกั ปฏิรูปศาสนาในช่องก่อนหนา้ ยคุ โคเปอร์นิคสั , แต่ก่อนยคุ ดาร์วนิ ) ซ่ึงถือเป็นเรื่องปกติ 


  การยืนหยดั มันคงดังกล่าวนันเป็นสิงที่ได้รับการยืนยนั ว่ามีอยู่จริง ถ้าเราพิจารณาจากการ เปลี่ยนแปลงกรอบมโนทศั น์ของศาสนายดู ายและศาสนาอิสลามในปัจจุบนั ว่าแมแ้ ต่ในศาสนายูดายและ ศาสนาอิสลามเอง ผคู้ นต่างก็ดารงชีวติ อยใู่ นกรอบมโนทศั น์ท่ีแตกต่างกนั ดว้ ย 
  เหมือนกนั กบั ที่ชาวอาหรับจานวนหน่ึงยงั คงวาดฝันถึงอาณาจกั รอาหรับอนั ยิงใหญ่ และปรารถนาที่ จะใหเ้กิดการรวมตวั ของชาวอาหรับกลายเป็นชาติอาหรับชาติเดียว(แพน-อาหรับ) คนอีกกลุ่มหน่ึงชอบที่ จะมองในสิงท่ีผกู พนั ผคู้ นเขา้ ดว้ ยกนั ซ่ึงไม่ใช่ความเป็นชาวอาหรับแต่เป็นศาสนาอิสลาม และอยากให้เกิด แพน-อิสลามข้ึนมามากกวา่ ชาวยิวนิกายอุลตร้าออร์โธดอกซ์บางคน สนใจแต่แนวคิดของศาสนายวิ ใน ยคุ กลางและถึงขนั ปฏิเสธรัฐอิสราเอลสมยั ใหม่ ในทางตรงกนั ขา้ ม ชาวไซออนนิสต์จานวนมากยงั คงตงั หนา้ มองหารัฐท่ีตงั อยใู่ นอาณาจกั รของกษตั ริยด์ าวดิ และโซโลมอน ซ่ึงดารงเพยี งไม่ก่ีทศวรรษเท่านนั 

. ประการสุดทา้ ยจากหนงั สือของผมเกี่ยวกบั ศาสนาอิสลาม ซ่ึงจะไดร้ ับการตีพิมพใ์ นเดือนตุลาคม ปี 2006 โดยสานกัพิมพ์วนัเวลิด์,ออกซ์ฟอร์ดผมไดแ้สดงใหเ้ห็นถึงกรอบมโนทศัน์ระดบัมหภาคในประวตัิศาสตร์ ของ ศาสนาอสิ ลาม (ดูแผนภาพ): 

I. มโนทศั น์ของชุมชนอิสลามดงั เดิม

2. มโนทศั น์ของอาณาจกั รอาหรับ 

3.มโนทศัน์แบบคลาสสิกของศาสนาอิสลามในฐานะศาสนาของโลก 

4. มโนทศั น์ของอูลามะ และซูฟิ ส

5. มโนทศั นศ์ าสนาอิสลามของยคุ สมยั ใหม่

6. มโนทศั นเ์ ร่ืองสมั พนั ธภาพระหวา่ งศาสนาหลงั ยคุ สมยั ใหม่


ความเข้าใจประการทสี่ าม: เห็นไดช้ ดั วา่ เพราะคุณสมบตั ิอนั ยืนยงขอ้ น้ี หมายถึงการยืนหยดั และการแข่งขนั กนั ของมโนทศั น์ทางศาสนาแบบเก่าก่อนที่เกิดข้ึนมาจนถึงปัจจุบนั น้ีเองที่เป็นสาเหตุหลกั ของความขดั แยง้ ภายในศาสนาและระหวา่ งศาสนาเป็นสาเหตุหลกั ของแนวโนม้ ท่ีแตกต่างเกิดเป็นฝักฝ่ายความตึงเครียดขอ้ พิพาทและสงคราม ความเขา้ ใจที่สาคญั ประการท่ีสาม นนั เป็นความเขา้ ใจสาหรับศาสนายูดาย, คริสต์ ศาสนาและศาสนาอิสลาม คาถามที่เป็นแก่นกลางนนั ก็ไดแ้ ก่:ศาสนาดงั กล่าวตอบสนองต่อช่วงยุคกลาง อย่างไร (อย่างน้อยก็ในกรณีของคริสต์ศาสนาและศาสนาอิสลามซ่ึงไดร้ ับการพิจารณาว่าเป็น ยุคสมยั ที่ รุ่งเรืองท่ีสุดและศาสนาดงั กล่าวตอบสนองต่อช่วงยคุ สมยั ปัจจุบนั อยา่ งไรซ่ึงเป็นยุคท่ีเราไดเ้ห็นวา่ ศาสนา ทงั สามถูกบีบบงั คบั ให้อยู่ในภาวะเน้นการป้องกนั เป็นหลกั ? หลงั จากการปฏิรูปศาสนา คริสตศ์ าสนา จาตอ้ งเผชิญกับการเปล่ียนแปลงมโนทศั น์อีกครังหน่ึงเป็นมโนทศั น์ของยุคแห่งแสงสว่างทางปัญญา ศาสนาอิสลามตอ้ งเผชิญกบั การปฏิวตั ิฝรังเศส โดยท่ีนโปเลียนไดส้ ัมผสั ประสบการณ์ของยุคแห่งแสงสวา่ ง ท า ง ป ั ญ ญ า ก ่ อ น ใ ค ร แ ล ะ ส ่ ง ผ ล ใ ห เ ้ ก ิ ด ก า ร ป ฏ ิ ร ู ป ศ า ส น า ย ดู า ย ต า ม ม า อ ย า่ ง ไ ร ด ี ศ า ส น า อ ิ ส ล า ม น นั ไ ม ่ เ ค ย ต อ้ ง เผชิญกบั การปฏิรูปศาสนาใดๆ และจนถึงปัจจุบนั น้ีก็ยงั คงมีปัญหากบั ยุคสมยั ใหม่และแนวคิดต่างๆ ของยคุ สมยั ใหม่เช่นกนั อยา่ งเช่น อิสรภาพทางความคิดและการนบั ถือศาสนา สิทธิมนุษยชน, ขนั ติธรรม และ ประชาธิปไตย 

 


III.ความท้าทายในยคุ ปัจจุบนั 

คุณอาจเคยมีประสบการณ์กบั เรื่องน้ีมาบา้ งแลว้ : 

ชาวยวิ คริสเตียนและมุสลิมจานวนมากผซู้ ่ึงยดึ ถือตามมโนทศั น์สมยั ใหม่ ยอ่ มเขา้ กนั กบั เหล่าผทู้ ี่มีมโนทศั น์ เดียวกนั ไดด้ ีกวา่ ผทู้ ี่นบั ถือศาสนาเดียวกนั แต่มีมโนทศั น์ต่างกนั ยกตวั อยา่ งเช่น ผนู้ บั ถือนิกายโรมนั คาธอ ลิก ท่ีแตกต่างกนั แต่ถูกจบั ขงั คุกร่วมกนั ในช่วงยุคกลาง จะสามารถยอมรับแนวคิดเรื่องศีลธรรมทางเพศ ภายใตม้ โนทศั น์แบบ ยุคกลางของศาสนาอิสลามและศาสนายูดายไดง้ ่ายกว่า (ขอ้ มูลจากการประชุม ประชากรสหประชาชาติในกรุงไคโร ในปี พ.ศ. 251994) 
  ส่วนผูท้ ่ีตอ้ งการ การประนีประนอม และสันติภาพนนั จะไม่สามารถหลีกเล่ียงการวิเคราะห์กรอบ มโนทศั นเ์ ชิงวพิ ากษแ์ ละเชิงวพิ ากษต์ นเอง เพราะดว้ ยการวเิ คราะห์แบบน้ีเท่านนั จึงจะทาให้เราสามารถตอบ คาถามเหล่าน้ีได:้ ณ จุดใดในหนา้ ประวตั ิศาสตร์ของคริสตศ์ าสนา (และแน่นอนว่ารวมถึงของศาสนาอ่ืน ดว้ ย) ที่ถือวา่ คงท่ี และส่วนใดที่มีความแปรผนั ส่วนไหนเป็ นความต่อเนื่องและส่วนไหนไม่ต่อเน่ือง ส่วน ใดเห็นพอ้ งกนั และส่วนใดต่อตา้ นกนั ? นี่คือ ความเข้าใจ ประการทสี่ ี่ สิงท่ีจะตอ้ งไดร้ ับการสงวนรักษา เอาไว้ เหนือสิงอื่นใด คือรากฐาน คือแก่นแทข้ องศาสนา และสิงท่ีก่อเกิดเป็นส่วนที่คงท่ี ความเช่ือที่ไม่ เปล่ียนแปลงในจิตวิญญาณของชาวคริสเตียนกฎแห่งพรหมจรรย:์สาหรับส่วนท่ีแปรผนั หมายถึงสิงที่ไม่ จาเป็นตอ้ งสงวนรักษาไว้ก็คือสิงที่ไม่ใช่สาระสาคญั นบั ตงั แต่ช่วงแรกเริมสิงท่ีเป็นแค่เปลือกหาไดเ้ป็นแก่น แท้ สิงที่เป็นแค่โครงสร้างแต่หาไดเ้ป็นรากฐาน ส่วนที่แปรผนั ทงั หลายทงั ปวงน้ีสละทิงได้(หรือในทาง ต ร ง ก นั ข า ้ ม ส า ม า ร ถ พ ฒั น า ข ้ ึ น ม า ไ ด ) ้ ห า ก ว า ่ ม ี ค ว า ม จ า เ ป ็ น 
  ดงั นนั แมว้ า่ จะมีความสับสนทางศาสนาเกิดข้ึนมากมาย โดยเฉพาะอยา่ งยงิในยุคโลกาภิวัตน์ การ วเิ คราะห์มโนทศั นน์ นั มีส่วนช่วยใหก้ า้ วสู่การมุ่งเน้นระดบั โลก ในส่วนของคาถามต่อจากน้ี เราจะพบวา่ เรา ก า ล งั อ ย ่ ู ใ น ช ่ ว ง ป ิ ด ท า้ ย ข อ ง ก า ร จ ดั ร ู ป แ บ บ ค ว า ม ส ั ม พ นั ธ ์ ร ะ ห ว ่ า ง ป ร ะ เ ท ศ ใ ห ม ่ ค ว า ม ส ั ม พ นั ธ ์ ร ะ ห ว ่ า ง ช า ต ิ ตะวนั ตกและอิสลาม และรวมถึงความสัมพนั ธ์ระหว่างศาสนาอมั บราฮมั ทงั สาม ศาสนายดู าย, คริสต์ ศาสนาและศาสนาอิสลามที่ค่อนขา้ งพลิกแพลงอยสู่ กั หน่อย ตวั เลือกที่มีก็มีความชดั เจนยงิข้ึน ซ่ึงไดแ้ ก่การ แข่งขนั ระหวา่ งศาสนา การปะทะกนั ของอารยธรรม สงครามระหวา่ งประเทศ หรือการสนทนาระหว่าง อารยธรรมต่างๆและสันติภาพระหว่างประเทศอันเป็นเครื่องแสดงความเชื่อพืน้ ฐานของสันติภาพระหว่าง ชาติต่างๆ แมว้ า่ จะมีภยั คุกคามร้ายแรงต่อมนุษยชาติ แทนที่เราจะสร้างเขื่อนที่สังสมความเกลียดชงั การลา้ ง แคน้ และความเป็นอริ เราควรจะร้ือทาลายกาแพงแห่งอคติลงมาและสร้างสะพานเชื่อมโยงดว้ ยการสนทนา สะพานอนัเชื่อมโยงเขา้หาศาสนาอิสลาม 


IV. ศาสนาท้งั สามซึ่งมีส่วนร่วมสนับสนุนหลกั จริยธรรมโลก 

แมว้ ่าศาสนาทงั สามจะมีความแตกต่างกนั มากแค่ไหน และมีการเปลี่ยนแปลงมโนทศั น์อย่างหลากหลาย ในช่วงระยะเวลาหลายร้อยหลายพนั ปี ที่ผ่านมา แต่ในการสร้างสะพานเชื่อมโยงดงั กล่าวนนั สิงสาคญั ก็คือ ในระดบั ของจริยธรรมนนั จะตอ้ งมีส่วน คงที่ จึงจะทาใหก้ ารสร้างสะพานเชื่อมดงั กล่าวมีความเป็นไปได้ 
  นบั ตงั แต่ที่มนุษยเ์ราไดเ้ริมพฒั นาพน้ จากอาณาจกั รของสัตวแ์ ละกลายเป็นมนุษย์เราก็ไดเ้รียนรู้การ ดารงตนใหส้ มกบั เป็นมนุษย์และเรียนรู้ที่จะไม่ดารงตนเยยี่ งสัตว์ แต่ถึงแมจ้ ะมีการใชเ้หตุผลต่างๆที่ไดร้ ับ การพฒั นาข้ึนมาจนถึงปัจจุบนั กระนนั แรงผลกั ดนั ของความเป็นสัตวป์ ่าในตวั มนุษยก์ ็ยงั คงมีอยู่และหลาย ครังมนุษยต์ อ้ งพยายามตวั รอดในฐานะท่ีเป็มนุษยไ์ ม่ใช่สตั ว์ 
  ดงั นนั ในประเพณีทางศาสนา ปรัชญา และอุดมการณ์ทงั หลาย จึงมีกฎเกณฑ์ทางจริยธรรมต่อความ เป็ นมนุษย์ ซ่ึงยงั คงมีความสาคญั ยงิยวดจวบจนถึงปัจจุบนั : 

- เจา้ จะตอ้ งไม่ฆ่า หรือทรมาน ทาร้าย ข่มขืนหรือหากจะกล่าวในเชิงบวก: เจา้ จะตอ้ งเคารพใน ชีวตินี่คือพนัธะสัญญาทางวฒันธรรมของการไม่ใช้ความรุนแรงและการเคารพต่อทกุชีวติ 

- เจา้ จะตอ้ งไม่ขโมย หรือหาประโยชน์ ติดสินบน ทุจริต”, หรือหากจะกล่าวในเชิงบวกก็คือ เจา้ จะตอ้ งปฏิบตั ิดว้ ยความซื่อสัตยแ์ ละยุติธรรมนี่คือพนั ธะสัญญาทางวฒั นธรรมของ ความเป็ นน้าหนึ่งใจ เดียว และ ระเบียบทางเศรษฐกจิ ทยี่ ตุ ิธรรม 

- เจา้ จะตอ้ งไม่โกหก หรือหลอกลวง ปลอมแปลง ฉ้อโกงหรือหากจะกล่าวในเชิงบวก: พึงพูด และกระทาดว้ ยความสัตยจ์ ริงนี่คือพนั ธะสัญญาทางวัฒนธรรมของการมีขันติธรรม และการดารงชีวิต อย่างซื่อสัตย์ 

- และประการสุดทา้ยเจา้จะตอ้ งไม่กระทาเรื่องอนั ฝ่าฝืนศีลธรรมทางเพศหรือกระทาทารุณ,สร้าง ความอบั อายหรือทาให้คู่ครองของเจา้ ตอ้ งเส่ือมเสีย”, หรือจะกล่าวในเชิงบวก: ใหค้ วามเคารพและรักใน ผอู้ ื่นนี่คือพนั ธะสัญญาทางวฒั นธรรมของการมีสิทธิเสมอภาคกนั และการเป็นหุ้นส่วนระหว่างชายและ หญงิ 

คาสงัสอนทางจริยธรรมทงั สี่ประการน้ี, ซ่ึงปรากฏอยใู่ นมหาโยคีปตญั ชลี ผกู้ ่อตงั โยคะสูตร ในพระวนิ ยั ของ พระพุทธศาสนา ในคมั ภีร์ฮิบรู ในคมั ภีร์พนั ธะสัญญาใหม่ และคมั ภีร์กุรอาน นนั อิงอยกู่ บั หลกั การพ้ืนฐาน ทางจริยธรรมสองประการดงั น้ี 

- กฎทองคา ซ่ึงมีมานานก่อนยคุ ของคริสตศ์ าสนานานหลายศตวรรษโดยขงจ๊ือ และเป็นท่ีรู้จกั กนั ใน ศาสนาสาคญั และประเพณีทางปรัชญาทงั หลาย แมว้ า่ อาจจะไม่ใช่สาระหลกั ของศาสนาเหล่านนั ก็ตาม: จง อยา่ ปฏิบตั ิต่อผอู้ ื่นในสิงท่ีท่านไม่ปรารถนาจะใหผ้ อู้ ่ืนปฏิบตั ิต่อท่านแมว้ า่ กฎน้ีจะเป็นเรื่องพ้ืนฐาน แต่ก็มี ประโยชนต์ ่อการตดั สินใจในสถานการณ์ต่างๆอยา่ งมาก 

- กฎทองคาน้ีได้รับการสนับสนุนโดย กฎแห่งมนุษยธรรม ซ่ึงไม่ใช่หลกั เฉพาะของลทั ธิเต๋าแต่ ประการใดมนุษยท์ ุกคนไม่วา่หนุ่มหรือแก่ชายหรือหญิงพิการหรือปกติชาวคริสต์ชาวยิวหรือชาวมุสลิม ต่างไดร้ับการปฏิบตัิอยา่งมีมนุษยธรรมและมิใช่ไร้มนุษยธรรมมนุษยธรรมหรือฮิวมานุม(humanum) เป็นสิงที่แบ่งแยกมิได้ 

จ า ก ท ่ ี ก ล ่ า ว ม า ท งั ห ม ด น ้ ี เ ห ็ น ไ ด ช้ ดั เ จ น ว า่ ห ล กั จ ร ิ ย ธ ร ร ม ข อ ง ม น ุ ษ ย ์ ห ร ื อ ห ล กั จ ร ิ ย ธ ร ร ม ส า ก ล น นั ม ิ ใ ช ่ ร ะ บ บ จริยธรรมของอริสโตเติล,โทมสั อะไควนาสหรือคานต์(จริยศาสตร์-หลกัการ)แต่เป็นค่านิยมหลกัเกณฑ์ และเจตคติทางจริยธรรมมูลฐาน ซ่ึงก่อตวั ข้ึนเป็นความเชื่อทางศีลธรรมเกี่ยวกบั บุคคลและสังคมของคนๆ หน่ึง (จริยธรรม-การกระทา) 
  แน่นอนว่า จริยธรรมน้ีขดั แยง้ กบั ขอ้ เท็จจริง กล่าวคือ ความจาเป็นของมนุษยธรรมนนั จะตอ้ งไม่ ดารงอยู่เหนือการอา้ งเหตุผล แต่จะตอ้ งพิจารณาและปฏิบตั ิตามครังแล้วครังเล่า แต่ก็อย่างที่โคฟี อนั นนั กล่าวไวใ้ นงานบรรยายหลกั จริยธรรมโลก ครังที่ 3 ณ เมืองทูบิงเงน ในปี พ.ศ. 2003: แต่ถา้ การประณาม ความศรัทธาหรือชุดของค่านิยมใดเพียงเพราะการกระทาหรือคาพูดของผนู้ บั ถือเพียงไม่ก่ีคนเป็นสิงที่ผิด แล้วละก็ การละเลยต่อแนวคิดท่ีว่าค่านิยมบางอย่างเป็นสากล มนุษยบ์ างคนไม่ยอมรับมนั ก็เป็นสิงที่ผิด เช่นกนั ” 
  ขอใหผ้ มไดส้ รุปการบรรยาย ดว้ ยคาพดู ท่ีเลขาธิการใหญ่สหประชาชาติใชส้ รุปการบรรยายของเขา: เรายงัคงมีค่านิยมสากลอยหู่รือไม่?ใช่เรายงัมีแต่เราไม่ควรทาเหมือนมนัไม่มีความสาคญั 


    • มนั จะตอ้ งไดร้ ับการพจิ ารณาอยา่ งละเอียดถี่ถว้ น 
    • มนัจะตอ้งไดร้ับการปกป้อง
    • มนัจะตอ้งไดร้ับการสนบัสนุน” 


และเราจะตอ้ งคน้ หาภายในตวั เราเอง คน้ หาความมุ่งมนัที่จะดารงชีวิตตามค่านิยมที่เราเอ่ยอา้ ง ค่านิยมใน ชีวติของเราเองในสังคมระดบัทอ้งถินและระดบัชาติและในโลกของเรา 


คริสต์ศาสนาในฐานะทเี่ป็นปัจจัยหนึ่งในการเมืองโลก 


รายงานโดย ศาสตราจารย์ ฮันส์ คุง

ศาสตราจารย์เกยี รติคุณ มหาวทิ ยาลยั ทบู ิงเงน, พฤษภาคม ปี 2007 

มีคริสตศ์ าสนามากกวา่ หน่ึงนิกาย เช่นเดียวกบั มีศาสนายดู ายมากกวา่ หน่ึงนิกาย และมีศาสนาอิสลามมากกวา่ หน่ึงนิกายเช่นกนั คริสตศ์าสนานิกายต่างๆนนัถือกาเนิดข้ึนมาจากกลุ่มความเชื่อทางประวตัิศาสตร์ซ่ึงมี รูปแบบและมีผลกระทบทางการเมืองที่แตกต่างกนั ไปอย่างมาก: นิกายโรมนั คาธอลิก, นิกายออร์โธดอกซ์ และ นิกายรีฟอร์เมชนัคริสเตียนนิต้ี น่ีแค่นิกายหลกั ๆ เท่านนั แต่คริสตศ์ าสนานนั ตอ้ งพิจารณาในบริบทของ ศาสนาอ่ืนดว้ยเน่ืองจากมีหลกัการบางอยา่งที่ประยกุตไ์ดก้บัทุกศาสนา 

I. ข้อสังเกตเบือ้ งต้นเกยี่ วกบั ศาสนาในฐานะปัจจัยหนึ่งในการเมืองโลก 

1.จะตอ้ งแยกความแตกต่างกนั ระหว่างศาสนาและความเชื่อเช่นมาร์กซิสต์วจิ ารณ์ศาสนาทงั หลายว่าเป็น ความเช่ืออนั งมงาย แต่ ศาสนาก็ไม่ไดถ้ ูกมองวา่ เป็นอานาจอนั สมบูรณ์ เป็นเรื่องของสัมพนั ธภาพ เงื่อนไข และเก่ียวขอ้ งกบั มนุษย์แต่เป็นสิงสมบูรณ์ในตวั เองซ่ึงในประเพณีของเรานบั ตงั แต่กาลก่อนนนั เราเรียกวา่ พระเจา้ อนั วา่ พระเจา้ นนั ผมหมายถึงความจริงอนั ซ่อนเร้น ตวั ตนแรกสุดและตวั ตนทา้ ยสุด ซ่ึงไดร้ ับการ เคารพสักการะไม่เพียงแต่โดยชาวยิวและชาวคริสตเ์ท่านนั แต่ยงัรวมถึงมุสลิมและฮินดูที่มุ่งหาพระพรหม ในชาวพุทธผเู้ ชื่อในสิงสมบูรณ์ และในผนู้ บั ถือศาสนาอื่นๆ ทงั ปวงในรูปแบบแนวคิดและหลกั การของพวก เขาเอง 
  ในทางตรงกนั ขา้ม ความเชื่องมงายนั ไดร้ับการพิจารณาว่าเป็นอานาจอนั สมบูรณ์เป็นสิงซ่ึงมี ความเกี่ยวโยงและไม่ใช่สิงสมบูรณ์ (และตอ้ งการการเชื่อฟังโดยไม่มีเงื่อนไข) ความเชื่องมงายนนั ทาให้ วตั ถุบางอยา่ ง (เงินตรา, อานาจ, เพศกาม) หรือคนบางคน (เช่นสตาลิน, ฮิตเลอร์, เหมา, ประมุขผปู้ กครองรัฐ และพระสนัตะปาปา)หรือองคก์รของมนุษย์(พรรค,ศาสนจกัร)กลายเป็นพระเจา้ ในแง่น้ีกลุ่มลทัธิใดๆก็ ต่างแสดงตนเองเป็นเสมือนหน่ึงความเช่ืองมงายอยา่ งหน่ึงดว้ ย! ผลก็คือ ไม่ใช่วา่ ทุกความเช่ือนนั จะนบั เป็น ศาสนาทงัมนัยงัมีความเช่ือรูปแบบสมยัใหม่ท่ีไม่ใช่ในเชิงศาสนาอยเู่ช่นกนั ในทางตรงกนัขา้มใช่วา่ทุก ศ า ส น า น นั จ ะ เ ป ็ น ค ว า ม เ ช ื ่ อ อ นั ง ม ง า ย ม นั ย งั ม ี ศ า ส น า ท ี ่ แ ท จ้ ร ิ ง อ ย ่ ู แ ต ่ ศ า ส น า ใ ด ๆ น นั จ ะ ส า ม า ร ถ ก ล า ย เ ป ็ น ความเชื่องมงายได้ก็ต่อเม่ือมนั ทาให้สิงอนั ไม่จาเป็นกลายเป็นสิงสาคญั เปลี่ยนแปลงสัมพนั ธภาพให้ กลายเป็นสิงอนั สมบูรณ์ 

2.อิสรภาพทางศาสนาน้ันเป็นของสาหรับท้ังผู้ที่มีศรัทธาและผู้ที่ไม่มีศรัทธา: ไม่มีมนุษยค์ นไหนท่ีจะตอ้ ง ถูกบงั คบั ไม่ว่าจะโดยทางกายภาพหรือโดยทางจิตใจให้ยอมรับนบั ถือในศาสนาใดศาสนาหน่ึงหรือในคติ นิยมใดคตินิยมหน่ึง มนุษยท์ ุกคนจะตอ้ งไดร้ ับอนุญาตให้ละทิงหรือเปล่ียนศาสนาของตนเองได้ มาตราท่ี 18 ของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ได้ระบุถึงขอ้ ดงั กล่าวเอาไวใ้ นแนวทางที่ส่งผลผูกพนั มนั อาจจะไม่มีเสรีภาพสาหรับผยู้ ึดหลกั อเทวนิยม: แต่ผูย้ ึดหลกั อเทวนิยมจะตอ้ งมีเสรีภาพในการคิด พูดและ เผยแพร่ แมแ้ ต่ในประเทศซ่ึงรัฐธรรมนูญนนั อิงตามแนวทางศาสนา และมนั ก็หาไดม้ ีเสรีภาพสาหรับกลุ่มผู้ นบั ถือศาสนาเสมอไป แต่ผศู้ รัทธาของทุกศาสนาจะตอ้ งมีเสรีภาพทางความคิด การพดู และเผยแพร่ในทุก ประเทศ ไม่วา่ ประเทศนนั จะเป็นแบบฆราวาส สังคมนิยม อิสลามหรือประเทศท่ีมีแนวทางอิงตามหลกั การ ใดๆก็ตาม 

3.ศาสนาใดๆก็ถูกแสวงหาประโยชน์ทางการเมืองและนาไปใช้ในทางที่ผิดได้ท้ังน้ัน:ในยคุ ปัจจุบนั ศาสนา ไดก้ ลายมาเป็นตวั แทนในการเมืองโลกอีกครัง เป็นความจริงที่ว่าศาสนานนั ไดถ้ ูกแสดงออกดา้ นของการ ทาลายลา้ งอย่บู ่อยครังเกินไปในหน้าประวตั ิศาสตร์ ศาสนานนั ไดก้ ระตุน้ และยอมให้เกิดความเกลียดชงั ค ว า ม เ ป ็ น ศ ตั ร ู ค ว า ม ร ุ น แ ร ง แ ล ะ แ น ่ น อ น ส ง ค ร า ม แ ต ่ ใ น ห ล า ย ๆ ก ร ณ ี แ ล ว้ ศ า ส น า ก ็ ไ ด ก้ ่ อ ก ร ะ ต ุ น้ แ ล ะ ย อ ม ให้เกิดความเขา้ ใจ การประนีการประนอม ความร่วมมือและสันติภาพ ในหนงั สือของเขาในหวั ขอ้ ความ เป็นไปได้ของศาสนาสาหรับสันติภาพ ดร.มาร์คสั ไวน์การ์ธ แห่งมูลนิธิจริยธรรมโลก ได้อภิปรายถึง กรณีศึกษาแกนกลางหกรายการและตวั อย่างประกอบอีกกว่า 30 รายการ ของการเขา้ ประนีประนอมเหตุ ความขดั แยง้ อนั มีตน้ เหตุมาจากศาสนา และในหนงั สือซ่ึงตีพิมพใ์ นทศวรรษ 90 ดร.กุนเทอร์ เอ็บฮาร์ด ได้ เน้นถึงความเน้นเป็ นไปได้ของการให้การศึกษาเพื่อมุ่งเน้นสันติภาพ ในความพยายามเคลื่อนไหวเพื่อ สันติภาพของศาสนา ในช่วงทศวรรษหลงั ๆ การริเริมการเสวนาและความร่วมมือระหวา่ งศาสนานนั ไดร้ ับ การริเริมข้ึนทวัทุกมุมโลก ในงานเสวานาครังน้ี ศาสนาต่างๆ ของโลกไดค้ น้ พบวา่ ถอ้ ยแถลงทางจริยธรรม พ้ืนฐานของศาสนาของตนเองนนั มีส่วนสนบั สนุนและส่งเสริมคุณค่าทางจริยธรรมอนั เป็นส่วนหน่ึงของ ปฏิญญาสากลวา่ ดว้ ยสิทธิมนุษยชน ในการประชุมสภาศาสนาโลก ประจาปี 1999 ในชิคาโก้ มีตวั แทนกวา่ 200คนจากศาสนาต่างๆทวัโลกร่วมประชุมกนั เป็นครังแรกในประวตั ิศาสตร์ประกาศฉันทามติที่มีต่อ คุณค่าทางจริยธรรม มาตรฐานและเจตคติที่พวกเขามีร่วมกนั อนั เป็นพ้นื ฐานสาหรับหลกั จริยธรรมสากล 

4.ศาสนาทนี่ ับถือในพระเจ้าพระองค์เดียวท้ังสามศาสนามีความเสี่ยงต่อการถูกยั่วยุให้มีการใช้ความรุนแรง เป็นพเิศษ:ในศาสนาศาสดาพยากรณ์ทงั สามศาสนายดู าย, คริสตศ์ าสนาและศาสนาอิสลามต่างมอง ตวั เองในปัจจุบนั วา่ กาลงั เผชิญหนา้ กบั ขอ้ กล่าวหาวา่ ในฐานะที่เป็นศาสนาผนู้ บั ถือพระเจา้ พระองคเ์ดียวแลว้ พวกเขาต่างมีความเส่ียงมากเป็นพิเศษต่อการถูกยวัยุให้ใช้ความรุนแรง เม่ือเทียบ ลทั ธินอกศาสนาหรือศาสนา อเทวนิยม” (ศาสนาพุทธ) เป็นไปไดห้ รือไม่วา่ ในขณะท่ีทุกศาสนาเหล่านนั ต่างก็มีแง่มุมของ ความรุนแรงอยบู่ า้ งแลว้ แต่เน่ืองจากพวกเขาผกู พนั อยกู่ บั พระเจา้ เพียงพระองคเ์ ดียว ศาสนาผนู้ บั ถือในพระ เจา้ พระองคเ์ ดียวจึงเป็นศาสนาท่ีไม่มีความอดทน ไร้ซ่ึงสันติภาพและพร้อมใช้ความรุนแรงอยู่แลว้ เป็น พิเศษ
  แต่เราก็ตอ้ งสงั เกตดว้ ยเช่นกนั วา่ นบั ตงั แต่เกิดมีมนุษยข์ ้ึนมา ก็มีศาสนาเกิดข้ึนตามมา และนบั ตงั แต่ มีมนุษยเ์ กิดข้ึนมา มนั ก็มีความรุนแรงตามมา สังคมที่เปรียบไดด้ งัสวรรคซ์ ่ึงปราศจากความรุนแรงนนั ไม่เคย ปรากฏมาก่อนบนโลกมนุษยใ์ บน้ี ซ่ึงเจริญเติบโตข้ึนมาดว้ ยการวิวฒั นาการมาจากโลกของสัตวเ์ดรัจฉาน ตลอดหลายต่อหลายชวัอายุคน มนุษยไ์ ดพ้ ยายามทดลองและทดสอบบรรทดั ฐานทางจริยธรรมพ้ืนฐานเพื่อ พิสูจน์ตวั เอง ซ่ึงบรรทดั ฐานเหล่าน้ีก็รวมถึงการใหค้ วามเคารพในชีวิตของบุคคลอื่น การไม่สังหารผอู้ ่ืน อยา่ งจงใจ หรือกล่าวอีกอยา่ งหน่ึงคือ ไม่ก่อการฆาตกรรม 
  แต่ก็มีหลายครังที่ศาสนาไดย้ อมให้เกิดและจุดชนวนสงคราม และแมแ้ ต่ถึงขนั ประกาศ สงคราม ศกั ด์ิสิทธ์ิอนั สงครามศกั ด์ิสิทธ์ินั ผมหมายถึงสงครามท่ีกระทาโดยการกล่าวอา้ งถึงภารกิจที่ทาใน นามของพระผเู้ป็นเจา้ ไมว่ า่ สงครามน้ีจะกระทาในนามของพระเจา้ องคเ์ดียวหรือพระเจา้ หลายองคน์ นั เป็น เรื่องที่สาคญั รองลงไป แน่นอนว่า เป็นเร่ืองไม่ถูกตอ้ งที่จะกล่าวว่า ทุกสงครามที่ก่อข้ึนโดย ชาวคริส เตียนในช่วงศตวรรษท่ีผ่านมานนั เกิดจากแรงจูงใจทางดา้ นศาสนา ในขณะที่นกั ล่าอาณานิคมในทวีป อเมริกาเหนือและอเมริกาใตแ้ ละออสเตรเลียสังหารชาวอินเดียนและชาวอะบอริจินไปนบั พนั คน ในขณะที่ เจา้อาณานิคมชาวเยอรมนัในประเทศนามิเบียสังหารชาวเฮอเรโรไปนบัพนันบัหมื่นคนในขณะที่ทหารชาว องั กฤษยิงผปู้ ระทว้ งชาวอินเดียไปเป็นจานวนมาก ในขณะที่กองทพั อิสราเอลในเลบานอนหรือปาเลสไตน์ สังหารประชาชนนบั ร้อยนบั พนั คนหรือในขณะที่ทหารชาวเติร์กสังหารชาวอาร์เมเนียนบั พนั นบั หมื่นคน เหตุการณ์ เหล่าน้ีไม่ควรจะกล่าวอา้ งในนามของพระเจา้ องคเ์ ดียว นี่ยงั ไม่พูดถึงเรื่องสงครามโลกอีกสอง ครังนะ 

5. ศาสนาทุกศาสนาจะต้องพิจารณาอย่างลึกซึ้งถึงประเพณีทางศาสนาของตน: ในยุคซ่ึงแตกต่างจากยุค โบราณและยุคกลาง มนุษยชาติสามารถลา้ งผลาญเผา่ พนั ธุ์ตวั เองไดโ้ ดยเทคโนโลยีสมยั ใหม่ ศาสนาทุก ศาสนา โดยเฉพาะอยา่ งยงิศาสนาศาสดาพยากรณ์ทงั สามซ่ึงเป็นขาประจาดา้ นการใชค้ วามรุนแรง จะตอ้ งใส่ ใจหลีกเล่ียงสงครามและสนบั สนุนสันติภาพ การย้อนทบทวนประเพณีทางศาสนาของตัวเอง ซ่ึงมีแต่จะ สร้างความแตกแยกจึงเป็นสิงท่ีพึงหลีกเลี่ยงในท่ีน้ี โดยมีสองประเด็นหลกั ดงั น้ี 
  ประการแรก:ถ้อยคาและเหตุการณ์อนั เก่ียวข้องกับสงครามในขนบธรรมเนียมของศาสนาหน่ึงนนั ควรจะไดร้ ับการตีความในทางประวตั ิศาสตร์โดยอิงตามสถานการณ์ในช่วงเวลาดงั กล่าว แต่ไม่ใช่เป็นการ กล่าวหา ซ่ึงเร่ืองน้ีสามารถประยกุ ตไ์ ดก้ บั ทงั สามศาสนา: 

- สงครามพระยาห์เวห์อนั โหดร้ายและบทสวดแห่งการลา้ งแคน้ โดยไร้ซ่ึงความเมตตาในพระคมั ภีร์ฮิบรู นนั สามารถทาความเขา้ ใจไดใ้ นสถานการณ์ของการก่อตงั ถินฐาน และจากสถานการณ์ช่วงหลงั จากนนั ใน การปกป้ องถินฐานจากกองทพั ศตั รูผมู้ ีกาลงั เหนือกวา่ มาก 

- สงครามประกาศศาสนาของคริสตศ์ าสนา และ สงครามครูเสดนั มีพ้ืนฐานอยใู่ นสถานการณ์ตามหลกั อุดมการณ์ของคริสตจกั รในช่วงยคุ แรกและช่วงยคุ กลาง 

-การเรียกร้องให้มีการทาสงครามในคมั ภีร์กุรอานนนั สะทอ้ นถึงสถานการณ์ที่เกิดข้ึนจริงกบั พระศาสดา โมฮมั หมดั ในช่วงยุคเมดินาและคุณลกั ษณะพิเศษของซูเราะห์ซ่ึงไดถ้ ูกเปิดเผยออกมาที่เมืองเมดินา การ เรียกร้องให้ต่อสู้กบั ลทั ธินอกศาสนาชาวเมืองเมกกะนนั ไม่อาจจะอา้ งอิงมาสู่สถานการณ์ในยุคปัจจุบนั เพื่อใหค้ วามเป็นธรรมต่อการใชค้ วามรุนแรงในหลกั การได้ 

ประการที่สอง: คาพูดและการกระทาทกี่ ่อให้เกิดสันติภาพ ในแต่ละระบบขนบธรรมเนียมนนั ควรจะไดร้ ับ การพิจารณาเป็นแรงกระตุน้ สาหรับยุคปัจจุบนั หลกั การทางจริยธรรมในเรื่องของสงครามและสันติภาพ เหล่าน้ีควรจะไดร้ ับการเอาใจใส่เพื่อความสงบเรียบร้อยของโลก 

-ในช่วงศตวรรษที่ยสี่ ิบเอด็ สงครามนนั ไม่ใช่การกระทาอนั ศกั ด์ิสิทธ์ิและไม่ใช่ทงั การกระทาอนั สะอาดหมด จดดว้ ยเช่นกนั เมื่อมองถึงการเสียสละชีวติ มนุษยไ์ ปเป็นจานวนมาก, การทาลายลา้ งโครงสร้างพ้ืนฐานและ มรดกทางวฒั นธรรมและความเสียหายต่อระบบนิเวณ, แมแ้ ต่ สงครามของพระยาห์เวห์” (ชารอน), ส ง ค ร า ม ค ร ู เ ส ด ” ( บ ุ ช แ ล ะ ญ ิ ฮ า ด ” ( อ ลั ก อ อ ิ ด ะ ห ์ ) ใ น ย ุ ค ส ม ยั ใ ห ม ่ น นั ต ่ า ง เ ป ็ น ส ิ ง ท ่ ี ไ ร ้ ซ ่ ึ ง ค ว า ม ร ั บ ผ ดิ ช อ บ อยา่ งยงิ่ 

-สงครามนนั ไม่อาจอา้งได้วา่เป็นสิงที่ไม่อาจหลีกเล่ียงได:้แนวทางการทูตที่ประสานความร่วมมือกนัมาก ข้ึน ซ่ึงไดร้ ับการสนบั สนุนดว้ ยการควบคุมอาวธุ ท่ีมีประสิทธิภาพมากกวา่ น้ี สามารถป้ องกนั ไดม้ งั สงคราม ในยโู กสลาเวยี และสงครามอ่าวทงั สองครัง 

-นโยบายท่ีไม่ชอบดว้ ยจริยธรรมท่ีมุ่งเน้นแต่ผลประโยชน์ของประเทศ อย่างเช่น เพื่อครอบครองแหล่ง นามนั หรือเพื่ออานาจการปกครองในตะวนั ออกกลาง ยงิทาใหส้ งครามทวคี วามซบั ซอ้ นมากข้ึน 

-ลทัธิสนัตินิยมโดยสมบูรณ์สาหรับลทัธิดงักล่าวแลว้สันติภาพนนัคือความดีงามขนัสูงสุดและจะตอ้งสละ ทุกสิงทุกอย่างเพื่อบรรลุซ่ึงสันติภาพ สันติภาพเป็นสิงที่ไม่อาจบรรลุไดใ้ นทางการเมือง และการกาหนด สนั ติภาพเป็นหลกั การทางการเมืองนนั เป็นเรื่องท่ีไร้ความรับผิดชอบอยา่ งยงิสิทธิในการปกป้องตวั เองนนั ไดร้ ับการยืนยนั เอาไวโ้ ดยชดั เจน ในมาตรฐานท่ี 51 ของกฎบตั รสหประชาชาติ ดงั นนั การจะบอกว่าเพื่อ ส ั น ต ิ ภ า พ แ ล ว้ ย อ ม แ ล ก ไ ด ท้ ุ ก ส ิ ง อ ย า่ ง ก า ร ฆ ่ า ล า้ ง เ ผ า่ พ นั ธ ุ ์ น นั เ ป ็ น เ ร ื ่ อ ง ท ี ่ ข า ด ค ว า ม ร ั บ ผ ิ ด ช อ บ อ ย ่ า ง ย ิ ง เ ผ ด ็ จ การผหู้ ลงผิดในอานาจของตวั เองและฆาตกรผสู้ ังหารผคู้ นจานวนมาก(สตาลิน,ฮิตเลอร์)นนั จึงเป็นบุคคล ซ่ึงจะตอ้ งถูกต่อตา้ น 

-อาชญากรรมต่อมนุษยชาตินนั เป็นเรื่องภายใตเ้ขตอานาจของศาลยตุ ิธรรมนานาชาติซ่ึงก็หวงั วา่ คณะรัฐบาล ของประเทศอเมริกา หลงั จากยุคของจอร์จ ดบั เบิลยู บุช เป็นตน้ มา จะได้หันมาสนบั สนุนในประเพณีที่ดี ที่สุดของประเทศอเมริกาเสียที 

ในหัวขอ้ ต่อจากน้ี ผมจะไดล้ งลึกไปท่ีบทบาทของคริสตจกั รโรมนั คาธอลิก และบทบาทของนิกายอีสเทิร์ นออร์โธดอกซ์และทา้ยสุดบทบาทของคริสตจกัรโปรเตสแตนท์ในทางดา้นการเมือง 


II.บทบาทของคริสตจักรโรมันคอธอลกิในฐานะปัจจัยทางการเมอืง 

มุมมองของชาวโรมต่อคริสตศ์ าสนา (ซ่ึงค่อนขา้ งติดอกติดใจกบั การอา้ งวา่ เป็นทศั นะของชาวคาธอลิก) นนั ไดถ้ ือกาเนิดข้ึนมาในช่วงศตวรรษที่4/5 อนั เป็นทศั นะทางศาสนาโดยออกุสตีนและมุมมองทางการเมือง โดยสมเด็จพระสันตะปาปาของกรุงโรมหลงัจากที่ประชาชนของอาณาจกัรถูกโยกยา้ยไปยงักรุงคอนสแตนติ โนเปิล มีเพยี งแต่ในช่วงศตวรรษที่สิบเอด็ เท่านนั ท่ีมุมมองดงั กล่าวไดถ้ ูกนาไปใช้ในการปฏิรูปศาสนาของ สมเดจ็ พระสันตะปาปาเกรกอเรียน (พาราไดม์ เดอะ เติร์ด) ดว้ ยความช่วยเหลือของนกั ปลอมลายมือชาวซู โด-อิสิโดราน ณ ศูนยก์ ลางของวสิ ัยทศั น์ของกรุงโรม นนั ดารงไวซ้ ่ึงบิชอปแห่งโรม พระสันตะปาปา ซ่ึง อาศยั อานาจในพระเจา้ และพระเยซู คริสต์ อา้ งอานาจสากลอยา่ งเป็นสิทธิขาดต่อคริสตจกั รทงั ปวง (และถึง ขนั อา้ งอานาจปกครองเหนือสังคมทงั ปวงเป็ นช่วงระยะเวลาหน่ึง) ทงั อานาจในการตีความหลกั คาสอน และ อานาจในการบญั ญตั ิกฎหมาย การปกครองและตดั สินคดีความทงั หลาย ต่างอยู่ใตอ้ านาจของคริสตจกั ร ทงั หมด 
  พอถึงช่วงตน้ ศตวรรษที่สิบเอ็ด การอา้ งสิทธิสมบูรณ์ในอานาจดงั กล่าว (และแน่นอนว่ารวมถึง ปัจจยั อ่ืนๆ) นาไปสู่ความขดั แยง้ (เหตุการณ์ ขอ้ ขดั แยง้ เร่ืองการสถาปนาสมณศกั ด์ิ”) กบั จกั รพรรดิของ เยอรมนี และก่อให้เกิดความแตกแยกระหว่างคริสตจกั รละตินทางฝังตะวนั ตก และคริสตจกั รไบเซนไทน์- ออร์โธดอกซ์ทางฝังตะวนั ออก จากนนั ในช่วงศตวรรษที่สิบหกก็นาไปสู่การแตกแยกของคริสตจกั รทางฝัง ตะวนั ตก กลายเป็นคริสตจกั รของกลุ่มปฏิรูป และคริสตจกั รของกลุ่มต่อตา้ นการปฏิรูป คริสตจกั รโรมนั และในที่สุด ในช่วงยคุ ศตวรรษที่ สิบเกา้ /ยส่ี ิบ เกิดการแบ่งขวั เกิดการแบ่งแยก และแน่นอนวา่ นาไปสู่ความ ขดั แยง้ ระหวา่ งแนวทางของผคู้ นและคณะสงฆข์ องนิกายแห่งกรุงโรมและของนิกายคาธอลิก ซ่ึงเหตุการณ์ ทงั หลายทงั ปวงน้ี ต่างถูกหยบิ ยกมาพิจารณาในวชิ าเทววทิ ยา 
  ในช่วงคร่ึงหลงัของยุคศตวรรษท่ีย่สีิบสภาสังคายนาวาติกนั ครังที่2ไดร้ับเอาแนวคิดแกนกลาง ต่างๆจานวนมากของทงั ยุคการปฏิรูปศาสนา(พาราไดม์โฟร์ท)และยุคสมยั ใหม่(พาราไดม์ฟิฟ) แต่ผลท่ี ไดจ้ ากการประนีประนอมและการก่ึงบงั คบั ข่มข่ขู องกลุ่มโรมนั คูเรีย ในหลายๆ ดา้ น ทาให้เกิดความลม้ เหลว ท่ีจะบรรลุซ่ึงวสิ ัยทศั นค์ าธอลิกต่อคริสตจกั ร.คา 
เป็นที่เห็นพอ้ งตอ้ งกนั สาหรับยุคศตวรรษท่ียสี่ ิบ ความร่วมมือร่วมแรงของสมเด็จพระสันตะปาปากบั เหล่า บิชอป อนั ให้ผลการลงมติในปี 1965 ให้มีการถ่วงดุลของคานิยามต่อตาแหน่งสังฆราชโดยสภาสังคายนา วาติกนั ครังแรก (ปี 1870) นนั กลบั ถูกเพิกเฉยโดยกลุ่มโรมนั คูเรีย หลงั จากเสร็จสภาสังคายนาวาติกนั ครังท่ี สองและหลกั อานาจตามหลกั สมบรู ณาญาสิทธิราชของสมเดจ็ พระสันตะปาปาก็ไดร้ ับการฟ้ืนฟูกลบั มาและ ป่าวประกาศอยา่ งยงิใหญ่ดว้ ยความช่วยเหลือของสื่อมวลชน 
  เกือบจะทวัทุกมุมโลกคริสตจกั รคาธอลิกดารงอานาจทางจิตวิญญาณซ่ึงแน่นอนวา่ เป็นพลงั อานาจ อนัยงิใหญmujงัลทัธินาซีหรือลทัธิสตาลินหรือลทัธิเหมานนัไม่อาจลบลา้งได้คริสตจกัรค่อนขา้งแยกตวั เองออกจากองคก์ รตน้ สังกดั อนั ยิงใหญ่ของตวั เอง คริสตจกั รนนั ยงั มีฐานอยู่ในทุกแนวหน้าของโลกใบน้ี ในรูปของกอ้ นขนมปัง ชุมชน โรงพยาบาล โรงเรียนและสถาบนั ทางสังคม ซ่ึงในฐานที่มนัเหล่าน้ี ไดม้ ีการ ทุ่มเทกระทาคุณงามความดีจานวนไม่จากดั แมว้ ่าจะตอ้ งเผชิญกบั ความยากลาบากทงั หลาย ซ่ึงนกั บวช จานวนมากต่างทุ่มเทแรงกายอยา่ งไม่เหน็ดเหนื่อย ในการใหค้ วามช่วยเหลือแก่ผคู้ น ซ่ึงผคู้ นจานวนมากต่าง อุทิศตนเองใหก้ บั เหล่าเด็กเล็กและผชู้ ราผปู้ ่วยผดู้ อ้ ยโอกาสและผยู้ ากไร้และผลู้ ม้ เหลว คริสตจกั รถือเป็น ชุมชนระดบั โลกของเหล่าผมู้ ีศรัทธาและผอู้ ุทิศตน หลายต่อหลายครังท่ีการอุทิศตนดงั กล่าวนนั ส่งผลลพั ธ์ ทางการเมืองอย่างมากในหลายๆสถานการณ์ของการกดขี่และความอยุติธรรมที่การอุทิศตนอนั เป็น รากฐานความศรัทธาของชาวคริสเตียน โดยบางครังต้องอุทิศด้วยชีวิตของพวกเขา ได้นามาซ่ึงการ เปลี่ยนแปลง กลุ่มและบุคคลต่างๆของนิกายคาธอลิกนนั มีบทบาทที่สาคญั ในการลม้ ระบอบเผด็จการใน ทวปีอเมริกาใตแ้ละประเทศฟิลิปปินส์ 
  อย่างไรก็ตาม ประวตั ิศาสตร์ของคริสตจกั รคาธอลิก ก็เหมือนกบั สถาบนั อื่นๆ นนั กลบั มีความ คลุมเครือ เราต่างรู้กนั ดีวา่ เบ้ืองหลงั องคก์ รอนั ทรงประสิทธิภาพนนั มกั จะแฝงไวด้ ว้ ยเครื่องมือแห่งอานาจ และการเงิน อนั ปฏิบตั ิการตามแนวทางปกติของโลก เบ้ืองหลงั ขอ้ มูลสถิติที่ถูกยดั เยียด วาระโอกาสอนั ยงิใหญ่และพธิ ีสวดมนตร์ที่เกี่ยวขอ้ งกบั ผคู้ นจานวนมากของชาวคาธอลิก มนั ยงั มีขนมธรรมเนียมอนั ต้ืนเขิน แบบดงั เดิมของคริสตศ์ าสนาซ่ึงหาสาระใดๆ ไดย้ าก โดยมากแลว้ กลุ่มหน่ึงของนกั บวชเจา้ พนกั งาน ซ่ึงมีหู มีตาอยใู่ นกรุงโรม ซ่ึงเป็นผรู้ ับใชข้ องเหล่าผทู้ ี่ อยเู่ หนือกวา่ และเป็นผชู้ ่วงใชข้ องเหล่าผทู้ ี่ อยตู่ ่ากวา่ ซ่ึง เป็นผูแ้ สดงตวั ตนในโครงสร้างตามลาดบั ชนั ของหลกั วินัย เผด็จการผูล้ ้าสมยั ผูร้ ู้ในหลกั เทววิทยาที่ไม่ เก่ียวขอ้งกบัพระธรรมคมัภีร์นนัมกัจะดารงอยใู่นระบบตามหลกัการอนัปราศจากขอ้พิสูจน์ในวงอนัคบัแคบ และความสาเร็จทางวฒั นธรรมของโลกตะวนั ตกท่ีไดร้ ับการสรรเสริญเป็นอย่างมาก นนั ก็มาพร้อมกนั กบั การดาเนินการในทางโลกต่างๆ จานวนมากท่ีเบี่ยงเบนจากภาระงานทางจิตวญิ ญาณที่แทจ้ ริง 
  การปกครองโดยบิชอปจากกรุงโรมท่ีมีเหนือคริสตจกั รทงั มวล ตามแนวทางที่เป็นตวั อย่างของ นกั บุญปีเตอร์ผเู้ผยแพร่ศาสนา นนั จะเป็นเร่ืองที่ทรงความหมายอย่างยิงหากว่ามนั กระทาโดยปราศจาก ความเห็นแก่ตวั ตามหลกั คาสอนของพระเยซู เช่นเดียวกบั การอวดอา้ งไดว้ า่ พระสันตะปาปานนั ไดอ้ ุทิศตน อยา่ งใหญ่หลวงในการทานุบารุงความสามคั คี เอกภาพและเสรีภาพของคริสตจกั รฝังตะวนั ตกเอาไว้ และ ระบบการปกครองของกรุงโรมนนั ก็ไดม้ ีการพสิ ูจนต์ นเองอยบู่ ่อยครังวา่ มีประสิทธิภาพมากกวา่ เม่ือเทียบกบั กลุ่มพนั ธมิตรคริสตจกั รของคริสตจกั รฝังตะวนั ออก จนถึงปัจจุบนั ไม่วา่ ที่ใดก็ตามท่ีพระสันตะปาปาไดร้ ับ ความเชื่อถือ พระองคส์ ามารถอภิปรายถึงความรู้สึกผิดชอบของโลกทงั ใบในฐานะผปู้ กครองทางจริยธรรม ได้ แต่ว่าบทบาทสองส่วน ระหว่างทางดา้ นจิตวิญญาณและทางการเมืองของกรุงวาติกนั ในฐานะที่เป็น คณะปกครองคริสตจกั รและรัฐเอกราช นนั กลบั ค่อนขา้ งคลุมเครืออยา่ งมาก ส่วนผสมอนั เป็นผลร้ายของ บทบาททงั สองดา้ นนนั จะปรากฏข้ึนชดั เจนเม่ือนครวาติกนั พยายามที่จะบงั คบั ใชแ้ นวคิดทางจริยธรรมของ ตนเองในรูปของนโยบายยกตวัอยา่งเช่นปัญหาโรคเอดส์และการคุมกาเนิด การประชุมประชากรโลกของ สหประชาชาติในกรุงไคโร ในปี 1994 นนั ก็เป็นตวั อยา่ งหน่ึงของการกระทาดงั กล่าว 
  ดงั นนั จุดอ่อนและขอ้ ดอ้ ยของระบบกรุงโรมนนั จึงเป็นปรปักษต์ ่อ และค่อนขา้ งจากดั อิทธิพลของ สมเดจ็พระสนัตะปาปาแมแ้ต่ภายในขอบเขตพระราชอานาจของพระองคเ์องชาวคาธอลิกจานวนมาก ต่างไดต้ าหนิการอา้ งสิทธิอานาจของกรุงโรม ระบุวา่ ระบบการปกครองของกรุงโรมนนั ผา่ นพน้ ไปแลว้ และ ไดพ้ ฒั นาตีห่างจากแนวทางดงั เดิมของชาวคริสเตียนและแบบแผนของคริสตจกั ร นบั ตงั แต่ยุคสมยั กลางยคุ รุ่งโรจน์เป็นตน้ มา ดา้ นลบของกรุงโรมก็ยิงปรากฏชดั นบั ตงั แต่ยุคดงั กล่าวเป็นตน้ มา ไดม้ ีเสียงร้องเรียน เกี่ยวกบั : 

-พฤติกรรมของผเู้ ผด็จการ ที่ไม่เคยปรากฏความผดิ ทงั ในหลกั คาสอนและหลกั ศีลธรรม  

-การบีบบงัคบัฆราวาสคณะสงฆแ์ละคริสตจกัรทอ้งถินจนถึงรายละเอียดระดบัที่เล็กยอ่ยที่สุด 

-ระบบอานาจสมบูรณาญาสิทธิราชอนั เก่าพน้ สมยั ซ่ึงปฏิบตั ิตามแนวทางของจกั รพรรดิของกรุงโรมมากกวา่ แนวทางของนกับุญปีเตอร์ชาวประมงผถู้่อมตนแห่งกาลิลี่ 

โอกาสสาหรับคริสตจักรคาธอลิก: จากมุมมองของกรุงโรม มนั ไม่อาจจะปฏิเสธไดว้ า่ บ่อยครังที่คริสตจกั ร อนั ง่อนแง่นนนั แอบซ่อนอยเู่บ้ืองหลงั ดา้ นหนา้ อนั งามผอ่ งใสของคาธอลิก กลุ่มคนจานวนมากมหาศาลซ่ึง รวมตวั กนั อย่หู น้าคริสตจกั รนนั บ่อยครังสามารถสร้างความประทบั ใจ ซ่ึงมกั จะเป็นภาพลวงตาไดอ้ ย่าง ง่ายดาย ถึงอานาจภายในของความศรัทธา ซ่ึงผนึกรวมเหล่าคริสตจกั รคาธอลิกเขา้ ดว้ ยกนั เป็นองคก์ รศาสนา นานาชาติท่ีทรงความสาคญั มากท่ีสุดในโลก ในกรุงโรม มีความคิดกนั ว่าการปฏิรูปกนั ภายในคริสตจกั ร อนั เป็นข้อท่ีเรียกร้องโดยผูค้ นจานวนมากนันจะไม่ทาให้คริสตจกั รคาธอลิกก้าวหน้าไปได้มากกว่า คริสตจกั รโปรเตสแตนต์ ซ่ึงต่างก็มีคุณลกั ษณะเหมาะสมต่อการปฏิรูปแต่ผลลพั ธ์ที่ไดก้ ลบั ไม่ดีกวา่ เดิมสัก เท่าไหร่ แต่วา่ คริสตจกั รนนั มีการเจริญเติบโตโดยดึงเอาจากแหล่งกาเนิดชีวิตเชิงบวกของตนเอง ในส่วนท่ี เป็นแรงกระตุน้ อนั ยงิใหญ่ของตนนนั ไดร้ ับสัมผสั วา่ เป็นอานาจปัจจุบนั ท่ีถ่ายทอดต่อมาจากการมุ่งมองหา พระเจา้ และจากการพบปะกบั พระเยซู คริสต์ 
  เมื่อพจิ ารณาจากมุมมองสมั พนั ธภาพระหวา่ งศาสนาต่างๆ แลว้ แน่นอนวา่ มนั เป็นสิงสาคญั ที่จะตอ้ ง ให้การยืนยนั ถึงความจาเป็นต่อการมุ่งเน้นไปที่แก่นสาระสาคญั ของคริสต์ศาสนา พระเจา้ และพระเยซู คริสต์ แต่เน่ืองจากโครงการเผยแพร่คาสอนของพระเยซูซ่ึงริเริมข้ึนโดยสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นพอล ท่ี 2 เม่ือหลายทศวรรษก่อน นนั เกิดไปพนั ผูกเขา้ กบั แนวการกาหนดฐานะอนั ดนั ทุรังและความจาเป็นทาง ศีลธรรมท่ีพน้ สมยั ไปนานมากแลว้ และเคยถูกนามาใชใ้ นโครงการเปล่ียนความศรัทธาอื่นๆ เขา้ มาสู่ลทั ธิ คาธอลิกมนั จึงลม้ เหลวแมว้ า่ จะมีเอกสารสุนทรพจน์และการเดินทางต่างๆเป็นจานวนมากและแมว้ า่ จะมี การโฆษณาชวนเช่ือผา่ นส่ือเป็นจานวนมากมายมหาศาล สมเด็จพระสันตะปาปาก็ไม่ประสบความสาเร็จ ในการชักชวนให้ชาวคาธอลิกส่วนใหญ่ของกรุงโรม หันมาสนับสนุนท่าที ต่อคาถามท่ีมีการโตแ้ ยง้ กัน โดยเฉพาะอยา่ งยงิคาถามเก่ียวกบั ศีลธรรมทางเพศ (การคุมกาเนิด, การมีเพศสัมพนั ธ์ก่อนการแต่งงาน, การ ทาแทง้) 
  ดงั นนั มนั จึงควรมีคาเตือนต่อ ความหวงั ปลอมๆ กลุ่มคนจานวนมากที่เขา้ ร่วมกิจกรรมที่คริสตจกั ร นนั ไม่ควรจะไปปิดปลอมขอ้ เท็จจริงท่ีว่า ณ ที่น้ี หาไดม้ ีเพียงผคู้ นไม่กี่คนเท่านนั ท่ีมีความสงสัยใคร่รู้และ กาลงั มองหาความหมาย แต่หากคือทุกผทู้ ุกคนจากกลุ่มลทั ธิคาธอลิกแบบดงั เดิมต่างหาก คนหนุ่มสาวที่มา จากกลุ่ม โมวเีมนตี” (movimenti) หวั อนุรักษ์อนั เป็นชนพ้ืนเมืองจากประเทศสเปน อิตาลีและโปแลนด์ ซ่ึง มีความโดดเด่นในแง่ของความเคารพท่ีพวกเขามีต่อสมเด็จพระสันตะปาปา แต่ไม่โดดเด่นในแง่ของการ ยึดถือปฏิบตั ิตามคาสังสอนทางศีลธรรมของพระองค์และโดดเด่นในดา้ นการอุทิศตนอย่างใหญ่หลวงใน ชุมชนถินกาเนิดของตนเอง แมว้ ่าจะไดร้ ับการสอนสังนานนบั ทศวรรษ มีเพียงส่วนนอ้ ยในหมู่พวกเขา เท่านนั ที่ปฏิบตั ิขอ้ หา้ มเกี่ยวกบั การใชย้ าคุมกาเนิดและถุงยางอนามยั ตวั เลขการทาแทง้ นนั อยใู่ นอนั ดบั ท่ีสูง อยา่งยงิโดยเฉพาะในประเทศที่คริสตจกัรหา้มการใชย้าคุมกาเนิด 
  ลทั ธิคาสอนตามหลกั ของยุคกรีกโบราณ จากยุคศตวรรษท่ีส่ี/ท่ีห้า อย่างเช่น ลทั ธิคาสอนต่อตา้ น การปฏิรูปศาสนาของช่วงยคุ ศตวรรษท่ีสิบหก นนั เสมือนวา่ จะไม่เป็นที่รู้จกั โดยสินเชิงสาหรับชาวคาธอลิก โดยส่วนใหญ่ ยิงไปกวา่ นนั หลกั คาสอนใหม่ทงั สี่ของนครวาติกนั การตงั ครรภ์โดยปราศจากมลทิน (ปี 1854), การครองความบริสุทธ์ิ (ปี 1870) ของพระแม่มารี, เอกภาพของเขตอานาจปกครองและความไม่ ผิดพลาดของสมเด็นพระสันตะปาปา(ปี1870)นนั ก็ยงัไดร้ับการเพิกเฉยโดยคนส่วนใหญ่เช่นหรือไม่ก็ถูก ตงั คาถาม ในคริสตจกั รคาธอลิก ดงั นันการอพยพโยกยา้ ยครังใหญ่จากภายนอกและจากภายในของ คริสตจกัรคาธอลิกก็ไดเ้กิดข้ึน โดยเฉพาะอย่างยิงในประเทศคาธอลิกดงัเดิมทงัหลาย ยิงไปกว่านัน เน่ืองจากการปฏิเสธการแต่งงานสาหรับบาทหลวงและการรับผูห้ ญิงเขา้เป็นพระและเนื่องจากระบบการ ปกครองอยา่ งเผด็จการของกรุงโรม ในไม่ชา้ เขตการปกครองทางศาสนากวา่ คร่ึงหน่ึงของโลกจะปราศจาก บาทหลวง และการให้ความดูแลโดยบาทหลวงที่สังสมสร้างมานานหลายศตวรรษจะพงั ทลายลงในท่ีสุด ในประเทศละติน อเมริกา ชาวคาธอลิกจานวนหลายลา้ นคนไดอ้ พยพไปสู่คริสตจกั รของกลุ่มคริสตจกั รเพน เตคอสทลั (Pentecostal)(ซ่ึงใช่วา่ลทัธิเหล่าน้ีจะสามารถตดับทวา่เป็นนิกายไดเ้สียทงัหมด)เน่ืองจากพวก เขาไดพ้ บกบั บาทหลวงนกั เทศผสู้ ร้างแรงบนั ดาลใจ และชุมชนท่ีอยอู่ าศยั ท่ีพร้อมใหก้ ารช่วยเหลือ 
  โดยเฉพาะอยา่ งยิงขอ้ บกพร่องรากฐานท่ีสาคญั ของระบบกรุงโรม ซ่ึงจะตอ้ งไดร้ ับการจาแนกออก จากคริสตจกั รคาธอลิก อย่างเช่น การหันไปปรองดองกบั คริสต์จกั รออ์โธดอกซ์ของฝังตะวนั ออกและ คริสตจกั รในช่วงของการปฏิรูปศาสนานนั ดูเป็นเรื่องยากลาบากยงิ่ 


III.คริสตจักรออร์โธดอกซ์ของฝั่งตะวนัออกในฐานะทเี่ป็นปัจจัยทางการเมือง 

ไม่ตอ้ งสงสยั เลยวา่ คริสตจกั รออร์โธดอกซ์ของฝังตะวนั ออกนนั มีความใกลเ้ คียงมากกวา่ กบั คริสตศ์ าสนายคุ แรกเริมในหลายๆ ดา้ น การก่อตงั มโนทศั น์กรีก-เฮลเลนนิสติกของคริสตจกั รของราชอาณาจกั รโรมนั (II) นั ไดม้ ีการวางรากฐานเอาไวแ้ ลว้ โดยนกั บุญพอลผูเ้ ผยแพร่ศาสนาหลงั จากมโนทศั น์คริสเตียนชาวยิว (I) คริสตจกั รในช่วงยุคแรกเริมน้ียงั ไม่มีองคก์ รปกครองศูนยก์ ลาง อย่างเช่นคริสตจกั รโรมนั คาธอลิกของฝัง ตะวนั ตก (III) ซ่ึงขอ้ น้ีทาให้บาทหลวงสามารถแต่งงานได้ แต่ยกเวน้ นกั บวชในตาแหน่งบิชอปข้ึนไป และ ดงั นนั จึงไดร้ ับการสืบทอดไปโดยอารามส่วนใหญ่ ในคริสตจกั รออร์โธดอกซ์ ผมู้ ีศรัทธายงั จะไดร้ ับศีล มหาสนิทในสองรูปแบบ ขนมปังและไวน์ และคริสตจกั รออร์โธดอกซ์นนั ก็ดารงอยู่ได้ภายใตร้ ะบบ การเมืองทุกรูปแบบ แมแ้ ต่ในรัสเซียระหว่างช่วงการกวาดลา้ งครังล่าสุด ในยุคการปกครองของระบอบ คอมมิวนิสต์ซ่ึงดาเนินไปต่อเนื่องนานกว่าเจ็ดปี กบั ผสู้ ละชีพเพ่ือศาสนานบั พนั คน ซ่ึงก็เนื่องมาจากพิธี สวดและเพลงสวดอนั งดงาม ซ่ึงทงั หลายทงั ปวงน้ีจบั ใจแมแ้ ต่ผนู้ บั ถือจากฟากตะวนั ตก 
  อย่างไรก็ตาม เราก็ไม่อาจจะมองขา้ มขอ้ เทจ็ จริงที่ว่า ในอีกทางดา้ นหน่ึงนนั ระยะห่างจากคริสต์ ศาสนายุคแรกเริมนนั มีระยะห่างอย่างยิง ผูศ้ รัทธาโดยทวัไปนันประสบกบั ความยากลาบากในการรับรู้ เรื่องราวม้ือสุดท้ายของพระเยซู ในคาสังสอนของคริสตจกั รไบเซนไทน์และรัสเซีย กระนันอนั ตราย เฉพาะตวั ประการหน่ึงของคริสตจกั รออร์โธดอกซ์นนั อยใู่ นขอ้ เท็จจริงที่วา่ มนั เป็น คริสตจกั รของรัฐ ซ่ึงอยู่ ภายใตส้มเดจ็พระจกัรพรรดิซาร์และเลขาธิการใหญ่ของคริสตจกัรนนัสามารถกลายเป็นเคร่ืองมืออนัวา่ง่าย ของรัฐหรือของพรรคได้ ตวั แบบความสอดประสานของรัฐและคริสตจกั ร ซ่ึงปรากฏเกิดข้ึนในยคุ ไบเซน เทียม แสดงให้เห็นอยา่ งชดั เจนถึงการพ่ึงพาอาศยั กนั ของคริสตจกั รออร์โธดอกซ์รัสเซีย ที่มีอยกู่ บั สมยั การ ปกครองทางการเมืองในขณะนนั การพ่ึงพาอาศยัซ่ึงยงัคงปรากฏอยจู่นถึงทุกวนัน้ีอนัมีขนบธรรมเนียมที่ ยาวนานและศกั ด์ิสิทธ์ิยงิมนั ไม่เพียงแต่สอดคลอ้ งกนั กบั คริสตจกั รรัฐมอสโควติ ซ่ึงไดถ้ ูกก่อตงั ข้ึนในช่วง ยคุ ศตวรรษท่ีสิบหา้ /สิบหกเท่านนั แต่มนั ยงั หยงัรากลงลึกในขนมธรรมเนียมของคริสตจกั รไบแซนไทน์ ซ่ึง มีรากฐานอยแู่ ลว้ ตงั แต่ยคุ จกั รพรรดิคอนสแตนติน หลงั จากที่เปลี่ยนเขา้ มาสู่คริสตศ์ าสนาในช่วงศตวรรษท่ีสี่ ประเพณีของคริสตจกัร-รัฐไบแซนไทน์-สโลวอนิกนนัยงัช่วยอธิบายวา่เหตุใดคริสตจกัรออร์โธดอกซ์ส่วน ใหญ่จึงไดพ้ ิสูจน์ถึงความไม่น่าเช่ือถือของแนวคิดจากปี 1789 แนวคิดเรื่องประชาธิปไตย แนวคิดเรื่องการ แบ่งแยกกนัของคริสตจกัรและรัฐอิสรภาพทางความคิดและการนบัถือศาสนาฯลฯ 
  อนั ตรายดงั กล่าวไดร้ ับการเน้นหนกั ในลทั ธิชาตินิยมสมยั ใหม่ ยกตวั อยา่ งเช่น สาหรับผคู้ นที่อยู่ ภายใตก้ ฎเกณฑ์ของอาณาจกั รออตโตมนั เป็นระยะเวลานานหลายศตวรรษท่ีคริสตจกั รได้ก่อตงั ป้อม ปราการแห่งสุดทา้ ยเพื่อปกป้ องความจาของเอกลกั ษณ์และเสรีภาพของตนเอง ดงั นนั ตริสตจกั รจึงมีบทบาท ในการประกอบสร้างชาติข้ึนมาอยา่ งถูกตอ้ ง แต่ในหนา้ ประวตั ิศาสตร์ช่วงล่าสุดของนิกายออร์โธดอกซ์ คติ นิยมทางดา้ นชาตินิยม อนั ปรากฏข้ึนมานนั จกั จะก่อการแข่งขนั กนั ทางหลกั จรรยาแทนที่จะลดระดบั และ ควบคุมการชิงดีชิงเด่น พฒั นาการของอดีตประเทศยโู กสลาเวียนนั ก็ดาเนินไปตามมิติอนั บา้ คลงัดงั กล่าว เป็นเวลานานศตวรรษเน่ืองจากคริสตจกั รนนั ดนั สนบั สนุนหลกั ชาตินิยมแทนที่จะป้องปรามมนั กล่าวคือ คริตจกั รคาธอลิกสนบั สนุนลทั ธิชาตินิยมในโครเอเชีย คริสตจกั รออร์โทดอกซ์สนบั สนุนลทั ธิชาตินิยมใน เซอร์เบียร์ ที่แน่นอนคือปรากฏลทั ธิชาตินิยมข้ึนในประเทศโปแลนด์ ไอร์แลนด์และประเทศผนู้ บั ถือลทั ธิ โปรเตสแตนตบ์ างประเภท แต่หากวา่ มนั จะมีสิงล่อใจและอนั ตรายเป็นพิเศษอยใู่ นโลกของออร์โทดอกซ์ แลว้ ละกนั มนั ก็คือการท่ีมีการปกครองในระบบเผด็จการที่น้อยลงกว่าเดิม (โรมนั คาธอลิก) หรือหลกั อตั วสิ ยั นิยม (นิกายโปรเตสแตนตส์ มยั ใหม่) ดงั ท่ีปรากฏในคริสตจกั รฝังตะวนั ออก ที่เหนือกวา่ ลทั ธิชาตินิยม! 
  โอกาสสาหรับคริสตจักรอสี เทริ ์น ออร์โทดอกซ์ จากมุมมองของกรุงโรม คริสตจกั รฝังตะวนั ออกนนั ค่อนขา้ งใกลช้ ิดกบั คริสตจกั รโรมนั คาธอลิก เนื่องจากอดีตที่มีร่วมกนั ในช่วงยุคสหัสวรรษแรก ทงั สอง คริสตจกั รนนั ต่างมีโครงสร้างสามญั ร่วมกนั คริสตจกั รใตก้ ารดูแลของบิชอป ซ่ึงก่อตงั ข้ึนบนการสืบทอด อานาจของสมเด็จพระสันตะปาปา ห่วงโซ่ท่ีไม่สินสุดในการถ่ายทอดอานาจการแต่งตงั บิชอปและ บาทหลวง จากนนั เน่ืองจากเอกลกั ษณ์ในลทั ธิคาสอนและแนวทางพิธีกรรมที่เขม้ แข็ง คริสตรจกั รออร์โท ดอกซ์นนั จึงมีลกั ษณะค่อนขา้ งสงบสันติ แมว้ า่ มนั จะไดร้ ับผลกระทบจากแรงกดดนั จากทางโลกดว้ ยเช่นกนั ยกตวั อยา่ งเช่น ในสมยั ของอดีตสหภาพโซเวยี ต ซ่ึงสร้างความห่างเหินกบั ผคู้ นจานวนมาก นอกเหนือจากน้ี มนั ยงั มีปัญหาคลาสสิกของคริสตจกั รออโตเซฟาลสั (คริสตจกั รซ่ึงมีหวั หน้าผปู้ กครองสูงสุดของตนเอง) คริสตจกั รเหล่าน้ีต่างเผชิญอนั ตรายอยู่เสมอ จากการอา้ งอิงทางการเมืองและการแสดงตวั ตนเขา้ ร่วมกบั ประเทศชาติ ไม่วา่ จะจะเป็นคริสตจกั รในกรีก รัสเซีย กลุ่มประเทศเซอร์เบียหรือคริสตจกั รอื่นใด ดว้ ยเหตุ ดงักล่าวน้ีเองท่ีทาใหก้ารกลบัมารวมตวัของคริสตจกัรมหาคาธอลิกซ่ึงแน่นอนวา่อยภู่ายใตอ้านาจของกรุง โรมนนั จะเป็นประโยชน์อยา่ งยงิสาหรับคริสตจกั รออร์โทดอกซ์และถือเป็นเป้าหมายอนั ตอ้ งมุ่งหมายให้ได้ สาหรับทงั สองคริสตจกั ร อยา่ งนอ้ ยนี่คือสิงท่ีผคู้ นคิดกนั ในกรุงโรม 
  อย่างไรก็ตาม จากมุมมองทางด้าน สัมพันธภาพระหว่างศาสนาแลว้ การยกเลิกการตดั ออกจาก ศาสนาจากทงัสองฝ่ายและการฟ้ืนฟูการเขา้ร่วมในพิธีรับศีลมหาสนิท ซ่ึงไดม้ีการแสดงออกเอาไวแ้ลว้ ในทางทฤษฎีหลงั จากสภาสงั คายนาวาติกนั ครังที่2แต่ยงั ไม่บรรลุผลในทางปฏิบตั ิ นนั ยอ่ มเป็นภาระงานที่ มีความสาคญั เป็นอนั ดบั แรก เม่ือพิจารณาประเด็นดา้ นความจาเป็นของคริสตจกั รชายแดนห่างไกล และ การตระหนกัในตนเองของคริสตจกัรออร์โทดอกซ์แลว้แนวทางที่แบ่งปันร่วมกนักบัคริสตจกัรคาธอลิกนนั ยอ่ มจะหลีกเล่ียงอนั ตรายของศาสนาประจาชาติหรือศาสนาประจาชนชาติได้ ยิงไปกวา่ นนั รากฐานทาง มานุษยวิทยาของศกั ด์ิศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิมนุษยชนและความรับผิดชอบของคนเรานนั จะเป็นเรื่องที่ ไดร้ ับการตระหนกั รู้กนั มากข้ึน จากแนวความศรัทธาร่วมกนั ของชาวคริสเตียน และดงั นนั จะนาเสนอหลกั จรรยาร่วมกนั อนั มีความถูกตอ้ งที่เป็นสากล 
  ในส่วนน้ีมนัมีความจาเป็นเช่นกนัที่จะตอ้งเตือนในเรื่องของความหวงัปลอมๆ:คุณลกัษณะทงัปวง ของลทัธิคาสอนพิธีกรรมและกฎของคริสตจกัรที่คริสตจกัรโรมนัคาธอลิกและคริสตจกัรออร์โทดอกซ์นนั มีร่วมกนั นนัไม่อาจปิดบงัขอ้เทจ็จริงที่กรุงโรมอา้งสิทธิสังฆราชาเหนือคริสตจกัรฝังตะวนัออกอนักระทา ข ้ ึ น ต งั แ ต ่ ย ุ ค ศ ต ว ร ร ษ ท ี ่ ส ิ บ เ อ ็ ด น ั น เ ป ็ น ศ ู น ย ก์ ล า ง ข อ ง อ ุ ป ส ร ร ค อ นั ไ ม ่ อ า จ จ ะ ข า้ ม พ น้ ไ ป ไ ด ต้ ่ อ ก า ร ก ล บั ม า รวมกนั ใหม่ระหว่างคริสตจกั รฝังตะวนั ออกและฝังตะวนั ตก ซ่ึงยงั ไดร้ ับการสนบั สนุนโดยหลกั ความไม่ ผิดพลาดในหลกั คาสอนที่นิยามกนั เอาไวใ้ นช่วงยุคศตวรรษท่ีสิบเกา้ แนวคิดเห็นส่วนใหญ่ของคริสตจกั ร ออร์โทดอกซ์นนั มองหลกั คาสอนใหม่ๆ เหล่าน้ี ว่าเป็นคาสอนนอกรีตที่แทจ้ ริงของคริสตจกั รโรมนั ซ่ึง ขดั แยง้ กบั พระคมั ภีร์พนั ธะสัญญาใหม่ และขดั แยง้ กบั ธรรมเนียมร่วมของชาวคริสตใ์ นช่วงสหัสวรรษแรก และการแต่งตงับิชอปในนิกายโรมนั คาธอลิกข้ึนบนแผ่นดินรัสเซียตามอาเภอใจหลงัการเปล่ียนแปลงทาง การเมือง, ในไซบีเรียและแมแ้ ต่ในกรุงมอสโคว และดงั นนั จึงเท่ากบั เป็นการก่อตงั โครงสร้างการปกครอง ของกรุงโรมอย่างคู่ขนานกบั โครงสร้างการปกครองของออร์โทดอกซ์ ยิงสนบั สนุนความหวาดกลวั ของ คริสตจกั รฝังตะวนั ออกที่มีต่อลทั ธิขยายอานาจอาณาจกั รของคริสตจกั รโรมนั เขา้ ไปใหญ่ 
  ดงั นนั การไปเยอื นมอสโควของสมเดจ็ พระสนั ตะปาปาจึงไม่เป็นท่ีตอ้ งการเท่าใดนกั (ยงั ไม่มีคาเชิญ อย่างเป็ นทางการจากปูติน) และการที่สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 เสด็จไปเยี่ยมเยือนสมเด็จ พระสังฆราชแห่งคอนสแตนติโนเปิลนันก็ไม่ได้นามาซ่ึงความก้าวหน้าที่แท้จริงแต่อย่างใด นอกเหนือไปจากสุนทรพจนแ์ ละการแสดงท่าทีทางดา้ นสมั พนั ธภาพระหวา่ งศาสนา ดว้ ยเหตุน้ี สมเด็จพระ สันตะปาปาเองเช่นกันที่ไม่ได้แสดงข้อบ่งบอกใดๆ ที่ว่าใครอื่นจะสามารถมาแทนที่ตาแหน่งสมเด็จ พระสังฆราชจากยุคกลาง ซ่ึงไม่ว่าจะอย่างไรก็ปรากฏอยู่แต่ในทฤษฎีของกรุงโรมเท่านนั ดว้ยสมเด็จ พระสังฆราชแต่งตงั จากบิชอปได้ 
  แน่นอนวา่ ทงัหลายทงัปวงน้ีก็หาไดเ้กีดกนัความเป็นไปได้ท่ีวา่สาหรับเหตุผลในทางดา้นโอกาส แลว้ มนั อาจจะเกิดพนั ธมิตรทางการเมืองข้ึนระหว่างกลุ่มแรก(กรุงโรม)และกลุ่มที่สอง(คอนสแตนติโน เปิ ล) และเหนือสิงอ่ืนใด กบั กลุ่มที่สาม (มอสโคว) แต่ว่าพนั ธมิตรดงั วา่ น้ีหาไดแ้ สดงแทนถึงเอกภาพทาง สมั พนั ธภาพระหวา่ งศาสนาที่แทจ้ ริงไม่ ซ่ึงยอ่ มส่อแสดงถึงการยอมรับซ่ึงกนั และกนั ถึงอานาจการปกครอง ของคณะสงฆแ์ ละศกั ด์ิฐานะในการดาเนินพิธีศีลมหาสนิท พนั ธมิตรดงั กล่าวนนั จะยงิเป็นสิอนั ชวัร้ายไม่ พึงเคารพหากวา่ มนั จะมุ่งเนน้ ตามแนวทางประชาธิปไตย เสรีภาพทางศาสนาและทางความคิดและศกั ด์ิศรี ของผหู้ ญิง (การปฏิเสธการบวชของสตรี); ต่อทงั นิกายโปรเตสแตนทห์ รือต่อนิกายเวิร์ล เคาน์ซิล ออฟ เชิร์ช พนั ธมิตรทางการเมืองดงั กล่าวนนั จะยิงเนน้ ยารอยจารึกที่จดจากนั ต่อมาวา่ คริสตจกั รออร์โทดอกซ์นนั เป็น ตวั แทนหลกั ของอานาจการปกครองตามลาดบั ซ่ึงปรากฏอยทู่ วัทุกส่วนในแนวทางคาสอนของนิกาย ซ่ึงไม่ เนน้ เรื่องการปฏิบตั ิตามคาสังสอนของพระเยซู และรวมถึงการเพิกเฉยต่อบทบาทของพระในชุมชนและการ ติเตียนสังคมดว้ย 


IV. คริสตจักรแห่งการปฏิรูปศาสนา ในฐานะปัจจัยทางการเมอื ง 

ความเขม้ แข็งที่ยิงใหญ่ท่ีสุดของนิกายโปรเตสแตนต์นนั อยู่ในการปรับเปลี่ยนแนวทางการเผชิญหนา้ กบั คา สอนของพระเยซู กบั ขอ้ ความดงั เดิมของคริสตศ์ าสนาเสียใหม่ การมุ่งเนน้ ที่คาสอนของพระเยซูนนั คือแก่น กลางที่แทจ้ริงของนิกายโปรเตสแตนท์และขอ้น้ีถือวา่เป็นสิงที่ไม่อาจจะขาดไดเ้ลยสาหรับคริสตศ์าสนา 
  โดยเฉพาะอย่างยิงในยุคศตวรรษที่ย่ีสิบ ผูค้ นต่างมีประสบการณ์อนั น่าประหลาดใจกับสภา สังคายนาวาติกนัครังที่2กบั คริสตจกัรคาธอลิกซ่ึงดูเหมือนวา่จะกลายสภาพเป็นซากฟอสซิลโดยสมบูรณ์ แบบกบั แนวทางการต่อตา้ นการปฏิรูปศาสนาและการต่อตา้ นยุคสมยั ใหม่ กลบั เป็นฝ่ายเคล่ือนไหวเขา้ หา คริสตจกั รอ่ืนๆ ในที่สุดมนั ก็ไดเ้ ขา้ สู่การเปลี่ยนแปลงมโนทศั น์ ของคริสตศ์ าสนานิกายโปรเตสแตนต์ จาก กรอบของช่วงยคุ กลางมาสู่ช่วงยคุ การปฏิรูปศาสนา โดยกระทาจากตงั แต่มิติระดบั รากฐาน และทงั ยงั ดาเนิน ไปโดยไม่ไดส้ ละละทิงความเป็นคาธอลิก ซ่ึงมุ่งเน้นไปที่คาสอนของพระเยซู และดงั นันจึงเท่ากับเป็น การบูรณาการเอา มโนทศั น์ของนิกายโปรเตสแตนต์เกย่ี วกับการปฏิรูปศาสนา (P IV) เข้ามาร่วม แก่นสาระ ท้ังหมดของนิกายโปรเตสแตนต์ ไดถ้ ูก ผนวกรวม เขา้ ไวก้ บั คริสตจกั รคาธอลิก อยา่ งนอ้ ยก็ในเชิงหลกั การ และบ่อยครังก็รวมถึงแนวปฏิบตั ิจริงดว้ ย อยา่ ง แนวทางการพิจารณาพระคมั ภีร์ใหม่ ความนิยมในการนบั ถือ ภาษาทอ้ งถินอยา่ งแทจ้ ริง การประเมินคุณค่าของฆราวาสเสียใหม่ การดูดกลืนโบสถเ์ขา้ เป็นส่วนหน่ึงของ ว ฒั น ธ ร ร ม ต ่ า ง ๆ แ ล ะ ก ่ อ ก ล า ย ข ้ ึ น เ ป ็ น ค ว า ม ศ ร ั ท ธ า แ ก ่ ก ล า้ ท ี ่ เ ป ็ น ท ี ่ น ิ ย ม ป ร ะ ก า ร ส ุ ด ท า้ ย ข อ้ ว ติ ก ก งั ว ล ข อ ง มาร์ติน ลูเธอร์ การใหเ้ หตุผลสนบั สนุน ต่อชายหญิงผมู้ ีความผดิ บาปโดยอิงแต่กบั ความศรัทธาแต่เพียงอยา่ ง เดียวอนัในปัจจุบนัไดร้ับการรับรองค่อนขา้งมากโดยนกัเทววทิยาชาวคาธอลิกเช่นเดียวกบัการกระทาหรือ การดาเนินการจากความรัก โดยเหล่านกั เทววทิ ยาชาวโปรเตสแตนท์ 

โอกาสสาหรับคริสตจักรต่อการปฏริ ูป: จากแง่มุมของ กรุงโรม แลว้ การแปลงเขา้ สู่นิกายโปรเตสแตนตข์ อง โลกนนั ดาเนินไปในกระบวนการเปลี่ยนแปลงอยา่ งรวดเร็วซ่ึง สาหรับผคู้ นจานวนมากแลว้ ดูเหมือนจะเป็น กระบวนการความเสื่อมโทรมอนั น่าราคาญยิง โบสถ์เพื่อปลงอาบตั ิแบบดงั เดิมนันกาลงั หดตวั ลงอย่าง รวดเร็ว อยา่งไรก็ดีโบสถเ์หล่าน้ีสามารถสงวนรักษาความสาคญั ของตนเองในฐานะพาหนะแห่งวฒั นธรรม เอาไวไ้ด้แต่วา่พวกเขากลบัสูญเสียความสาคญัในฐานะบา้นของศาสนาไปเสียมีความพยายามอยบู่่อยครัง ท่ีจะนาพาโบสถ์ออกจากภาวะวิกฤต โดยอาศยั กระบวนการวิธีการจดั การและการตลาดสมยั ใหม่ แต่แรง ส่งเสริมท่ีแทจ้ ริงท่ีโบสถ์อาศยั เพ่ือการดารงตนอยู่ อนั เป็นแรงท่ีช้ีขาดวา่ โบสถ์จะมีตวั ตนอยู่ไดห้ รือไม่ นนั กลบั แทบมองไม่เห็น และมีโบสถจ์ านวนมากข้ึนเร่ือยๆ ท่ีกลบั กลายเป็นแค่ปัจจยั อยา่ งหน่ึงทางวฒั นธรรม และทางสังคม ยิงโบสถย์ อมตามแนวทางการรู้แจง้ อยา่ งลึกซ้ึงมากข้ึนเท่าไร โบสถ์ก็ยงิค่อยๆ เส่ือมสูญศกั ด์ิ ฐานะลงไปเท่านนั นี่คือสิงท่ีผคู้ นคิดกนั ในกรุงโรม 
  จากมุมมองของ สัมพันธภาพระหว่างศาสนาแล้ว มันเป็นเรื่องน่ายินดีหากว่าคริสตจักร โปรเตสแตนต์นันจะปรับแต่งฐานตวั ตนของนิกายและนาเสนอแก่นสาระสาคญั ให้ชัดเจนยิงมากยิงข้ึน โบสถท์ งั หลายนนั ควรจะคงเอกลกั ษณ์และคงความเป็นบา้ นแห่งศาสนาเอาไว้ โบสถ์ไม่ควรจะจากดั ตวั เอง แต่แค่ตามการกาหนดของแนวการรู้แจง้ อย่างลึกซ้ึง และแมแ้ ต่การยอมปรับตามตนเองให้เขา้ กนั ได้กับ กระบวนการเพื่อการรวมตวั เขา้ กบั สังคมสมยั ใหม่ อยา่ งไรก็ตาม ความผิดพลาดขอ้ ท่ีใหญ่ท่ีสุด นนั ไม่ใช่ เร่ืองที่นิกายโปรเตสแตนตพ์ าผา่ นพน้ การปฏิรูปมาได้ (การแต่งงานของบาทหลวง, การทาความเขา้ ใจให้มาก ข้ึนกบั หลกั ศีลธรรมทางเพศ,โครงสร้างท่ีเป็นประชาธิปไตยมากข้ึน)หากแต่เป็นเรื่องท่ีในขณะเดียวกนั นนั พวกเขาไม่ไดจ้ ดั การกบั การขาดแคลนหลกั สาระสาคญั และการขายแคลนฐานตวั ตนที่ชดั เจนมากพอ 
  เร่ืองน้ี ฝังกรุงโรมก็มี ความหวังปลอมๆ: โบสถ์ไม่ควรจะจากดั ตวั เองกบั แค่ขนมธรรมเนียมของ ตนเอง โบสถ์นนั ไม่ควรจะจากดั ตามแต่กบั แค่หลกั เทววิทยาของช่วงยุคกลางหรือช่วงยุคการปฏิรูปศาสนา และแมแ้ ต่กฎเกณฑ์ของโบสถ์เอง จนหลงลืมคาสารภาพบาปของพระเยซู คริสต์ และหลกั คาสอนของพระ คริสต์ เป็นเวลานานหลายศตวรรษท่ีกรุงโรมคาดหวงั ต่อความกา้ วหนา้ อย่างคงที่ของการแตกแขนงสาขา นิกาย ความว่างเปล่าทางจิตวญิ ญาณและในที่สุดก็จะไปนาไปสู่การเสื่อมสลายของนิกายโปรเตสแตนต์อย่างสูญเปล่า แค่การเปรียบเทียบระหว่างหลกั เทววิทยาตามนิกายคาธอลิกและนิกายโปรเตสแตนต์นนั มกั จะแสดงใหเ้ ห็นวา่ หลกั เทววทิ ยาตามลทั ธิคาธอลิกนนั ยงั ลา้ หลงั อยมู่ าก ความกา้ วหนา้ อยา่ งกา้ วกระโดด ในนยั วิเคราะห์ทงั หลายนนั ต่างเกิดข้ึนในหลกั เทววทิ ยาตามนิกายโปรเตสแตนตก์ ่อน นิกายโปรเตสแตนต์ นั อยหู่ ่างไกลจากการเป็นนิกายที่ตายแลว้ แมแ้ ต่ในทวีปยโุ รปและอเมริกาเหนือ ซ่ึงมีชุมชนท่ีมีชีวติ ชีวายิงอยใู่ นทงั สองพ้นื ที่ 


V. การคุกคามจากความทนั สมยั และลทั ธิยดึ มั่นในหลกั การพนื้ ฐาน 

ภายในกรอบการทางานของกรอบแนวคิดของนิกายโปรเตสแตนทใ์ นการปฏิรูปศาสนานนั , ขบวนการไดก้ ่อ ตวั ข้ึนในยคุ ศตวรรษท่ีสิบเกา้ /ยสี่ ิบอนั เป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อความทนั สมยั (OV) เหล่าผนู้ บั ถือ
หลกั การเดิมน
นั คือผซู้ ่ึงใหค้ ายอมรับ การดลบันดาลใจทางวาจาและดังน้ันจึงให้การยอมรับต่อความไม่ ผดิพลาดของคมัภีร์ไบเบลิ้ในสมยัปัจจุบนั ผซู้่ึงอยใู่นช่วงยคุก่อนวกิฤติกาลอนัมีความเขา้ใจในคมัภีร์ไบ เบิลในแนวทางท่ีไม่สาคญั ยงิยวด,อยา่ งพาซื่อและตามตวั อกั ษรนนั จึงไม่ถือเป็นผนู้ บั ถือหลกั การเดิม 
  หลกั การนบั ถือหลกั การเดิมก่อเป็นรูปเป็นร่างข้ึนท่ามกลางภัยคุกคามทบเท่าทวเีป็นสองเท่าต่อ แนวทางความเข้าใจอย่างด้งั เดิมต่อความศรัทธา: ในทางหน่ึง มนั มีมุมมองทางเลือกของ วทิ ยาศาสตร์ และ หลกั ปรัชญาสมยั ใหม่, บางส่วน (โดยเฉพาะอยา่ งยงิทฤษฎีววิ ฒั นาการของดาร์วนิ ชี) นนั ตรงกนั ขา้ มกบั ภาพ ของโลกท่ีนาเสนอโดยคมัภีร์ไบเบิลในอีกทางหน่ึง,การวจิารณ์พระธรรมคมัภรี์สมยัใหม่,อนัดาเนินกนั มานบั ตงั แต่ยคุ แห่งการรู้แจง้ โดยอาศยั กระบวนการวธิ ีวจิ ารณ์เชิงประวตั ิศาสตร์, ไดต้ รวจสอบประวตั ิความ เป็ นมาของพระคมั ภีร์ปฐมกาลและพระคมั ภีร์ทงั หา้ เล่มของโมเสส และรวมถึงประวตั ิศาสตร์อนั ซบั ซอ้ น ของตน้ กาเนิดของกอสเปลทงั สามและกอสเปลออฟจอห์น ซ่ึงแตกต่างจากฉบบั อื่นๆ มาก ดงั นนั หลกั การ นบั ถือหลกั การเดิมในแนวทางท่ีถูกตอ้ งนนั คือผลผลิตของการปกป้องและการสู้รบตลบมือกบั วทิ ยาศาสตร์ , หลกั ปรัชญาและนยั วเิ คราะห์สมยั ใหม่, อนั มุ่งเนน้ ไปท่ีการฟ้ื นฟูการดลบนั ดาลใจทางวาจาและความไม่ ผดิ พลาดของพระคมั ภีร์ไบเบิล จากภยั คุกคามอนั ความทนั สมยั นามา 
  ในช่วงศตวรรษที่สิบเกา้,หลักศาสนศาสตร์กรุงโรม,เองก็เช่นกนั ,โดยมีความล่าชา้ตามปกติ,ก็ได้ ปรับปรุงแนวหลกั คาสอนของคาบนั ดาลใจทางวาจา และความไม่ผดิ พลาดของพระคมั ภีร์ (ซ่ึงไดร้ ับการทา ใหเ้ ป็นระบบมาก่อนแลว้ โดยคริสตศ์ าสนา นิกาย โปรเตสแตนท์ ออธอร์ดอกซ์) แต่ในขณะที่ศาลศาสนา ของกรุงโรมนนั บ่อนทาลายความน่าเชื่อถือของตนเองในคดีความที่กระทากบั กาลิเลโอและบุคคลอ่ืนๆ, หลกั การนบั ถือหลกั การเดิมทางนิกายฝังอเมริกานนั ก็เผชิญกบั ความลม้ เหลวดว้ ยเช่นกนั เมื่อพวกเขาตอ้ งการ ท่ีจะเผยแพร่ทฤษฎีตามหลกั รังสรรคน์ ิยม (การถือกาเนิดของมนุษยจ์ ากการรังสรรคโ์ ดยตรงของพระเจา้ ) ใน โรงเรียนของรัฐ 
  เม่ือไม่นานมาน้ี, คาวา่ หลกั การนบั ถือหลกั การพ้ืนฐานนนั ยงั ไดแ้ ผข่ ยาย ไปยงั ศาสนาอ่ืนๆ ด้วย, และเหนือสิงอื่นใดคือศาสนาอิสลามและศาสนายดูาห์ศาสนามุสลิมเองนนัปัจจุบนัถูกเรียกวา่“ลทัธิ อิสลาม”–ศาสนาอิสลามแบบผกูขาด,ตีความอยา่งเถรตรง,และศาสนายดูาห์นนัก็ถูกเรียกวา่“ลทัธิอุลตร้า- ออร์ธอดอกซ่ี” – ศาสนายดู าห์แบบผกู ขาด, ตีความอยา่ งเถรตรง แต่หากวา่ เราตอ้ งการที่จะจดั คุณลกั ษณะ ในทางลบกบั ความศรัทธาที่ตีความอยา่ งเถรตรงและการปฏิบตั ิตามหลกั ความถูกตอ้ งของกฎหมาย, อนั มกั จะ ถูกผสานเขา้กบัความกา้วร้าวทางการเมืองแลว้,เช่นนนัเราก็กาลงัพดูถึงชาวมุสลิมและชาวยวิผนู้บัถือลัทธิ การนับถอืหลกัการเดมิเช่นเดียวกบัเวลาที่เราพูดถึงชาวคริสเตียนผนู้บัถือลทัธิการนบัถือหลกัการเดิม แน่นอนวา่ กลยทุ ธ์ภมู ิรัฐศาสตร์นนั ไดร้ ับการพฒั นาข้ึนมาก็โดยศาสนาคริสต์(“สงครามครูเสดเพ่ือพระเยซู”, “แคมเปญเผยแพร่คาสอนในยโุ รป”) และโดยศาสนาอิสลาม (“การนาโลกอาหรับกลบั เขา้ สู่ศาสนาอิสลาม”) ในท่ีน้ี แนวคิด-รูปแบบการเผยแพร่หลกั ศาสนาของหวั รุนแรงทงั ในประเทศสหรัฐและในกลุ่มประเทศ มุสลิมหวั รุนแรงนนั ค่อนขา้ งคลา้ ยคลึงกนั : องคป์ ระกอบทางการเมืองนนั คือรากฐานของความชวัร้าย และ การต่อสู้ของความดีต่อความชวัร้ายนนั คือสิงที่ถูกตอ้ งแมแ้ ต่ในยามที่กองทพั ออกมาโจมตีและก่อการรุกราน และเราไม่ควรท่ีจะหลงลืมศาสนาท่ีถือกาเนิดจากประเทศอินเดียและประเทศจีน ศาสนาฮินดู(ซ่ึงต่อตา้น ชาวมุสลิม, ชาวคริสเตียนหรือชาวซิกข)์ หรือลทั ธิขงจ้ือ (ซ่ึงต่อตา้ นผทู้ ่ีมิใช่ชาวจีน), ก็เช่นกนั , สามารถ
ด า เ น ิ น แ น ว ท า ง อ ย า่ ง ล ทั ธ ิ ก า ร น บั ถ ื อ ห ล กั ก า ร เ ด ิ ม อ นั ผ กู ข า ด , เ ผ ด ็ จ ก า ร , ก ด ข ่ ี ไ ด ้ ห ร ื อ ก ล ่ า ว อ ี ก อ ย า่ ง ห น ่ ึ ง : ลทั ธิการนบั ถือหลกั การเดิมนนั ถือเป็นปัญหาสากล,ปัญหาระดบั โลก 

โอกาสสาหรับลทั ธิการนับถอื หลกัการเดิม:อะไรคือแหล่งกาเนิดประสิทธิภาพและแรงขบั เคลื่อนอนั มากมาย มหาศาลของลทั ธิการนบั ถือหลกั การเดิมแบบต่าง? ปัจจยั เหล่าน้ีไดร้ ับการมุ่งเนน้ และต่างกาลงั ทางาน ร่วมกนั 

  • -  ความคงเส้นคงวา: คุณค่าหรือแนวคิดพ้นื ฐานของศาสนา นนั ไดร้ ับการก่อตงั ข้ึนมาอยา่ งคงเส้นคง วาสม่าเสมอ และไดร้ ับการปกป้ องในแนวทางที่ยดึ ความสมบูรณ์แบบเนื่องจากความดหวาดกลวั จากการบ่อนทาลายโดยจงใจ 
  •  
  • -  ความเรียบง่าย: แนวทางในการคิด, ทศั นคติและระบบนนั เรียบง่ายและโปร่งใส; โดยมากแลว้ มุมมองที่สลบั ซบั ซอ้ นมากกวา่ นนั จะถูกคดั กรองออกไป 
  •  
  • -  ความชัดแจ้ง: การตีความโครงสร้างหลกั คาสังสอนนนั กระทาไปโดยไร้ความกากวม: การตีความ โดยนยั ใดๆนนั จะถูกปฏิเสธออกไปเนื่องจากถือเป็นการเบี่ยงเบนจากหลกั คาสอนอนั บริสุทธ์ิ,และ แน่นอนวา่ เป็นบาป 
  •  

แต่วา่ ในส่วนน้ีดว้ ยท่ีพวกเราจะตอ้ ง ไม่มีภาพลวงตา; มนั มีอนาคตใดๆ อยหู่ รือไม่ในการผลกั ดนั ลทั ธิคาสอน ของความไม่ผดิพลาดทางวาจาหรือความไม่ผดิพลาดของพระคมัภีร์ศักด์ิสิทธ์ิ,ไม่วา่จะเป็นพระคมัภีร์ฮีบรูว ไบเบิล(ฮาลคั คา),พระคมั ภีร์อลั กุรอ่านหรือพระคมั ภีร์พนั ธสัญญาใหม่(หรือภายใตเ้งื่อนไขประการใด ประการหน่ึง รวมถึงแมแ้ ต่ความไม่ผดิ พลาดของสมเด็จพระสันตะปาปา, เหล่าผปู้ ฏิรูปศาสนาของสภาสัง คายนะ)ในฐานะท่ีเป็นคาสงัสอนของคาสงัสอน,แก่นคาส่ังสอนอย่างเป็นทางการซ่ึงขอ้ เทจ็ จริงอื่นๆของ ความศรัทธานนั จะตอ้ งอา้ งอิงอยดู่ ว้ ย? เช่นเดียวกบั ศาสนายดู าห์และศาสนาอิสลาม, ศาสนาคริสตน์ นั คน้ หา หนทางท่ีจะส่ือสาร ถึงแนวทางพ้ืนฐานสาหรับชีวติ มนุษย์ ในยคุ ซ่ึงค่อนขา้ งดอ้ ยประสิทธิภาพในการหา หนทางของตนเอง แต่วา่ คริสต์ศาสนาของเหล่าผ้นู ับถือหลกั การนับถือหลกั การเดมิ จะสามารถนาเสนอ อะไรไดบ้ า้ งในระยะยาว ในการตีความถึงการดารงอยู่ และการตีความต่อโลก ซ่ึงอา้ แขนรับทุกแง่ทุกมุมของ การดาเนินชีวติ ในยคุ สมยั ซ่ึงเตม็ ไปดว้ ยร่องรอยของวทิ ยาศาสตร์, เทคโนโลยแี ละวฒั นธรรมสมยั ใหม่ หาก วา่ มนั ยงั ยดึ โยงกบั ความเขา้ ใจตามตวั อกั ษรของหลกั เหตุผลของการรังสรรคแ์ ละการพิพากษาครังสุดทา้ ย, การล่มสลายและการชาระบาป? 
  มุมมองเชิงโตต้ อบของศาสนาท่ีมีต่อโลกเช่นน้ี ไดร้ ับการพสิ ูจนแ์ ลว้ วา่ เป็นผลร้ายอยา่ งยงิหากวา่ มนั ผสมผสานกบั นโยบายการต่างประเทศเชิงโต้ตอบ ใครก็ตามท่ีชื่นชมอเมริกาในยคุ ของลินคอน,เคเนด้ี และมาร์ติน ลูเธอร์ คิง, ขบวนการเดอะนิวดีล, มาร์แชลแพลน, พีซ คอร์ป, พีซแอนดซ์ ีวลิ ไรท์ มูฟเมนต์ และ ผชู้ นะรางวลั โนเบลสาขาสนั ติภาพ จิมม่ี คาร์เตอร์ – ซ่ึงทงั หมดน้ีต่างเป็นตวั แทนของประเทศอเมริกาแห่ง ประชาธิปไตยและความมีมนุษยธรรม อนั ดารงอยตู่ ่อเน่ืองนานหลายศตวรรษ – ตอ้ งตกอกตกใจกบั การ ปรับเปล่ียนแนวทางนโยบายต่างประเทศของอเมริกาชนิดกลบั ตาลปัตรซ่ึงเป็นผลงานคณะนกัอนุรักษน์ ิยม สมยั ใหม่ จากกลุ่มนกั หนงั สือพิมพแ์ ละนกั การเมืองผทู้ รงอานาจ (อนั ถูกชกั เชิดโดยอานาจของสื่อ) บุคคล เหล่าน้ีไม่เพยี งแต่เช่ือมโยงเขา้ กบั กลุ่มนกั ล็อบบ้ีชาวอิสราเอลผทู้ รงอิทธิพล (AIPAC) เท่านนั , แต่ยงั ลามไป ถึงเหล่าผยู้ ดึ ถือหลกั การนบั ถือหลกั การเดิมชาวโปรเตสแตนทข์ องรัฐทางตะวนั ตกของประเภท, ซ่ึงอยภู่ ายใต้ การนาของมนั สมองของกลุ่มอนุรักษน์ ิยมสัมยใหม่อนั กลายมาเป็นฐานพลงั อานาจที่สาคญั ของจอร์จ
ดบั เบิลยู บุช, พร้อมกบั ไพร่ราบทหารเลวจานวนมหาศาล อยา่ งไรก็ตาม, นบั ต
งั แต่การเลือกตงั สภาคองเก รสครังล่าสุด,และจากความสินหวงั ของสงครามอิรัก,ซ่ึงมีเหยอื่ ผเู้สียชีวติ นบั หมื่นคนและก่อใหเ้กิดหน้ีเป็น จานวนหลายพนั ลา้ นเหรียญ, รุ่งอรุณกาลงั กลบั มาสู่ประเทศสหรัฐอเมริกาอีกครัง 
  โ ค ร ง ส ร ้ า ง ท า ง ศ า ส น า เ ร ้ น ซ อ้ น เ ช ่ น น ้ ี ไ ด ก้ ล า ย เ ป ็ น จ ุ ด อ า้ ง อ ิ ง ใ น ก า ร เ ข า้ เ ป ็ น พ นั ธ ม ิ ต ร อ นั น ่ า ท ึ ง อ นั ใหม่น้ี: นกั อนุรักษน์ ิยมสมยั ใหม่ชาวยวิ ผเู้ ห็นวา่ ศาสนาไม่ควรเขา้ ไปยงุ่ กบั การเมือง (กลุ่มนีโอคอน) ซ่ึง ส า ม า ร ถ เ ข า้ เ ป ็ น พ นั ธ ม ิ ต ร ก บั เ ห ล ่ า ผ ยู ้ ดึ ถ ื อ ห ล กั ก า ร น บั ถ ื อ ห ล กั ก า ร เ ด ิ ม ช า ว โ ป ร เ ต ส แ ต น ท ์ ( ท ี โ อ ค อ น ) ผ ซู ้ ่ ึ ง , สาหรับบทบาทของตนเองแลว้ , ก็เหมือนกบั นายจอร์จ ดบั เบิลยู บุช, ผพู้ จิ ารณาแนวทางสงครามต่อตา้ นการ ก ่ อ ก า ร ร ้ า ย ว า่ เ ป ็ น ก า ร ต ่ อ ส ่ ู ใ น เ ห ต ุ ก า ร ณ ์ ว นั ส ิ น โ ล ก ต ่ อ “ ค ว า ม ช วั ร ้ า ย ” , แ ล ะ จ า ก พ ้ ื น ฐ า น ค ว า ม เ ข า้ ใ จ ต า ม
ตวั อกั ษรในคมั ภีร์ไบเบิลมองเห็นโลกของปาเลสไตน์ทงั หมดเป็น “แผน่ ดินศกั ด์ิสิทธ์ิ” ท่ีพระเจา้ มอบใหก้ บั ชาวยวิ ; อยา่ งไรก็ตาม, สาหรับพวกเขา, รัฐอิสราเอลนนั เป็นเพียงเคร่ืองส่อแสดงถึงการกลบั มาของพระ คริสต์ อนั ประกาศเอาไวใ้ นพระคมั ภีร์พนั ธสัญญาใหม่เท่านนั , ซ่ึงจะตามมาดว้ ยการเปล่ียนการนบั ถือศาสนา ของชาวยวิ ทงั หมด! ทางฝังชาวยวิ นนั ตามปกติแลว้ ก็จะยอมรับคตินิยมต่อตา้ นชาวยวิ ดงั ท่ีวา่ น้ีอยา่ งเงียบๆ ตราบเท่าที่มนั ยงั ประโยชนท์ างการเมืองใหก้ บั รัฐอิสราเอลและต่อนโยบายของตน 
  แต่มุมมองของผยู้ ดึ ถือหลกั การนบั ถือหลกั การพ้ืนฐานทางศาสนาต่อโลกเช่นน้ี ยงั ไดผ้ สมผสานเขา้ กบั การวางตาแหน่งฐานะของนโยบายในประเทศของอเมริกา: การต่อตา้ นการทาแทง้ , การวจิ ยั สเตม็ เซลล์ และการแต่งงานของคนเพศเดียวกนั นบั ตงั แต่ที่ไดม้ ีการเลือกตงั ประธานาธิบดีเรแกนเป็นตน้ มา, “สิทธิทาง ศาสนา” – กล่าวคือ, ชาวคริสเตียนผมู้ ีกิจกรรมเผยแพร่ศาสนาทางการเมือง – มีบทบาทอยา่ งมากในพรรครี พบั ลิกนั และใหค้ วามช่วยเหลือบุชจเู นียร์ใหไ้ ดร้ ับการเลือกตงั ถึงสองครัง แต่เม่ือไม่นานมาน้ีผลสะทอ้ น กลบั อยา่ งรุนแรงนนั ปรากฏใหเ้ ห็นในนโยบายในประเทศดว้ ยเช่นกนั ผนู้ าแต่ละคนของขบวนการสิทธิทาง ศาสนานนั ต่างแสดงให้เห็นความเขา้ ใจท่ีดียงิข้ึนสาหรับปัญหาเก่ียวกบั เอดส์, การุณยฆาต (กรณีของเทอร่ี ไช เอโว) และภยั คุกคามต่อสภาพแวดลอ้ มจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ 


เกยี่วกบัหลักจรรยาของนักการเมือง 


บรรยายโดย ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี เฮอร์มุต ชมิดต์ 
ณ มหาวิทยาลยั ทอื บิงเงิน, 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 

อนั ดบั แรก, ขา้ พเจา้ อยากจะขอขอบคุณท่านศาสตราจารย์ ฮานส์ คืง, ขา้ พเจา้ ค่อนขา้ งยินดีเป็ นอยา่ งยงิที่
ไดร้ ับคาเชิญในคร
ังน้ี, เนื่องจากขา้ พเจา้ ไดต้ ิดตามโครงการจริยธรรมโลก มานบั ตงั แต่มนั ไดเ้ ริมตน้ ข้ึนในยคุ ปี 1900 คาวา่ “จริยธรรมโลก” นนั อาจจะฟังดูมกั ใหญ่ใฝ่ สูงอยสู่ ักหน่อยสาหรับคนบางคน, แต่เป้ าหมาย, ภาระงานท่ีจะตอ้ งกระทา, นนั โดยเน้ือแทแ้ ลว้ , และโดยจาเป็นอยา่ งยงิ, เป็นเร่ืองท่ียงิใหญ่มาก บางที ณ จุด น้ีขา้ พเจา้ อาจจะไดก้ ล่าวถึงบรรดาผนู้ าประเทศและรัฐบาลต่างๆ จากทงั หา้ ทวปี ที่ต่างไดร้ ่วมกนั วางแนว
เป้ าหมายสามญั ที่คลา้ ยคลึงกนั กบั เป้ าหมายดงั กล่าวน้ี นบั ต
งั แต่ปี พ.ศ. 2530 ในสภาอินเตอร์ แอกชนัเคาซิวอยา่ งไรกต็ าม, ถึงกระนนั งานของพวกเรากลบั เพิงประสบความสาเร็จเพียงเล็กนอ้ ยเท่านนั ในทางตรงกนั ขา้ ม, การบรรลุผลสมั ฤทธ์ิของศาสตราจารยฮ์ านส์ คืงและเพือ่ นร่วมงานนนั เป็นเร่ืองที่สาคญั ยงิ่ 
  ตวัขา้พเจา้เองนนัตอ้งขอบคุณชาวมุสลิมผเู้ลื่อมใสศรัทธาสาหรับการเป็นแรงบนัดาลใจใหข้า้พเจา้ ไ ด พ้ จิ า ร ณ า ก ฎ ห ม า ย จ ร ิ ย ธ ร ร ม อ นั ใ ก ล เ ้ ค ี ย ง ก นั ก บั ศ า ส น า ท ่ ี ย งิ ใ ห ญ ่ ไ ป เ ว ล า ก ว า่ ห น ่ ึ ง ใ น ส ี ่ ข อ ง ศ ต ว ร ร ษ ไ ด ้ ผา่ นไปแลว้ นบั ตงั แต่ยคุ สมยั ของอนั วาร์ อลั ซาดตั , อดีตประธานาธิบดีของประเทศอียปิ ต,์ ซ่ึงไดอ้ ธิบายราก กาเนิดสามญั ร่วมกนั ของศาสนาอบั ราฮมั ทงั สามศาสนาใหก้ บั ขา้ พเจา้ , และรวมถึงอธิบายความคลา้ ยคลึงบาง ประการระหวา่ งศาสนาเหล่านนั , และโดยเฉพาะอยา่ งยงิการตอบสนองจองศาสนาต่อกฎหมายจริยธรรม ยกตวั อยา่ งเช่น, เขาทราบถึงกฎหมายที่ทุกศาสนาดงั กล่าวมีร่วมกนั ในดา้ นความสงบสันติ ที่มีอยใู่ นเพลง สวดจากพระคมั ภีร์พนั ธสัญญาเดิมของชาวยวิ , ในบทเทศนาบนขนุ เขาของชาวคริสต์ หรือในซูเราะห์ลาดบั ที่ สี่ของมอสเล็ม กุรอ่าน หากวา่ เพียงแค่ผคู้ นจะตระหนกั ถึงความสอดคลอ้ งเบนเขา้ หากนั เหล่าน้ี, เขาเช่ือวา่ ; หากวา่ อยา่ งนอ้ ยเพียงแค่ผนู้ าทางการเมือง ตระหนกั ถึงการตอบสนองทางจริยธรรมระหวา่ งศาสนาของพวก เขา,เช่นนนั แลว้ ความสงบสันติท่ียงัยนื ก็จะเกิดข้ึนได้ เขาเช่ือมนัในขอ้ น้ีมาก หลายปีต่อจากนนั ,เขา ดาเนินการทางการเมืองเพ่ือใหส้ อดคลอ้ งกบั ความเช่ือดงั กล่าว และไดเ้ ดินทางไปเยยี่ มเยอื นเมืองหลวงและ รัฐสภาของประเทศอิสราเอล, ซ่ึงก่อนหนา้ น้ีมีฐานะเป็นศตั รูของจากสงครามสี่ครัง, เพ่ือยนื่ ขอ้ เสนอความตก ลงสันติภาพ 
  สาหรับขา้ พเจา้ ซ่ึงมีอายมุ ากปูนน้ีแลว้ ขา้ พเจา้ ไดเ้ ผชิญกบั ประสบการณ์การสูญเสียชีวติ ของบิดร มารดา, ญาติพน่ี อ้ งและเพอื่ นฝงู จานวนมาก, แต่การลอบสังหารนายซาดตั โดยกลุ่มหวั รุนแรงทางศาสนานนั ทาใหข้า้พเจา้ต่ืนโศกเศร้าเสียใจมากกวา่ความสูญเสียครังใด เพื่อนของขา้พเจา้ซาดตันนั ถูกสงัหารเพยีง เพราะเขานอ้ มนาตามกฎแห่งสันติภาพ 
  ขา้ พเจา้ จะกลบั มาบรรยายถึงเร่ืองกฎแห่งสนั ติภาพในอีกสกั ครู่หน่ึง, แต่ก่อนอื่นตอ้ งขอวาง
ขอ้ กาหนดกนั เสียก่อน
: การบรรยายเพยี งครังเดียว, โดยเฉพาะอยา่ งยงิการบรรยายที่ถูกจากดั ความยาวไวใ้ ห้ ไ ม ่ เ ก ิ น ไ ป ก ว า่ ห น ่ ึ ง ช วั โ ม ง , น นั แ ท บ ไ ม ่ ใ ก ล เ ้ ค ี ย ง จ ะ ส า ม า ร ถ ก ล ่ า ว ถ ึ ง ห วั ข อ้ จ ร ิ ย ธ ร ร ม ข อ ง น กั ก า ร เ ม ื อ ง ไ ด อ้ ย า่ ง ครบถว้ น ดว้ ยเหตุน้ี, ในวนั น้ีขา้ พเจา้ จะมุ่งเนน้ ไปที่ขอ้ คิดเห็นจานวนหน่ึง, กล่าวคือ ความสัมพนั ธ์ระหวา่ ง การเมืองและศาสนา, และบทบาทของเหตุผลและความคิดในทางการเมือง และประการสุดทา้ ย ความจาเป็น ที่จะตอ้ งมีการประนีประนอม, และการตอ้ งสูญเสียความเขม้ งวดและความไม่เปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจหลีกเล่ียง ไดเ้พ่ือการประนีประนอม 


I. 

ตอนน้ีเรากลบั มาคุยกนั ต่อเรื่องกฎแห่งสันติภาพ หลกั เกณฑข์ องสันติภาพนนั เป็นองคป์ ระกอบท่ีสาคญั
ข อ ง ห ล กั จ ร ิ ย ธ ร ร ม ห ร ื อ ศ ี ล ธ ร ร ม ซ ่ ึ ง เ ป ็ น ส ิ
ง ท ี ่ จ า เ ป ็ น ส า ห ร ั บ น กั ก า ร เ ม ื อ ง ม นั ป ร ะ ย กุ ต เ ์ ข า้ อ ย า่ ง เ ท ่ า เ ท ี ย ม ก นั กบั นโยบายภายในประเทศของประเทศหน่ึงประเทศใดและของสงั คมของประเทศนนั ๆ,และกบั นโยบาย ต่างประเทศ ควบคู่ไปดว้ ยกนั กบั ส่วนน้ี, มนั ยงั มีกฎหมายและหลกั เกณฑอ์ ื่นๆ อยอู่ ีก ซ่ึงกฎหมายและ หลกั เกณฑอ์ ื่นๆ ที่วา่ น้ี โดยธรรมชาติแลว้ ยอ่ มรวมถึง “กฎทองคา” ที่สอนสงัและเรียกร้องกนั ในศาสนา ต่างๆ ทวัโลก อิมมานูเอล คานตไ์ ดส้ รุปปรับหลกั การดงั กล่าวเอาไวใ้ นผลงานของเขา คาเทกอเรียล อิม เพอราทีฟ; ซ่ึงมนั ไดถ้ ูกยน่ ยอ่ เหลือเพียงประโยคเดียวอนั ไดร้ ับความนิยมอา้ งถึงกนั วา่ “จงกระทาในสิงท่ีเจา้ พงึไดถู้กกระทา”กฎทองคาดงักล่าวประยกุตไ์ดก้บัทุกผทูุ้กคนขา้พเจา้ไม่เชื่อวา่จะมีกฎเกณฑพ์้ืนฐานทาง ศีลธรรมท่ีแตกต่างกนั ออกไปโดยเฉพาะสาหรับนกั การเมืองแต่อยา่ งใด 
  อยา่ งไรก็ตาม, ณ ระดบั ท่ีต่ากวา่ กฎหลกั ของหลกั ศีลธรรมสากลนนั , มนั มีการปรับเปลี่ยนกรณีพิเศษ จานวนมากสาหรับวาระโอกาสและสถานการณ์พเิศษจาเพาะต่างๆ ยกตวัอยา่งเช่น,ลองคิดถึงคาปฏิญาณ ของฮิปโปคราติสที่เหล่าแพทยต์ อ้ งยดึ ถือหรือลองนึกถึงคาปฏิญาณวชิ าชีพของผพู้ ิพากษา;หรือลองนึกถึง กฎจริยธรรมพิเศษท่ีจาเป็นสาหรับนกั ธุรกิจทงั หลาย,หรือกฎของนกั ใหก้ ยู้ มื เงินหรือนกั การธนาคาร,หรือ ของนายจา้งหรือของทหารในสงคราม 
  เน่ืองจากขา้ พเจา้ นนั ไม่ไดเ้ป็นทงั นกั ปรัชญาหรือนกั เทววทิ ยา,ขา้ พเจา้ จึงจะไม่พยายามท่ีจะนาเสนอ หวัขอ้หรือรายการสาหรับหลกัจรรยาทางการเมืองใดๆเป็นการเฉพาะ,อนัจะกลายเป็นการแข่งขนักบัพลา โต,้ อริสโตเติลหรือขงจ้ือ เป็นเวลากวา่ สองสหษั วรรษคร่ึงมาแลว้ ,ที่นกั เขียนผยู้ งิใหญ่ทงั หลายต่างได้ รวบรวมองคป์ ระกอบหรือส่วนประกอบต่างๆของหลกั จรรยาทางการเมือง,ซ่ึงบางครังนามาซ่ึงผลลพั ธ์เป็น เป็นที่อภิปรายถกเถียงกนั อยา่ งกวา้ งขวาง ในยโุ รปสมยั ใหม่ ผลงานเหล่าน้ีไล่เรียงมาจากตงั แต่งานของมา เคียเวลลีหรือคาร์ลชมิดท์ไปจนถึงฮิวโก้กรอทิอุส,แมก็ ซ์เวเบอร์หรือคาร์ลป็อปเปอร์ ส่วนตวั ขา้ พเจา้ เองนนั ขอจากดั ตวั เองอยแู่ ค่การนาเสนอพวกท่านดว้ ยความเขา้ ใจอนั ลึกซ้ึงที่บงั เกิดแก่ตวั ขา้ พเจา้ เองใน ระหวา่งที่ดารงชีวติในฐานะนกัการเมืองและนกัเขียนบทความทางการเมือง–โดยมากแลว้จากในประเทศ บา้ นเกิดของขา้ พเจา้ , และ, สาหรับส่วนที่เหลือ, ในการรับมือกบั ประเทศเพื่อนบา้ น, ทงั ใกลเ้ คียงและไกล ห่างออกไป 
  ณ ช่วงหวั เล้ียวหวั ต่อน้ี ขา้ พเจา้ ยงั อยากจะไดช้ ้ีไปยงั ประสบการณ์ของขา้ พเจา้ ซ่ึง, ในขณะที่การ สนทนาถึงพระเจา้ และศาสนาคริสตน์ นั หาใช่เรื่องหายากในกิจการในประเทศเยอรมนั แต่อยา่ งใดไม่, มนั กลบั ไม่เป็นเช่นเดียวกนั ในการสนทนาหรือเจรจากบั ประเทศอ่ืนๆและกบั นกั การเมืองของประเทศเหล่านนั เมื่อไม่นานมาน้ี,เม่ือมีการจดั การประชามติข้ึนในประเทศฝรังเศสและประเทศเนเธอร์แลนด์เก่ียวกบั ร่าง ธรรมนูญสหภาพยโุ รป, สาหรับหลายๆ คนแลว้ การท่ีขาดการอา้ งถึงพระเจา้ ในร่างธรรมนูญของสหภาพ ยโุรปนนัเป็นแรงจูงใจท่ีสาคญัสาหรับการออกมาปฏิเสธของพวกเขานกัการเมืองส่วนใหญ่นนัเลือกที่จะ ก ล ่ า ว ถ ึ ง พ ร ะ เ จ า้ ใ น ข อ้ ค ว า ม ข อ ง ร ่ า ง ด งั ก ล ่ า ว ใ น ร ั ฐ ธ ร ร ม น ู ญ ป ร ะ เ ท ศ เ ย อ ร ม นั , ม นั เ ป ็ น ก ด พ ้ ื น ฐ า น , พ ร ะ เ จ า้ จ ะ ปรากฏอยใู่นส่วนของอารัมภกถา“สติสานึกของเหล่าผทู้ี่มีภาระหนา้ท่ีรับผดิชอบต่อพระเจา้”และหลงัจาก นนั ก็ปรากฏอีกครัง ในถอ้ ยความของคาปฏิญาณเขา้ รับตาแหน่งในมาตราที่ 56, อนั จบลงดว้ ยความวา่ “ขอ พระเจา้ทรงประทานพร”อยา่งไรก็ตาม,ทนัทีทนัใดหลงัจากนนั,กฎพ้ืนฐานระบุวา่:“คาปฏิญาณดงักล่าว สามารถถูกกล่าวไดโ้ ดยไม่ตอ้ งมีการรับรองของศาสนาก็ได”้ ในทงั สองส่วน มนั ข้ึนอยกู่ บั ประชาชนแต่ละ คนที่เขาจะตดั สินใจวา่เขาหมายถึงพระเจา้ของนิกายคาธอลิกหรือของนิกายโปรเตสแตนท,์ พระเจา้ของ ชาวยวิหรือพระเจา้ของชาวมุสลิม 
  ในกรณีของกฎพ้นื ฐาน, ขอ้ ความดงั กล่าวไดถ้ ือกาเนิดข้ึนจากเสียงส่วนใหญ่ของนกั การเมือง ใน ระหวา่งปีพ.ศ.2491/2492ในการปกครองระบอบประชาธิปไตย,ภายใตก้ฎนิติธรรมแลว้,นกัการเมือง และเหตุผลของพวกเขานนั มีบทบาทอยา่ งมากในแนวนโยบายตามรัฐธรรมนูญ แทนที่จะมาจากคาสารภาพ จาเพาะของศาสนาหน่ึงศาสนาใดหรือพระธรรมคมั ภีร์ของศาสนานนั ๆ 
  เมื่อไม่นานมาน้ีเราไดม้ ีประสบการณ์กนั วา่ , หลงั จากผา่ นมานานหลายศตวรรษ, พระสันตะปาปาได้ ก ล บั ค า พ พิ า ก ษ า ท ี ่ ม ี ต ่ อ ก า ร ใ ห เ้ ห ต ุ ผ ล ข อ ง ก า ล ิ เ ล โ อ อ ย า่ ง ไ ร , ค า พ ิ พ า ก ษ า อ นั ไ ด ร้ ั บ อ ิ ท ธ ิ พ ล ม า จ า ก ก า ร เ ม ื อ ง อ นั ทรงอานาจ ปัจจุบนั น้ี, เราไดส้ ัมผสั ประสบการณ์กนั ในทุกๆ วนั วา่ แรงกระทาจากศาสนาและการเมืองใน กลุ่มประเทศตะวนั ออกกลางไดป้ ะทะปะทงักนั ท่ามกลางสงครามอนั โหดร้ายทารุณเพื่ออานาจปกครอง เหนือจิตวญิ ญาณของผคู้ นไดอ้ ยา่ งไร – และเราไดเ้ ห็นวา่ หลกั เหตุและผล, หลกั การใหเ้ หตุผลที่เราทุกคนต่าง มีกนั ,กลบั ลม้ เหลวไม่เป็นท่าครังแลว้ ครังเล่าไดอ้ ยา่ งไร เม่ือ,ในปี พ.ศ.2544,คนคลงัศาสนาเพยี งไม่กี่คน ไดพ้ รากชีวติ ทงั ของตวั เองและผคู้ นอื่นกวา่ สามพนั คนในเมืองนิวยอร์ก, โดยหลงเช่ือวา่ พวกเขากาลงั รับใช้ พระเจา้ ; คาสงัประหารชีวติ โซเครติส – สาหรับการไม่เช่ือถือในพระเจา้ – มนั เกิดข้ึนมาตงั เกือบสองพนั ปี มาแลว้ ในอดีต เห็นไดอ้ ยา่ งค่อนขา้ งชดั เจนวา่ , ความขดั แยง้ อนั ยงัยนื ระหวา่ งศาสนาและการเมืองและ เหตุผลนนั เป็นองคป์ ระกอบอนั ยงัยนื ในความขดั แยง้ ของมนุษย์ 


II 

บางท่ีขา้ พเจา้ น่าจะเสริมดว้ ยประสบการณ์ส่วนตวั ในขอ้ น้ี ขา้ พเจา้ เจริญเติบโตข้ึนมาในระหวา่ งยคุ นาซีเรือง อานาจ;ตอนเริมตน้ ในปี พ.ศ.2476นนั ขา้ พเจา้ เพิงมีอายไุ ดส้ ิบสี่ปีเท่านนั เอง ในระหวา่ งระยะเวลาแปดปี ของการถูกเกณฑเ์ ขา้ รับราชการทหารนนั ขา้ พเจา้ ใหค้ วามหวงั ในคริสตศาสนจกั รเป็นช่วงระยะเวลาหน่ึง หลงั จากที่เกิดความคาดหมายถึงหายนะข้ึนมา อยา่ งไรก็ดี, พอถึงปี พ.ศ. 2488, ขา้ พเจา้ ก็ไดส้ ัมผสั ประสบการณ์วา่ โบสถล์ ม้ เหลวโดยไม่สามารถทงั ฟ้ืนฟูศีลธรรมจรรยากลบั มาและไม่สามารถฟ้ืนฟู ประชาธิปไตยและรัฐที่ถูกตอ้ งตามรัฐธรรมนูญกลบั มาได้ แมแ้ ต่โบสถส์ ่วนตวั ของขา้ พเจา้ เองนนั ก็กาลงั กระเสือกกระสนกบั จดหมายจากพอลถึงกรุงโรม: “จงยอมตกอยภู่ ายใตอ้ านาจที่เหนือกวา่ ” 
  หากแต่วา่ ,ในตอนแรกนกั การเมืองผมู้ ีประสบการณ์จากยคุ ไวมาร์นนั มีบทบาทที่สาคญั ในการ เริมตน้ ใหม่; อยา่ ง อเดเนา, ชูมคั เกอร์, ฮิวส์และคนอ่ืนๆ อยา่ งไรก็ตาม, ในการเริมตน้ ของสหพนั ธ์ สาธารณรัฐมนั กลบั มามีบทบาทของนกั การเมืองยคุ ไวมาร์เขา้ มามีส่วนนอ้ ยลงและกลายเป็นฝีมือของผสู้ ืบ ทอดทางเศรษฐกิจอยา่งน่าท่ึงอยา่งลุตวกิ เออร์ฮาร์ดและความช่วยเหลือของอเมริกนั มาร์แชลซ่ึงช่วย
ผลกั ดนั ประเทศเยอรมนั ใหม้ ุ่งสู่เสรีภาพและประชาธิปไตย และในแนวทางที่เอ้ือต่อการเป็นรัฐที่ถูกตอ้ งตาม รัฐธรรมนูญ มนั ไม่มีเหตุอะไรท่ีใหต้ อ้ งอบั อายในความเป็นจริงขอ้ น้ี
: ในที่สุด, นบั ตงั แต่ยคุ ของคาร์ล มากซ์ เป็นตน้ มาเราไดเ้รียนรู้วา่ ความเป็นจริงทางเศรษฐกิจนนั ส่งอิทธิพลต่อการตดั สินใจทางการเมือง ขอ้ สรุป ดงั กล่าวนนั อาจจะประกอบเป็นเพียงคร่ึงเดียวของขอ้ เทจ็ จริงเท่านนั ,แต่ก็ยงั มีขอ้ เท็จจริงปรากฏอยวู่ า่ ทุกๆ ระบอบประชาธิปไตยนนั ต่างตกอยใู่ นอนั ตรายหากวา่ คณะผบู้ ริหารปกครองนนั ไม่สามารถควบคุม อุตสาหกรรมและแรงงานให้อยใู่ นความสงบเรียบร้อยไดม้ ากพอ 
  ผลก็คือ, ขา้ พเจา้ ค่อนขา้ งผดิ หวงั กบั กรอบอิทธิพลของศาสนจกั ร, ไม่เพยี งแต่ในแง่ปกติเท่านนั , แต่ ยงั รวมถึงทางการเมืองและทางเศรษฐกิจดว้ ย ในช่วงระยะเวลากวา่ ยสี่ ิบหา้ ปี นบั ตงั แต่ขา้ พเจา้ รับตาแหน่ง นายกรัฐมนตรีมา, ขา้ พเจา้ ก็ไดเ้ รียนรู้สิงใหม่ๆ จานวนมาก และไดอ้ ่านหนงั สือใหม่ๆ จานวนมาก ใน กระบวนการน้ี,ขา้พเจา้ไดเ้รียนรู้สิงใหม่ๆข้ึนเล็กนอ้ ยเกี่ยวกบั ศาสนาอ่ืนๆและอีกนิดหน่อยเก่ียวกบั หลกั ปรัชญาท่ีก่อนหนา้ น้ีขา้ พเจา้ ไม่เคยทาความคุน้ ชินดว้ ยมาก่อน การสงัสมประสบการณ์มากข้ึนเหล่าน้ียงิทา ใหค้ วามทนทานต่อศาสนาของขา้ พเจา้ ยงิกลา้ แกร่งมากข้ึน; ในขณะเดียวกนั , มนั ก็ผลกั ดนั ใหข้ า้ พเจา้ ดารง ตนออกห่างไปกวา่ เดิมคริสตศ์ าสนา แต่กระนนั , ขา้ พเจา้ ก็ยงั เรียกตวั เองวา่ คริสตศ์ าสนิกชน และยงั คงอยู่ ภายใตศ้ าสนจกั ร, เนื่องจากมนั เป็นเคร่ืองถ่วงความเส่ือมโทรงทางศีลธรรมและนาเสนอการสนบั สนุนใหก้ บั ผคู้นจานวนมาก 


III 

จนถึงปัจจุบนั น้ี, สิงท่ีสร้างความราคาญใหก้ บั ขา้ พเจา้ มากที่สุดเก่ียวกบั การอา้ งอิงถึงพระเจา้ ของชาวคริส เตียน – ทงั ในหมู่ศาสนจกั รเองและในหม่นู กั การเมือง – ก็คือแนวโนม้ ท่ีจะจากดั ตดั ทอนสิงอ่ืนๆ ที่พวกเรา ไดเ้ผชิญพบมาในคริสตศ์าสนา–และในหลกัการศาสนาอื่นๆดว้ย,เช่นกนั “คุณมนัผิดแต่ผมมนัผรูู้้แจง้ความเช่ืออนั มนัคงและจุดมุ่งหมายของผมนนั ถูกตอ้ งตามศีลธรรม” มนั ไดก้ ลายเป็นสิงที่ชดั เจนต่อขา้ พเจา้ มาเนินนานแลว้ วา่ ศาสนาและคตินิยมที่แตกต่างกนั ของเรา นนั จะตอ้ งไม่ไดร้ ับอนุญาตใหห้ ยดุ ยงั เราจากการ ทางานเพื่อผลประโยชนข์ องส่วนรวม; ในที่สุดแลว้ , คุณค่าทางศีลธรรมของพวกเรานนั ก็ต่างคลา้ ยคลึงกนั อยา่ งใกลช้ ิดกบั คุณค่าทางศีลธรรมของผอู้ ่ืน มนั จึงเป็ นไปไดท้ ี่จะมีความสงบสนั ติระหวา่ งพวกเรา, แต่วา่ พวกเรานนั จาเป็นที่จะตอ้ งฟ้ืนฟสู ันติภาพและ“ก่อตงั ”มนั กลบั ข้ึนมาอีกครัง,ดงั ท่ีคานตก์ ล่าว 
  มนั ไม่สอดคลอ้ งกบั จุดมุ่งหมายทางดา้ นสันติภาพ หากวา่ เหล่าผศู้ รัทธาและนกั บวชของศาสนาหน่ึง นนั พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงความศรัทธาในศาสนาของเหล่าผนู้ บั ถือของศาสนาอื่น และพยายามท่ีจะ เปลี่ยนศาสนาของพวกเขา ดว้ยเหตุน้ี,ทศันคติของขา้พเจา้ต่อแนวคิดพ้ืนฐานที่อยเู่บ้ืองหลงัภารกิจเพื่อ ความศรัทธานนั เป็นเป็นทศั นคติของความสงสัยอยา่ งลึกซ้ึง ความรู้เกี่ยวกบั ประวตั ิศาสตร์ของขา้ พเจา้ นนั มี บทบาทอยา่ งมากในเร่ืองน้ี – ขา้ พเจา้ กาลงั อา้ งถึงขอ้ เท็จจริงที่วา่ , เป็นเวลานานหลายศตวรรษ, ทงั ศาสนา
ค ร ิ ส ต แ์ ล ะ ศ า ส น า อ ิ ส ล า ม ต ่ า ง แ พ ร ่ ก ร ะ จ า ย อ อ ก ไ ป ด ว้ ย ค ม ด า บ , โ ด ย ก า ร เ ข า้ ย ดึ ค ร อ ง แ ล ะ ก า ร ป ร า บ ใ ห เ ้ ป ็ น ข า้ , แต่ไม่ใช่ดว้ ยการอุทิศตน, ทุ่มเท, ความเชื่อและความเขา้ ใจ นกั การเมืองของยคุ กลาง
; อนั ไดแ้ ก่, เหล่าขนุ นางและอศั วนิ , องคก์ าหลิบและพระสันตะปาปา, ตงั กฎเกณฑบ์ งั คบั ความคิดของเหล่าผปู้ ระกาศศาสนา และ เปลี่ยนใหพ้ วกเขากลายเป็นเคร่ืองมือเพ่ือแผข่ ยายอานาจ – และเหล่าผศู้ รัทธานบั ร้อยนบั พนั คนต่างเตม็ ใจที่ จะยอมใหต้ วั เองถูกใชใ้ นแนวทางดงั กล่าว 
  ยกตวั อยา่ งเช่น, ในสายตาของขา้ พเจา้ , สงครามครูเสดในนามของพระคริสต,์ ซ่ึงทหารถือไบเบิลเอาไวใ้ นมือซา้ ยและกุมดาบเอาไวใ้ นมือขวา,นนั ท่ีจริงแลว้ เป็นสงครามแผข่ ยายอานาจ ในยคุ สมยั ใหม่, สเปน,โปรตุเกส,องักฤษ,ดชัตแ์ละฝรังเศสและสุดทา้ยแมแ้ต่เยอรมนัก็ไดใ้ชค้วามรุนแรงเพ่ือเขา้ยดึครอง อเมริกา, แอฟริกาและเอเชียส่วนใหญ่เอาไว้ ประเทศต่างดา้ วเหล่าน้ีอาจจะถูกทาใหต้ กเป็นอาณานิคม ดว้ ย ความเชื่อถึงความเหนือกวา่ ทางดา้ นศีลธรรมและศาสนา, แต่การก่อตงั อาณาจกั รอาณานิคมนนั มีความเกี่ยว โยงนอ้ ยมากกบั ศาสนาคริสต์ หากแต่วา่ , มนั เป็นเรื่องของอานาจและผลประโยชน์อยา่ งเห็นแก่ตวั ต่างหาก หรือลองพจิ ารณาเรกองกิสตาของคาบสมุทรอิเบอเรียน:มนั ไม่เพยี งเกี่ยวกบั ชยั ชนะของศาสนาคริสตเ์ท่านนั ,แต่,ที่ใจกลางของมนั นนั ,เกี่ยวกบั อานาจของราชวงศค์ าธอลิก,ของกษตั ริยเ์ฟอร์ดินานและอิสซาเบลล่า เม่ือศาสนาฮินดูและศาสนาอิสลามต่อสู้กนั ในปัจจุบนั เพอื่ สิทธิในผนื แผน่ ดินประเทศอินเดีย,หรือเมื่อนิกาย ซุนหนิและนิกายชีอะห์ของมุสลิมต่อสู้กนั ในตะวนั ออกกลาง,ครังแลว้ ครังเล่าท่ีจุดสาคญั ของปัญหานนั คือ อานาจและการควบคุม – ศาสนาและบาทหลวงของศาสนานนั เพียงแต่ถูกใชเ้ พื่อวตั ถุประสงคด์ งั กล่าว เท่านนั ,เน่ืองเพราะพวกเขาสามารถส่งอิทธิพลกบั มวลชนได้ 
  ทุกวนั น้ี มนั เป็นความวติ กกงั วลอยา่ งใหญ่หลวงสาหรับขา้ พเจา้ ท่ีในตอนตน้ ของศตวรรษท่ียส่ี ิบเอด็ อนั ตรายที่แทจ้ ริงไดก้ ่อตวั ข้ึนมาจาก “การปะทะกนั ของอายธรรม” อนั เกิดข้ึนทวัโลก, ไม่วา่ จะโดยการ กระตุน้จงูใจทางศาสนาหรือการใชศ้าสนาบงัหนา้ ในบางส่วนของโลกยคุสมยัใหม่,แรงจูงใจเพื่ออานาจ, ภายใตก้ ารใชศ้ าสนาบงั หนา้ , ไดผ้ สมผสานกบั ความเกร้ียวกราดท่ีถูกตอ้ ง เกี่ยวกบั ความยากจน และความ อิจฉาในความรุ่งเรืองของผอู้ ื่น แรงกระตุน้ ทางการเผยแพร่ศาสนานนั ไดผ้ สมผสานกบั แรงจงู ใจส่วนเกิน เพ่ืออานาจ ในบริบทเช่นน้ี มนั เป็นการยากที่จะหาจุดสมดุล, พยายามสงวนรักษาเสียงแห่งเหตุผลใหย้ งั ไดร้ ับความสนใจ ท่ามกลางฝงู ชนผตู้ ื่นเตน้ และปลาบปล้ืมนนั , การร้องเรียกใหฟ้ ังเหตุผลของปัจเจกบุคคล นนั ยากจะเป็นท่ีไดย้ นิ ซ่ึงขอ้ น้ีถือเป็นความจริง เม่ือคตินิยมของชาติตะวนั ตกและหลกั คาสอนเก่ียวกบั ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน, ซ่ึงเป็นท่ีควรเคารพอยา่ งท่ีสุด, นนั กลบั ถูกใชร้ ่วมกบั การบีบบงั คบั ดว้ ย
ก า ล งั ท า ง ท ห า ร แ ล ะ ค ว า ม ศ ร ั ท ธ า อ ย า่ ง แ ร ง ก ล า้ ใ น ว ฒั น ธ ร ร ม ซ ่ ึ ง ก ่ อ ต วั พ ฒั น า ข ้ ึ น ใ น ส ภ า พ แ ว ด ล อ้ ม ท ี ่ แ ต ก ต ่ า ง กนั ออกไปอยา่ งสิ
นเชิง 


IV. 

ต วั ข า้ พ เ จ า้ เ อ ง น นั ไ ด ข้ อ้ ส ร ุ ป ท ี ่ ช ดั เ จ น จ า ก ป ร ะ ส บ ก า ร ณ ์ เ ห ล ่ า น ้ ี : อ ย า่ ไ ด เ ้ ช ่ ื อ ถ ื อ น กั ก า ร เ ม ื อ ง ห น า้ ไ ห น , ห วั ห น า้ คณะรัฐบาลหรือผนู้ ารัฐคนใด, ผซู้ ่ึงเปลี่ยนแปลงศาสนาของตนเองใหก้ ลายเป็นเครื่องมือในการแสวงหา อานาจ จงหลีกใหไ้ กลจากนกั การเมืองที่เอาเรื่องศาสนา, ซ่ึงมุ่งเนน้ กบั โลกในภายภาคหนา้ , มาปะปนกบั การเมืองของตนเองในโลกใบน้ี 
  ขอ้ ระมดั ระวงั ดงั กล่าวนนั ประยกุ ตเ์ ขา้ กนั ไดเ้ สมอกนั กบั ทงั การเมืองในประเทศและในต่างประเทศ มนั ประยกุ ตเ์ ขา้ กนั ไดเ้ สมอกนั กบั ทงั พลเมืองของประเทศและกบั นกั การเมืองของประเทศ เราจะตอ้ ง เรียกร้องใหน้กัการเมืองใหค้วามเคารพและจะตอ้งยอมอดทนต่อผมู้ีศรัทธาจากศาสนาอ่ืนๆ ใครก็ตามท่ีไม่ มีความสามารถท่ีจะทาเช่นน้ี ในฐานะผนู้ าทางการเมือง นนั จะตอ้ งไดร้ ับการพิจารณาวา่ เป็นความเส่ียงต่อ ความสงบสนัติ–ต่อทงัความสงบสันติภายในประเทศของเราเองและความสงบสนัติกบัต่างประเทศ 
  ม นั เ ป ็ น โ ศ ก น า ฏ ก ร ร ม อ ย า่ ง ห น ่ ึ ง ท ่ ี , ใ น ท ุ ก ห ม ่ ู ท ุ ก ฝ ่ า ย , แ ร บ ไ บ , บ า ท ห ล ว ง แ ล ะ น กั บ ว ช , ม ู ล เ ล า ะ ห ์ และอยาตุลเลาะห์, นนั ต่างไดป้ ิ ดกนั ความรู้ทงั มวลเกี่ยวกบั ศาสนาอื่นๆ ไวจ้ ากพวกเรา หากแต่วา่ พวกเขา กลบั สังสอนใหค้ ิดถึงศาสนาอ่ืนๆ อยา่ งรังเกียจ และแมแ้ ต่ดูถูกศาสนาอื่นๆ อยา่ งไรก็ตาม, ใครก็ตามท่ี ตอ้ งการสนั ติภาพระหวา่ งศาสนา นนั ควรจะตอ้ งเผยแพร่หลกั ความอดทนและการเคารพในศาสนา ความ เคารพต่อผอู้ ื่นนนั อยา่ งนอ้ ยตอ้ งอาศยั ความรู้ขนั ต่าเกี่ยวกบั พวกเขา ขา้ พเจา้ เองก็เชื่อมานานแลว้ วา่ – นอกเหนือจากศาสนาของอบั ราฮมั ทงั สามศาสนาแลว้ – ศาสนาฮินดู, ศาสนาพุทธและศาสนาชินโต นนั ก็ ต่างตอ้ งการความเคารพและความอดทนเทียบเท่ากนั 
  และเน่ืองจากความเชื่อดงั กล่าว, ขา้ พเจา้ จึงยอมรับ คาประกาศชิคาโกใ้ นเรื่อง “การมุ่งหนา้ สู่หลกั จริยธรรมโลก”โดยท่ีประชุมสภาศาสนาโลก,โดยพจิ ารณาวา่ ไม่เพยี งแต่มนั จะเป็นสิงท่ีตอ้ งการเท่านนั แต่ ยงั เป็นสิงท่ีจาเป็นเร่งด่วนอีกดว้ ย อิงตามฐานะพ้ืนฐานเดียวกนั น้ี,ในวนั น้ีเม่ือสิบปีก่อนสภาอินเตอร์ แอกชนัเคาซิวของเหล่าอดีตผนู้ าประเทศและรัฐบาลไดส้ ่งร่างเอกสารใหก้ บั เลขาธิการใหญ่แห่ง สหประชาชาติในชื่อ“คาประกาศสากลต่อภาระความรับผดิ ชอบของมนุษย”์ ซ่ึงเราไดพ้ ฒั นาข้ึนตามการ ริเริมของนายทาเคโอะฟูกุดะจากประเทศญี่ปุ่น ร่างขอ้ ความของเรา,บรรจุไวด้ ว้ ยหลกั การพ้ืนฐานของ มนุษยชาติ ณจุดน้ี,ขา้พเจา้อยากจะขอขอบคุณศาสตราจารย์ฮานส์คืงสาหรับความสนบั สนุนของเขา พร้อมกนั นนั , ขา้ พเจา้ อยากจะแสดงความระลึกถึงการสนบั สนุนที่กระทาโดยฟรานส์ คาร์ดินาล โคนิก แห่ง เวยี นนาผลู้ ่วงลบั 

  

อยา่ งไรก็ดี, ขา้ พเจา้ ยงั ไดบ้ รรลุซ่ึงความเขา้ ใจวา่ , เมื่อสองพนั หา้ ร้อยปี ก่อน, ปฐมอาจารยข์ องมนุษยชาติ, อยา่ ง โซเครติส, อริสโตเติล, ขงจ้ือและเม่งจ้ือ, ต่างไม่มีความจาเป็นตอ้ งการศาสนาในการมีส่วนกบั ผลงาน ของพวกเขาแต่อยา่ งใด, แมว้ า่ พวกเขาจะใหก้ ารสรรเสริญศาสนาและถูกคาดหมายวา่ ใหอ้ า้ งถึงศาสนาใหม้ าก ข้ึนก็ตาม ทุกสิงทุกอยา่ งที่เราทราบเกี่ยวกบั พวกเขา บอกใหเ้ รารู้วา่ โซเครติสอิงหลกั ปรัชญาของเขา, และ ขงจ้ืออิงหลกั ธรรมจรรยาของเขา, บนการประยกุ ตใ์ ชเ้ พียงแต่หลกั เหตุผลเท่านนั ; ไม่มีคาสอนใดของพวกเขา เลยท่ีอิงศาสนาเป็นฐาน แต่กระนนั ทงั คู่ก็ต่างกลายเป็นผชู้ ้ีนา,แมแ้ ต่ในยคุ ปัจจุบนั ,ผคู้ นนบั ลา้ นๆคน หากปราศจากโซเครติสก็คงจะไม่มีพลาโต้–หรือบางทีก็อาจจะไม่มีอิมมานูเอลคานต์และไม่มีคาร์ลป็อป เปอร์ หากปราศจากขงจ้ือ และลทั ธิขงจ้ือ, มนั ก็ค่อนขา้ งยากที่จะจินตนาการถึงวฒั นธรรมจีนและถึง “อาณาจกั รแห่งเส้นไหม”,ซ่ึงช่วงชีวติ และความสาคญั แก่ชีวติ นนั เป็นเอกลกั ษณ์อยา่ งยงิในประวตั ิศาสตร์ โลก, วา่ จะถือกาเนิดข้ึนมาได้ 
  ในขอ้ น้ี,ประสบการณ์อยา่ งหน่ึงสาคญั อยา่ งยงิสาหรับขา้ พเจา้ :มนั ค่อนขา้ งชดั เจนวา่ ,มนั เป็นไปได้ อยา่ งที่สุดท่ีจะก่อใหเ้ กิดความเขา้ ใจอยา่ งลึกซ้ึงอนั โดดเด่น, ผลสัมฤทธ์ิทางวทิ ยาศาสตร์ และดงั นนั จึงรวมถึง คาสังสอนทางจริยธรรมและทางการเมือง แต่ใหผ้ ใู้ หก้ าเนิดสิงเหล่าน้ีไม่ไดพ้ ิจารณาตนเองวา่ ถูกผกู พนั เอาไว้ ในพระเจา้ , ในศาสดาพยากรณ์, ต่อพระคมั ภีร์ศกั ด์ิสิทธ์ิหรือต่อศาสนาหน่ึงศาสนาใดๆ, แต่รู้สึกวา่ ถูกผกู พนั ไวดว้ ยเหตุผลของตนเองเท่านนั ซ่ึงนี่ประยกุ ตเ์ ขา้ กนั ไดเ้ ช่นกนั กบั การบรรลุผลสัมฤทธ์ิทางเศรษฐศาสตร์ สงั คมและทางการเมือง อยา่ งไรก็ตาม, มนั ทาใหแ้ นวคิดการรู้แจง้ ในอเมริกาและยโุ รปตอ้ งกระเสือกกระสน และฟาดฟันกนั นานหลายศตวรรษ ก่อนที่จะเป็ นไปไดท้ ี่สมั ผสั ประสบการณ์ดงั วา่ น้ีจะเจาะทะลุเขา้ มาสู่ส่วน น้ีในโลกได้ ในท่ีน้ีคาวา่ “เจาะทะลุ”นนั คือในแง่ของวทิ ยาศาสตร์,เทคโนโลยแี ละอุตสาหกรรม 
  เม่ือคานึงถึงแง่ทางการเมือง, ในอีกทางหน่ึง, คาวา่ “เจาะทะลุ” นนั โชคไม่ดีที่ประยกุ ตเ์ ขา้ กบั การรู้ แจง้ ในระดบั ท่ีจากดั อยา่ งยงิไม่วา่ มนั จะเป็นตวั อยา่ งของกษตั ริยว์ ลิ เฮลม์ ที่สองที่มองตวั เองวา่ เป็น พระราชา“ดว้ ยพระคุณแห่งพระเจา้ ”,ไม่วา่ จะเป็นประธานาธิบดีของอเมริกาท่ีกล่าวถึงพระเจา้ หรือไม่วา่ จะ เป็นนกั การเมืองในปัจจุบนั ท่ีกล่าวถึงคุณค่าของชาวคริสเตียนกบั การเล่นการเมืองของพวกเขา: พวกเขาต่าง มองตวั เองวา่ ถูกผกั พนั ในทางศาสนาในฐานะชาวคริสเตียน บางคนรู้สึกอยา่ งชดั เจนเลยวา่ พวกเขานนั มี ตาแหน่งฐานะความรับผดิ ชอบทางศาสนาคริสต;์ ในขณะท่ีบางคนพจิ ารณาความรับผิดชอบดงั กล่าวอยา่ ง กวา้งๆ–อยา่งที่ชาวเยอรมนัส่วนใหญ่คงจะพจิารณากนัในทุกวนัน้ีอยา่งไรแลว้,ชาวเยอรมนัจานวนมากก็ แตกแยกออกจากคริสตศ์ าสนา, หลายคนเลิกไปโบสถ,์ บางคนเลิกนบั ถือในพระเจา้ , แต่กระนนั พวกเขาก็ยงั เป็นคนดีและเพ่ือนร่วมบา้ นที่ดี 


VI 

วนั น้ี,ชาวเยอรมนั ส่วนใหญ่ต่างร่วมกนั แบ่งปันความเชื่อทางการเมือง,อนั เป็นรากฐานที่สาคญั ร่วมกนั เหนือสิงอ่ืนใด, ขา้ พเจา้ หมายความวา่ พวกเขานนั ต่างถูกผกู พนั ในการที่จะไม่สร้างความแปลกแยกต่อสิทธิ มนุษยชนและหลกั การแห่งประชาธิปไตย การอุทิศตนภายในของพวกเขานนั เป็นอิสระอยา่ งชดั เจนจาก ความเช่ือหรือการไร้ความเช่ือของพวกเขา, และทงั ยงั เป็นอิสระจากขอ้ เทจ็ จริงท่ีวา่ หลกั การทงั สองขอ้ นนั หา ไดถ้ ูกรวมเอาไวใ้ นคริสตจกั รต่างๆ ของศาสนาคริสตไ์ ม่ 
  ไม่เพียงแต่ในศาสนาคริสตเ์ท่านนั,แต่ยงัรวมถึงศาสนาและพระคมัภีร์ของศาสนาอื่นๆในโลกดว้ย, ที่ต่างไดก้ าหนดกฎหมายและหนา้ ที่ใหก้ บั ผศู้ รัทธา, ในขณะที่สิทธิของปัจเจกบุคคลนนั กลบั ยากที่จะคน้ พบ ไดใ้ นพระธรรมคมั ภีร์ ในอีกทางหน่ึง, ในช่วงยส่ี ิบมาตราแรก, กฎพ้นื ฐานนนั ระบุถึงสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ของปัจเจกบุคคลแต่ละคน, ในขณะที่พนั ธะความรับผดิ ชอบและหนา้ ที่นนั แทบจะไม่ไดร้ ับการระบุเอาไว้ รายการสิทธิพลเมืองของเรานนั คือการตอบสนองที่ดีต่อการกกดขี่อิสระเสรีภาพอยา่ งที่สุดของปัจเจกบุคคล ภายใตก้ ารปกครองของพรรคนาซี มนั ไม่ไดถ้ ูกสร้างข้ึนบนหลกั คาสอนของศาสนาคริสตห์ รือหลกั คาสอน ของศาสนาอื่นๆ, หากแต่วา่ ถูกสร้างข้ึนทงั หมดจากคุณค่าพ้นื ฐานที่ไดถ้ ูกอธิบายเอาไวอ้ ยา่ งละเอียดและ ชดัเจนในรัฐธรรมนูญของประเทศเรา:“ศกัด์ิศรีความเป็นมนุษยอ์นัไม่อาจละเมิดได”้ 
  ในอึดใจเดียวกนั นนั ,ในมาตราที่1มาตราเดียวกนั นนั ,สภานิติบญั ญตั ิ,ฝ่ายบริหารและตุลาการนนั ต่างถูกผกู พนั โดยสิทธิขนั พ้นื ฐานอนั มีฐานะเป็นกฎหมายที่ประยกุ ตใ์ ชไ้ ดโ้ ดยตรง;ซ่ึงนี่หมายความวา่
นกั การเมืองทุกคนต่างถูกผกู พนั โดยกฎหมายดงั กล่าวดว้ ย, ไม่วา่ พวกเขาจะเป็นผรู้ ่างกฎหมาย, เจา้ หนา้ ที่ของ รัฐหรือฝ่ายบริหาร
;ไม่วา่จะอยใู่นรัฐบาลแห่งสหพนัธรัฐ,อยใู่นลนัเดอร์หรือในเทศบาลในขณะเดียวกนั, นกั การเมืองก็มีขอบเขตท่ีกวา้ งสาหรับการดาเนินการ, เน่ืองจากกฎหมายพ้นื ฐานนนั เอต่อการเมืองที่ดีหรือ การเมืองที่ประสบความสาเร็จเช่นเดียวกบั ท่ีมนั เอ้ืออานาจต่อการเมืองท่ีย่าแยห่ รือไม่ประสบความสาเร็จ ดว้ ยเหตุดงั กล่าว, เราจึงไม่เพียงแต่ตอ้ งการการยอมนอ้ มปฏิบตั ิตามของผสู้ ร้างกฎหมายและพรรครัฐบาลใน การปฏิบตั ิตามรัฐธรรมนูญเท่านนั , หากแต่วา่ เรายงั ตอ้ งการ, ในขอ้ ที่สอง, การกากบั ดูแลพวกเขาโดยศาล รัฐธรรมนูญ,และอีกทงั ,ในขอ้ ท่ีสามอนั เป็นขอ้ ท่ีสาคญั ที่สุด,การกากบั ดูแลการเมืองโดยผมู้ ีสิทธ์ิออกเสียง และมติมหาชน 
  แน่นอนวา่ , นกั การเมืองนนั ต่างพา่ ยแพต้ ่อความผดิ พลาด; แน่นอนวา่ นกั การเมืองตอ้ งไดท้ าในสิงท่ี ผดิ พลาด จะอยา่ งไรก็ดี, พวกเขาต่างตกอยภู่ ายใตจ้ ุดอ่อนของมนุษยอ์ ยา่ งเดียวกนั กบั พลเมืองคนอื่นคนใด, จุดอ่อนเดียวกนั กบั มติมหาชน บางครังบางคราว, นกั การเมืองจะถูกบงั คบั ใหด้ าเนินการตดั สินใจโดย ฉบัพลนั;อยา่งไรก็ดี,โดยมากแลว้พวกเขาจะมีเวลามากพอและโอกาสที่เพียงพอในการรับคาแนะนาจาก หลายๆ แหล่งๆ, เพื่อชงัาหนกั ตวั เลือกที่มี และผลลพั ธ์อนั พึงมองเห็นไดก้ ่อนที่พวกเขาจะดาเนินการ
ตดั สินใจ ยงิ
นกั การเมืองอนุญาตใหต้ นเองนนั ถูกชกั นาโดยทฤษฎีหรือคตินิยมท่ีตายตวั มากเท่าไหร่, โดย ความสนใจในอานาจของพรรคของตนมากเท่าไหร่, เขาก็จะยงิชงัาหนกั ปัจจยั ต่างๆ ท่ีเห็นไดอ้ ยา่ งชดั เจน และผลลพั ธ์ทงั หลายของการตดั สินใจของเขาในแต่ละกรณีนอ้ ยลงไปตามเท่านนั ; เขาก็จะยงิมองไม่เห็น
อนั ตรายของความผดิ พลาด, ของความพล
งั ผดิ และความลม้ เหลวนอ้ ยลงไปเท่านนั ความเส่ียงขอ้ น้ีจะยงิสูง เป็นพิเศษ เม่ือการตดั สินใจนนั จะตอ้ งกระทาในทนั ที ในแต่ละกรณีนนั เขาต่างตอ้ งรับผดิ ชอบต่อผลลพั ธ์ – และบ่อยครังท่ีความรับผดิ ชอบดงั กล่าวสามารถกลายเป็นภาระหนกั หนาอยา่ งแทจ้ ริงได้ ในหลายๆ กรณี นกั การเมืองกลบั ไม่เสาะหาความช่วยเหลือในการดาเนินการตดั สินใจในสถาบนั , ในศาสนา, ในปรัชญาหรือ ในทฤษฎีใดๆ, หากแต่กลบั อิงอาศยั หลกั การเหตุผลและดุลยพินิจของตนเองแต่เพียงลาพงั 
  นี่คือสาเหตุวา่ ทาไมแมก็ ซ์ เวเบอร์จึงค่อนขา้ งเปิ ดกวา้ งอยา่ งมาก เมื่อเขา้ พดู ในสุนทรพจนอ์ นั ยงั คง หาอ่านไดจ้ากปีพ.ศ.2462ในเรื่อง“การเมืองเรื่องพกัผอ่น”จากหวัขอ้“สานึกในปฏิภาค”ของนกัการเมือง เขากล่าวเสริมวา่ นกั การเมือง จะตอ้ ง “พจิ ารณาผลลพั ธ์ในการกระทาของตนเอง” ที่จริงแลว้ , ขา้ พเจา้ เช่ือวา่ ไ ม ่ เ พ ยี ง แ ต ่ เ ฉ พ า ะ ผ ล ล พั ธ ์ โ ด ย ท วั ไ ป เ ท ่ า น นั , แ ต ่ ย งั ร ว ม ถ ึ ง ผ ล ข า้ ง เ ค ี ย ง ท งั ท ี ่ ไ ม ่ ไ ด ต้ งั ใ จ ห ร ื อ ท น ย อ ม ใ ห เ้ ก ิ ด ข ้ ึ น นนั จะตอ้ งไดร้ ับการพิจารณาดว้ ย; จุดมุ่งหมายของการกระทาของเขาถูกตอ้ งตามหลกั จริยธรรม, และ แนวทางและวธิ ีของเขาจะตอ้ งถูกตอ้ งตามหลกั จริยธรรมอยา่ งเทียบเทียมกนั ซ่ึงอีกครังที่ “สานึกใน ปฏิภาค”นนั จะตอ้ งเพยี งพอต่อการรองรับการดาเนินการตดั สินใจที่เกิดข้ึนโดยฉบั พลนั ทนั ใดที่จาเป็นและ ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่กระนนั หากวา่ มีเวลามากพอท่ีจะชงัาหนกั สิงต่างๆ, มนั ก็จะตอ้ งมีการวเิ คราะห์ อยา่ งละเอียดและสุขมุ รอบคอบ หลกั การดงั กล่าวน้ีไม่เพียงประยกุ ตไ์ ดก้ บั การดาเนินการตดั สินใจท่ีกระทา ในกรณีที่รุนแรง, กะทนั หนั อยา่ งเดียว, แต่ยงั รวมถึงการตดั สินใจตามปกติในการออกกฎหมายในแต่ละวนั , อยา่ งเช่น นโยบายภาษีหรือแรงงาน; มนั ประยกุ ตเ์ ขา้ กบั การตดั สินใจทงั หลาย อยา่ ง สถานีไฟฟ้ าแห่งใหม่ หรือทางด่วนแห่งใหม่ มนั ประยกุ ตเ์ ขา้ กบั ทุกเร่ืองอยา่ งไร้ขีดจากดั 
  หรือกล่าวอีกอยา่ งหน่ึง: นกั การเมืองนนั ไม่สามารถสนบั สนุนการกระทาและผลลพั ธ์ของการ กระทาเหล่านนั ดว้ยความคิดของตนเองได้นอกเสียจากวา่พวกเขาจะไดใ้ชเ้หตุผลในเรื่องดงักล่าวแลว้ ความตงั ใจท่ีดีหรือความเช่ือที่มีเกียรติแต่เพียงลาพงั นนั ยงั ไม่อาจปลดเปล้ืองภาระพนั ธะความรับผดิ ชอบ ดงั กล่าวดว้ ย ดว้ ยเหตุน้ีขา้ พเจา้ จึงมองคาพดู ของแมก็ ซ์ เวเบอร์ ถึงความจาเป็นของจริยธรรมในดา้ นความ รับผดิ ชอบ, อนั ตรงกนั ขา้ มกบั จริยธรรมของผลลพั ธ์, วา่ เป็นสิงที่ถูกตอ้ งเสมอ 
  อยา่ งไรก็ตาม, ในขณะเดียวกนั เราต่างรู้วา่ ผคู้ นจานวนมาก ซ่ึงเขา้ ร่วมในวงการเมืองนนั เกิดจากการ จงู ใจดว้ ยความเชื่อของพวกเขา, ไม่ใช่ดว้ ยหลกั เหตุผล อยา่ งเท่าเทียมกนั , เราจะตอ้ งยอมรับวา่ การตดั สินใจ บางอยา่ ง, ทงั ในเรื่องภายในประเทศและต่างประเทศ, นนั เกิดข้ึนจากความเชื่อของผคู้ น และไม่ใช่เกิดจาก การพจิ ารณาดว้ ยเหตุผลอยา่ งรอบคอบ และหวงั วา่ เราจะไม่มีภาพลวงตาเกี่ยวกบั ขอ้ เท็จจริงท่ีวา่ ภาคส่วน จานวนมากของผมู้ ีสิทธิออกเสียงนนั โดยมากแลว้ อิงทางเลือกการตดั สินลงคะแนนเสียงใหใ้ คร วา่ ข้ึนอยกู่ บั นโยบายตามความเช่ือของพวกเขา–และก็ผสมกบั ตามอารมณ์ในขณะนนั 
  แต่กระนนั , ขา้ พเจา้ ไดอ้ ธิบายไวแ้ ลว้ ซ่ึงความสาคญั มลู ฐานขององคป์ ระกอบของการดาเนินการ ตดัสินใจทางการเมืองทงัสองประการ–อนัไดแ้ก่เหตุผลและความคิด–เอาไวใ้นการบรรยายและงานเขียน มากมายหลายชินตลอดช่วงระยะเวลานานหลายทศวรรษ 


VII 

อยา่ งไรก็ตาม, ขา้ พเจา้ จะตอ้ งเพิมเติมบางขอ้ บางประการ: แมว้ า่ ขอ้ สรุปดงั กล่าวจะดูหรือฟังแลว้ เรียบง่าย และไม่คลุมเครือมากแค่ไหน,มนั ก็หาไดเ้รียบง่ายแต่อยา่ งใดในความเป็นจริงตามระบอบประชาธิปไตย ใน รัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยนนั ,ตามปกติแลว้ จะถือเป็นขอ้ ยกเวน้ หากวา่ คนๆเดียวจะเป็นผดู้ าเนินการ ตดั สินใจทางการเมือง แต่ในกรณีส่วนมากแลว้ , มนั ไม่ใช่ปัจเจกบุคคลที่ดาเนินการตดั สินใจ, แต่เป็นเสียง ส่วนใหญ่ของประชาชน ยกตวั อยา่ งเช่น,ขอ้ น้ีก็เป็นจริงเช่นกนั สาหรับการออกกฎหมายทงั หลาย,โดยไม่มี ขอ้ ยกเวน้ 
  ในการที่จะบรรลุซ่ึงเสียงส่วนใหญ่ของสภานิติบญั ญตั ิในรัฐสภาพนนั , คนจานวนหลายร้อยคน จะตอ้ งเห็นพอ้ งตอ้ งกนั ในขอ้ ความชุดหน่ึง ในขณะเดียวกนั ,ประเด็นอนั แทบจะไม่มีความสาคญั นนั สามารถกลายเป็นเรื่องอนั แสนจะซบั ซอ้ นหรือยากที่จะจดั การได้ ในกรณีเช่นน้ี, มนั จะเป็นการง่ายกวา่ ที่จะ อิงอยกู่ บั ผเู้ช่ียวชาญท่ีเป็นท่ีรู้จกั หรือผนู้ าที่เป็นที่รู้จกั ในพรรคของตนเองในรัฐสภาพ,แต่มนั ก็มีกรณีอยหู่ ลาย กรณี, และมีเรื่องท่ีสาคญั อยหู่ ลายเรื่อง, ที่สมาชิกจานวนหน่ึงของรัฐสภานนั เริมตน้ ข้ึนดว้ ยขอ้ คิดเห็นท่ี แตกต่างกนั,มีเหตุมีผลฟังข้ึน,ในประเด็นหน่ึงประเด็นใดหรือในหลายๆประเด็น ในการที่จะใหพ้วกเขา เห็นพอ้ งไดน้ นั , เราจะตอ้ งให้ความสะดวกกบั พวกเขา 
  หรือกล่าวอีกอยา่ งหน่ึง: การออกกฎหมายและการดาเนินการตดั สินใจโดยเสียงส่วนใหญ่ของรัฐ สภาพนนั หมายความวา่ บุคคลเหล่าน้ีทุกคนจะตอ้ งมีความสามารถและความเตม็ ใจท่ีจะประนีประนอม! หากปราศจากการประนีประนอม,ก็จะไม่มีวนั บรรลุมติเอกฉนั ทจ์ ากเสียงส่วนใหญ่ได้ ในความเป็นจริง ตามหลกั การแลว้ , ไม่วา่ ใครก็ไม่อาจ หรือไม่ตอ้ งการที่จะประนีประนอมนนั ถือเป็นผทู้ ่ีไร้ประโยชน์สาหรับ การออกกฎหมายตามระบอบประชาธิปไตย ตอ้ งยอมรับวา่ , การประนีประนอมนนั มกั จะเกิดข้ึนร่วมกบั การสูญเสียความเขม้ งวดและการคงอยกู่ บั ร่องกบั รอยในการดาเนินการทางการเมือง,แต่สมาชิกรัฐสภาใน ระบอบประชาธิปไตยนนั จะตอ้ งเตม็ ใจท่ีจะยอมรับความสูญเสียประเภทน้ีใหไ้ ด้ 


VIII 

การประนีประนอมนนั ก็เช่นกนั ท่ีมีความจาเป็นในแนวนโยบายต่างประเทศ เพ่ือที่จะรักษาสันติภาพระหวา่ ง ประเทศเอาไว้หลกัการของประเทศตามหลกัซาโครอิโกอิสโม,ดงัเช่นท่ีกาลงับ่มเพาะกนัอยใู่นขณะน้ีใน รัฐบาลของประเทศสหรัฐอเมริกา, นนั ไม่สามารถทางานอยา่ งสงบสันติไดใ้ นระยะยาว 
  มนั เป็นความจริงที่เป็นเวลานานนบั พนั ปี – จากยคุ ของพระเจา้ อเล็กซานเดอร์หรือซีซาร์, จากยคุ ของ เจงกีสข่าน,พิซาร์โร่หรือนาโปเลียน,มาจนถึงยคุ ของฮิตเลอร์และสตาลิน–แนวคิดเรื่องสันติภาพนนั แทบ จะไร้บทบาทในการดาเนินนโยบายการต่างประเทศ มนั แทบจะไม่มีบทบาทพอๆ กนั หลกั จริยธรรมตาม ทฤษฎีของรัฐบาล หรือต่อการบูรณาการเอาหลกั ปรัชญาเขา้ มาร่วมในการเมือง ในทางตรงกนั ขา้ ม, เป็น เวลานานนบั พนั ปี,แมแ้ ต่ในช่วงยคุ สมยั ของมาคิอาเวลลีหรือเคลาซ์สวติ ช์,สงครามนนั ถูกเป็นองคป์ ระกอบ หน่ึงของนโยบายเสมอมา 
  จนกระทงัถึงยคุ การรู้แจง้ ในยุโรปนนัแหละ ที่นกั เขียนจานวนหน่ึง – อยา่ งเช่น นกั เขียนชาวดชั ต์ อยา่ ง ฮิวโก้ กรอเทียส, หรือนกั เขียนชาวเยอรมนั อยา่ ง อิมมานูเอล คานต์ – ซ่ึงยกระดบั สนั ติภาพใหม้ ีศกั ด์ิ ฐานะเป็นอุดมคติทางการเมืองอนั พงึ ประสงค์ แต่กระนนั ตลอดช่วงศตวรรษท่ีสิบเกา้ , สาหรับประเทศส่วน ใหญ่ในยโุ รปแลว้ , สงครามยงั คงส่วนหน่ึงของการเมืองที่ดาเนินต่อมาดว้ ยแนวทางต่างๆ – และดาเนิน ต่อเนื่องไปจนถึงช่วงศตวรรษที่ยส่ี ิบ ผคู้ นต่างลงความเห็นกนั มานานแลว้ วา่ สงครามนนั คือความชวัร้าย ที่สุดของมนุษยชาติ,อนัพงึหลีกเล่ียง;แต่ก็จนกระทงัเกิดสงครามโลกข้ึนมาสองครังแลว้นนัแหละที่มุมมอง ดงั กล่าวจึงไดถ้ ูกส่งต่อไปยงั ผนู้ าทางการเมืองของฝังตะวนั ตกและฝังตะวนั ออก ซ่ึงขอ้ น้ีจะเห็นไดจ้ ากความ พยายามในการสร้างองคก์ รสันนิบาตชาติ ซ่ึงภายหลงั กลายมาเป็ นการก่อตงั องคก์ ารสหประชาชาติ, อนั ดารง อยจู่ นถึงปัจจุบนั น้ี; งั มนั ยงั จะเห็นไดจ้ ากสนธิสัญญาจากดั การสงัสมอาวธุ ที่มุ่งหมายไปท่ีการสร้างสมดุล ระหวา่ งประเทศสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวยี ต,และรวมถึงการก่อตงั การรวมตวั เป็นสหภาพยโุ รป
นบั ต
งั แต่ช่วงยคุ ปี 1950 และจากนโยบาย ออสโพลิติก ของเยอรมนั นบั จากช่วงเริมตน้ ในยคุ ปี 1970 
  ในโอกาสน้ี,แนวนโยบายออสโพลิติกของบอนน์ท่ีมุ่งหมายกบัทางมอสโคว,วอร์ซอวแ์ละปราก นนั จึงเป็นตวั อยา่ งที่โดดเด่นขององคป์ ระกอบที่สาคญั ของนโยบายสนั ติภาพใดๆ:รัฐบุรุษผตู้ อ้ งการที่จะ ดาเนินการเพื่อผลประโยชน์ทางสันติภาพ นนั จะตอ้ งเขา้ เจรจากบั รัฐบุรุษของอีกฝังหน่ึง (หรือก็คือ, ผทู้ ่ี อาจจะกลายเป็นศตั รูได!้ ) และจะตอ้ งรับฟังเขาดว้ ย! พดู คุยกนั , รับฟังกนั , และถา้ เป็นไปได,้ ประนีประนอมซ่ึงกนั และกนั อีกหน่ึงตวั อยา่ งนนั คือ กรรมสารสุดทา้ ยของการประชุมเรื่องความมนัคงและ ความร่วมมือกนั ในยโุ รป(ปฏิญญาเฮลซิงกิ)ในปี พ.ศ.2518,ซ่ึงเป็นการประนีประนอมกนั เพ่ือผลประโยชน์ ทางดา้นสันติภาพสหภาพโซเวยีตนนัไดร้ับการลงนามจากรัฐบุรุษของชาติตะวนัตกภายใตค้าปฏิญญาของ การที่จะไม่ละเมิดชายแดนดา้ นตะวนั ออกของยโุ รป, และชาติตะวนั ตกก็ไดร้ ับการลงนามของผนู้ าประเทศ คอมมิวนิสตใ์ นเร่ืองสิทธิมนุษยชน (ซ่ึงในภายหลงั ไดก้ ลายมาเป็นความร่วมมือ บาสเก็ต ทรี ออฟ ดิ แอคค อร์ดอนั โด่งดงั ) การล่มสลายของสหภาพโซเวยี ตในช่วงหน่ึงทศวรรษคร่ึงหลงั จากนนั นนั ไม่ไดเ้ป็นผลมา จากแรงกดดนัทางการทหารจากภายนอก–ขอบคุณพระเจา้!–หากวา่แต่วา่เป็นการระเบิดของแรงกระทา ภายใน ของระบบซ่ึงขยายอานาจของตวั เองมากเกินขอบเขต 
  ตวั อยา่ งเชิงลบท่ีตรงกนั ขา้ มกนั คือสงคราม และการก่อความรุนแรงที่ดาเนินต่อเนื่องเป็นเวลาหลาย ทศวรรษ ระหวา่ งประเทศอิสราเอล และปาเลสไตนแ์ ละชาติอาหรับเพ่ือนบา้ น หากวา่ ไม่มีฝังใดจะยอม เจรจากบั อีกฝังหน่ึง, การประนีประนอมและสันติภาพนนั ยงั คงเป็นความหวงั ลมๆ แลง้ ๆ ต่อไป 
นบั ตงั แต่ปี พ.ศ.2488เป็นตน้ มา,กฎหมายระหวา่ งประเทศ,ในรูปของกฎบตั รสหประชาชาติ,ไดห้ วงหา้ ม การเขา้ แทรกแซงจากภายนอกในกิจการของประเทศ โดยใชก้ าลงั ; เวน้ ก็แต่เมื่อคณะกรรมาธิการความมนัคง ไดต้ ดั สินใจท่ีจะยกเวน้ กฎพ้ืนฐานดงั กล่าวเท่านนั มนั ปรากฏเป็นเรื่องสาคญั เร่งด่วนสาหรับขา้ พเจา้ ในวนั น้ี ที่จะตอ้ งยาเตือนเหล่านนกั การเมืองถึงกฎเกณฑพ์ ้นื ฐานดงั กล่าว ยกตวั อยา่ งเช่น, การเขา้ แทรกแซงทาง การทหารในประเทศอิรัก,ซ่ึงท่ีแยไ่ ปกวา่ นนั คือมนั เป็นการเขา้ แทรกแซงที่อิงจากสาเหตุที่ไม่เป็นความจริง, นนัคือเป็นการละเมิดหลกัการการไม่เขา้แทรกแซงอยา่งชดัเจน,อนัเป็นการละเมิดกฎบตัรสหประชาชาติ อยา่ งชดั แจง้ นกั การเมืองของหลายๆ ประเทศต่างตอ้ งร่วมกนั รับการตาหนิสาหรับการละเมิดดงั กล่าว
อยา่ งเท่าเทียมกนั , นกั การเมืองของหลายๆ ประเทศ (รวมถึงของเยอรมนั ) นนั จะตอ้ งร่วมกนั แบ่งปันความ รับผดิชอบสาหรับการเขา้แทรกแซงอนัขดัแยง้กบักฎหมายสากลในดา้นมนุษยธรรม ยกตวัอยา่งเช่น,เป็น เวลากวา่ ทศวรรษมาแลว้ , ที่ความขดั แยง้ อยา่ งรุนแรงในผลประโยชน์ในคาบสมุทรบลั คาน ไดแ้ อบซ่อนอยู่ เบ้ืองหลงั ขอ้ อา้ งดา้ นความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมจากฝังของชาติตะวนั ตก (อนั รวมถึงการโจมตีดว้ ยการ ทิงระเบิดท่ีเบลเกรดดว้ย) 


IX 

อยา่ งไรก็ตาม, ขา้ พเจา้ อยากท่ีตดั บทจากการออกนอกเรื่องไปพดู เกี่ยวกบั นโยบายต่างประเทศน้ี และกลบั เขา้ มาสู่การบรรยายถึงการยอมประนีประนอมของรัฐสภาพ สื่อมวลชน,ซ่ึงในสังคมอนั เปิดกวา้งของเรานนั , มีส่วนอยา่ งมากในการจดั รูปร่างมติมหาชน, บางครังก็พดู ถึงการประนีประนอมของนกั การเมืองวา่ เป็น “การ ยน่ืหมูยนื่แมว”หรือการรอมชอม,บางครังพวกเขาก็กราดเกร้ียวจากระเบียบวนิยัที่เหมือนจะบกพร่อง ศีลธรรมของพรรคการเมือง ถึงแมว้ า่ , ในอีกทางดา้ นหน่ึง, มนั จะเป็นการดีและมีประโยชน์หากวา่ ส่ือจะทา หนา้ท่ีวจิารณ์ตรวจสอบกระบวนการก่อขอ้คิดเห็น,ในขณะเดียวกนัทฤษฎีเรื่องความจาเป็นของการ ประนีประนอมในทางประชาธิปไตยนนั ก็ยงั คงเป็นความจริง ในท่ีสุดแลว้ ,สมาชิกสภานิติบญั ญตั ิซ่ึงต่าง ตะแบงไม่ยอมถอยใหก้ นั ต่อขอ้ คิดเห็นของตนเองก็รังแต่จะพาประเทศเขา้ สู่กลียคุ คลา้ ยคลึงกนั , รัฐบาลจะ ไม่สามารถปกครองไดห้ ากวา่ สมาชิกพรรคแต่ละคนต่างตะแบงไม่ยอมถอยต่อขอ้ วจิ ารณญาณของตวั เอง รัฐมนตรีทุกคนของทุกรัฐบาลและสมาชิกรัฐสภาทุกคนต่างทราบถึงสิงน้ี นกั การเมืองในระบอบ ประชาธิปไตยทุกคนต่างรู้วา่ พวกเขาตอ้ งยอมประนีประนอม หากปราศจากหลกั การของการ ประนีประนอมแลว้ , มนั ก็จะไม่มีหลกั การของประชาธิปไตยข้ึนมาได้ 
  อยา่ งไรก็ตาม,ในความเป็นจริงแลว้ ,มนั ก็มีการประนีประนอมในทางท่ีเลวอยเู่ช่นกนั –ยกตวั อยา่ ง เช่น การประนีประนอมที่ส่งผลลพั ธ์ต่อกลุ่มบุคคลที่สามหรือส่งผลลพั ธ์ต่อคนรุ่นต่อไป อีกทงั มนั ยงั มีการ ป ร ะ น ี ป ร ะ น อ ม ท ี ่ ไ ม ่ เ พ ยี ง พ อ , ซ ่ ึ ง ไ ม ่ ไ ด ช้ ่ ว ย แ ก ป้ ั ญ ห า ป ั จ จ ุ บ นั ไ ด เ ้ ล ย , ห า ก แ ต ่ ใ ห ค้ ว า ม ร ู ้ ส ึ ก ว า่ พ ว ก เ ข า ส า ม า ร ถ แกป้ ัญหาดงั กล่าวไดแ้ ลว้ เช่นนนั แลว้ , ในแนวทางน้ี ความจาเป็นของขอ้ ดีในการประนีประนอมยอ่ มตอ้ ง เผชิญกบั ความเช้ือเชิญของการฉวยโอกาส การเช้ือเชิญของการประประนอมโดยนกั ฉกฉวยโอกาสท่ีมีกบั มติมหาชน, หรือองคป์ ระกอบของมติมหาชน, นนั เกิดข้ึนซาแลว้ ซาเล่าในทุกๆ วนั ! ดว้ ยเหตุน้ี, นกั การเมือง ผทู้ ี่เตม็ ใจที่จะประนีประนอมจะตอ้ งอิงอยกู่ บั ความคิดส่วนตวั ของตนเอง 
  และมนั มีการประนีประนอมท่ีนกั การเมืองไม่ควรจะยอมตาม, เนื่องจากมนั ตรงกนั ขา้ มกบั ความคิด ของเขา ในกรณีเช่นน้ี, ทางเลือกเดียวที่เหลือใหเ้ ขาเลือกนนั คือความขดั แยง้ กบั ประชาชน; ในบางกรณี หนทางที่เหลืออยนู่ นั คือการลาออกจากตาแหน่งหรือการเสียตาแหน่งเท่านนั การกระทาที่ตรงกนั ขา้ มกบั ความคิดของตวั เองนนั เป็นการบ่อนทาลายขวญั กาลงั ใจและเกียรติยศของบุคคลผนู้ นั – และทาลายความ เชื่อมนัของผอู้ ื่นในความซ่ือสตั ยส์ ่วนบุคคล 
  แต่ก็เช่นกนั ที่มนั มีกรณีของความผดิ พลาดของความคิด การใหเ้หตุผลของคนผหู้ น่ึงอาจจะเป็นสิง ท่ีผดิ พลาดได,้ และรวมถึงความคิดของคนผนู้ นั ดว้ ย ในกรณีเช่นน้ี, การตาหนิความถูกตอ้ งทางศีลธรรมจึง ไ ม ่ ใ ช ่ ส ิ ง ท ่ ี ถ ู ก ต อ้ ง , ถ ึ ง ก ร ะ น นั ก ็ อ า จ จ ะ เ ก ิ ด ค ว า ม เ ส ี ย ห า ย ร ้ า ย แ ร ง ข ้ ึ น ม า ไ ด ้ ห า ก ว า่ , ใ น ก ร ณ ี เ ช ่ น น ้ ี , ใ น ภ า ย ห ล งั นกั การเมืองสามารถตระหนกั ถึงความผดิ พลาดของตนเอง, หากวา่ เขาสามารถเผชิญกบั คาถามที่วา่ เขาควรจะ ยอมรับความผิดพลาดและบอกความจริงหรือไม่ในสถานการณ์เช่นน้ี,ตามปกติแลว้นกัการเมืองกลบัเลือก ท่ีจะปฏิบตัิอยา่งมนุษยธ์รรมดาคนหน่ึง,เช่นเดียวกบัท่ีพวกเราทุกคนในห้องน้ีเลือกท่ีจะทา:มนัเป็นการยาก สาหรับพวกเราที่จะยอมรับความผดิ พลาดของความคิดของตวั เอง และเป็นการยากที่จะยอมรับความจริงของ ตวั เราเองต่อสาธารณะ 


คาถามเร่ืองความจริงน้ีบางครังก็ตรงกนั ขา้ มกนั กบั กิเลสที่แมก็ ซ์ เวเบอร์ ระบุวา่ เป็นหน่ึงในสามคุณสมบตั ิ เด่นท่ีตอ้ งมีของนกั การเมือง คาถามเรื่องความจริงน้ียงั สามารถตรงกนั ขา้ มกบั ความสามารถทางศิลปะการ พดู ท่ีมกั จะไดร้ ับการพจิ ารณาวา่ เป็นหน่ึงในศิลปะที่สาคญั ท่ีสุดนบั ตงั แต่เม่ือสองพนั หา้ ร้อยปีก่อนในยคุ ประชาธิปไตยของกรุงเอเธนส์ – และไดย้ งิทวคี วามสาคญั มากยงิข้ึนในสงั คมโทรทศั น์ของยคุ ปัจจุบนั ผทู้ ่ี ตอ้ งการไดร้ ับการถูกเลือกนนั จะตอ้ งนาเสนอเจตจานองของตน, คาประกาศของตน, ต่อผมู้ ีสิทธ์ิออกเสียง ในการทาเช่นนนั พวกเขาต่างตกอยใู่ นอนั ตรายของการใหค้ าสัญญามากเกินกวา่ ที่พวกเขาจะรักษาเอาไวไ้ ด,้ โดยเฉพาะอยา่ งยงิหากวา่ พวกเขาตอ้ งการที่จะดึงดูดใจของผรู้ ับชมรับฟังทางโทรทศั น์ นกั รณรงค์ 
ประชาสัมพนั ธ์ทุกคนนนั ต่างตกอยภู่ ายใตค้ วามเสี่ยงของสิงล่อใจใหพ้ ดู เกินจริง การแก่งแยง่ กนั เพ่ืออานาจ บารมี, และเหนือสิงอื่นใดแลว้ ซ่ึงแรงดึงดูดใจต่อผรู้ ับชมทางโทรทศั นน์ นั , ยงิทาใหส้ ิงล่อใจดงั กล่าวทวี ความรุนแรงมากยงิข้ึน เมื่อเทียบกบั ยคุ สงั คมการอ่านหนงั สือพิมพข์ องแต่เก่าก่อน 
  ระบอบประชาธิปไตยมวลชนสมยั ใหม่ของเรา, นนั ค่อนขา้ งคลา้ ยคลึงกบั ท่ีวนิ ส์ตนั เชอร์ชิล เคย กล่าวเอาไว,้ นนั โดยแทจ้ ริงแลว้ เป็นรูปแบบการปกครองที่ดีที่สุดสาหรับพวกเรา – เม่ือเปรียบเทียบกบั รูปแบบการปกครองอ่ืนๆ ท่ีเราไดท้ ดลองกนั มาครังแลว้ ครังเล่า – แต่วา่ มนั ก็ยงั ไม่ถือเป็นแนวทางการ ปกครองในอุดมคติไม่ มนั เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ไดท้ ี่จะตอ้ งสิงล่อใจอนั ยงิใหญ่,กบั ความผดิ พลาดและกบั ความบกพร่อง สิงที่ยงั คงความแน่นอนคือขอ้ เท็จจริงในทางบวกท่ีวา่ ราษฎรผมู้ ีสิทธิเลือกตงั สามารถ เปล่ียนแปลงรัฐบาลไดโ้ ดยปราศจากความรุนแรงหรือการเสียเลือดเสียเน้ือ, และขอ้ เท็จจริงที่วา่ , ดว้ ยสาเหตุ ดงั กล่าว, ผทู้ ่ีไดร้ ับการเลือกตงั และเสียงส่วนใหญ่ของรัฐสภาท่ีอยเู่ บ้ืองหลงั นนั จะตอ้ งใหค้ าตอบต่อการ กระทาของตนเองต่อหนา้ ราษฎรผมู้ ีสิทธิเลือกตงั 


XI 

เช่นเดียวกบั ประเด็นเร่ืองกิเลศและสานึกในปฏิภาค, แมก็ ซ์ เวเบอร์ยงั เชื่อดว้ ยวา่ คุณสมบตั ิขอ้ ที่สามสาหรับ นกั การเมืองนนั คือ ความรู้สึกถึงความรับผดิ ชอบ คาถามท่ียงั คงอยนู่ นั ก็คือ: ความรับผดิ ชอบต่อใคร? สาหรับขา้ พเจา้ แลว้ , ราษฎรผมู้ ีสิทธิเลือกตงั นนั หาใชผ้ มู้ ีอานาจขนั สุดทา้ ยท่ีนกั การเมืองจะตอ้ งใหค้ าตอบไม่; โดยปกติแลว้ ผมู้ ีสิทธิออกเสียงนนั เพียงแต่ใหก้ ารดาเนินการตดั สินใจที่กวา้ งอยา่ งมาก, ตามแนวโนม้ ส่วน ใหญ่, และบางครังที่อิงตวั เลือกของพวกเขาจากความรู้สึกและตามอาเภอใจ แต่กระนนั , การตดั สินใจดว้ ย เสียงส่วนใหญ่ของพวกเขาก็จะตอ้งบงัคบัควบคุมความอ่อนนอ้มในโอวาทของนกัการเมือง 
  เช่นเดียวกบั ประเด็นเร่ืองกิเลศและสานึกในปฏิภาค, แมก็ ซ์ เวเบอร์ยงั เชื่อดว้ ยวา่ คุณสมบตั ิขอ้ ที่สามสาหรับ นกั การเมืองนนั คือ ความรู้สึกถึงความรับผดิ ชอบ คาถามท่ียงั คงอยนู่ นั ก็คือ: ความรับผดิ ชอบต่อใคร? สาหรับขา้ พเจา้ แลว้ , ราษฎรผมู้ ีสิทธิเลือกตงั นนั หาใชผ้ มู้ ีอานาจขนั สุดทา้ ยท่ีนกั การเมืองจะตอ้ งใหค้ าตอบไม่; โดยปกติแลว้ ผมู้ ีสิทธิออกเสียงนนั เพียงแต่ใหก้ ารดาเนินการตดั สินใจที่กวา้ งอยา่ งมาก, ตามแนวโนม้ ส่วน ใหญ่, และบางครังที่อิงตวั เลือกของพวกเขาจากความรู้สึกและตามอาเภอใจ แต่กระนนั , การตดั สินใจดว้ ย เสียงส่วนใหญ่ของพวกเขาก็จะตอ้งบงัคบัควบคุมความอ่อนนอ้มในโอวาทของนกัการเมือง 
  ไม่วา่ เราจะเชื่อวา่ จิตสานึกนนั มาจากเหตุผลคนผคู้ นหรือมาจากพระเจา้ – ไม่วา่ จะอยา่ งไร, มนั ก็ แทบไม่ตอ้ งสงสัยเลยในการดารงอยขู่ องจิตสานึกของมนุษย์ ไม่วา่ คนผนู้ นั จะเป็นชาวคริสต,์ ชาวมุสลิม หรือชาวยวิ , เป็นคนไม่นบั ถือพระเจา้ หรือนกั คิดอิสระ, มนุษยใ์ นวยั ผใู้ หญ่นนั ต่างมีจิตสานึกกนั ทงั นนั
ขา้ พเจา้ อยากจะขอเพิม
ดว้ ยวา่ : พวกเราทงั หลายนนั ต่างเคยไดก้ ระทาการอนั ขดั แยง้ กบั จิตสานึกของเรา มากกวา่ หน่ึงครัง: พวกเราทงั หลายนนั จะตอ้ งดารงชีวติ อยู่ “กบั ความรู้สึกผดิ บาป” แน่นอนวา่ , จุดอ่อนของ มนุษยเ์ช่นน้ีก็เป็นสิงที่นกั การเมืองมีเช่นกนั 


XII 

ขา้ พเจา้ พยายามที่จะอธิบายใหท้ ่านไดท้ ราบถึงความรู้ความเขา้ ใจอยา่ งลึกซ้ึงอนั ขา้ พเจา้ ไดส้ งัสมมาจาก ประสบการณ์ตลอดระยะเวลานานสามทศวรรษในฐานะของนกั การเมืองอาชีพ แน่นอนวา่ , มนั เป็ นเพียง ส่วนเส้ียวเดียวจากความเป็นจริงอนั มีมากมายหลายหนา้ ฉากเท่านนั สุดทา้ ยน้ี, ความเขา้ ใจอนั ลึกซ้ึงสอง ประการนนัมีความสาคญัอยา่งยงิสาหรับขา้พเจา้ ประการแรก,นนัก็คือ,สังคมอนัเปิดกวา้งและระบอบ ประชาธิปไตยของเรานนั ต่างกาลงั ทนทุกขจ์ ากความไม่สมบูรณ์แบบและความไม่เพียงพอนานาประการ, และประการท่ีวา่ นกั การเมืองทุกคนนนั ต่างมีจุดอ่อนที่มนุษยท์ ุกคนต่างมาก มนั ยอ่ มจะเป็นความผดิ พลาดที่ เป็นอนัตรายท่ีจะคิดถึงระบอบประชาธิปไตยที่มีอยจู่ริงของพวกเราวา่เป็นเสมือนอุดมคติอนับริสุทธ์ิแต่วา่, ประการท่ีสอง, พวกเราชาวเยอรมนั – เนื่องมาจากประวตั ิศาสตร์ความพินาศยอ่ ยยบั – มีสาเหตุทุกขอ้ ในโลก ท่ีจะยดึ เหนี่ยวระบอบประชาธิปไตยเอาไวอ้ ยา่ งสุดกาลงั , คอยกระตุน้ เติมเช้ือไฟใหม้ นั อยา่ งต่อเนื่อง และ คอยยนื หยดั ต่อประจนั ตก์ บั ศตั รูของมนั อยา่ งไม่ลดละ ก็ต่อเม่ือเราไดเ้ ห็นพอ้ งกนั ถึงขอ้ น้ีเท่านนั ที่เพลงชาติ ของเรา,ในท่อน“เอกภาพและความยตุ ิธรรมและเสรีภาพ”,นนั เป็นสิงที่ถูกตอ้ ง 


คัมภีร์หลนุ อ่ีว์–กวนี ิพนธ์ของขงจื้อ 


รายงานโดย ดอกเตอร์ ตู เหวยหมิง

มหาวทิ ยาลัยฮาร์วาร์ดและมหาวทิ ยาลัยปักกงิ่


คัมภีร์หลุนอี่ว์ นั , ตามความเชื่อของขา้ พเจา้ , เป็นผลการกลนักรองของสิงที่น่าจะเป็นชุดลาดบั การสนทนา ที่อุดมสาระ, หลากหลาย, เกิดข้ึนตามธรรมชาติ, ตามช่วงเวลา, เชิงพลวตั ร, อนั น่าจดจาและชวนใหค้ ิดตาม ระหวา่ งขงจ้ือ (551-479 ก่อนคริสตกาล) กบั ลูกศิษยข์ องท่าน ตลอดช่วงระยะเวลาหลายทศวรรษ มนั อาจจะ ตอ้ งใชเ้ วลากวา่ สองชวัอายคุ นของเหล่าผนู้ บั ถือท่ีใกลช้ ิดท่ีสุดและทรงภูมิที่สุดของขงจ้ือในการรวบรวม “คมัภีร์”ดงักล่าวข้ึนมาดูเหมือนวา่พวกเขาจะไม่ไดมุ้่งหมายใหม้นัเป็นผลิตภณัฑส์าเร็จหากแต่วา่พวกเขา กลบั เลือกที่จะปล่อยทิงใหม้ นั มีสภาพท่ีเปิ ดกวา้ งและพร้อมรับขอ้ สนบั สนุนใหม่ๆ เสมอ, แต่ก็เห็นไดช้ ดั วา่ พวกเขานนั ใหค้ วามระมดั ระวงั และใชค้ วามสุขมุ รอบคอบอยา่ งมากในการเลือกแต่ละหวั ขอ้ สาเหตุสาหรับ กลยทุ ธ์ดงั กล่าวนนั หาใชเ้รื่องยากที่จะจินตนาการแต่อยา่ งใดไม่ เมื่ออนุมานวา่ วตั ถุประสงคข์ องการ รวบรวมนนั คือการเก็บรักษาความจา,รวบรวมบุคลิกลกั ษณะตามกรอบแนวคิดของอาจารยข์ องพวกเขา เอาไว,้ บุคคลผซู้ ่ึงพวกเขาคิดถึง,บูชา,เคารพและรัก มนั มีความเป็นไปไดอ้ ยนู่ านาประการในการปฏิบตั ิ ภาระงานดงั กล่าวใหส้ าเร็จ พวกเขาอาจจะเลือกจดั เรียงกิจกรรมที่สาคญั ที่สุดของอาจารยเ์ขา้ เป็นบนั ทึก เหตุการณ์,ร่วมกนั เขียนในรูปของเกียรติชีวประวตั ิหรือบนั ทึกแนวคิดแก่นสาระสาคญั ของท่านอยา่ งเป็น ระบบ หากแต่วา่ , พวกเขากลบั เลือกรูปแบบท่ีค่อนขา้ งมีความเป็นส่วนตวั สูงมาก, บนั ทึกเอาไวอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง ตามความเป็นจริงถึงสิงท่ีท่านพดู , สิงที่ท่านทา, คิด, และ, ขอ้ ที่โดดเด่นท่ีสุด, สิงที่ท่านตอบสนองต่อคาถาม หน่ึงคาถามใด ซ่ึงมนั ไดผ้ ลอยา่ งน่าประทบั ใจยงิ่ 
  ในฐานะคมั ภีร์คลาสสิกฉบบั หน่ึง,คมั ภีร์หลุนอ่ีวน์ นั เป็นคมั ภีร์ปลายเปิด มนั เปิดกวา้งต่อการ
เพมิ
เติมเน้ือหาใหม่ๆ และรวมถึงคาอธิบายแตกหน่อ, ขอ้ คิดเห็นต่างๆ และการตีความใหม่ๆ ขอ้ ความของ ค มั ภ ี ร ์ น นั , ต า ม ธ ร ร ม ช า ต ิ ข อ ง ม นั , ค ่ อ น ข า้ ง เ ป ิ ด ก ว า้ ง ต ่ อ เ ค ร ื อ ข ่ า ย ผ ส็ น บั ส น ุ น ท ่ ี ข ย า ย ต วั เ ป ิ ด ก ว า้ ง ต ่ อ เ น ่ ื อ ง ไ ป เรื่อยๆ มนั ดูเหมือนจะเป็นพ้ืนที่สาธารณะขนาดมโหฬารท่ีพ้นื ที่กวา้ งขวางมากพอสาหรับการอานวยความ สะดวกขอ้ ความเขา้ ใจอยา่ งลึกซ้ึงต่างๆ ที่มาจากท่านอาจารย์ เน่ืองจากมนั มีขอ้ ความจานวนมากท่ีเริมตน้ ข้ึน ดว้ ยการกล่าววา่ “ท่านอาจารยก์ ล่าววา่ ” อนั กระจดั จ่ายอยตู่ ลอดตามตาราช่วงก่อนยคุ ราชวงศฉ์ ิน (ศตวรรษที่ สามก่อนคริสตกาล) นกั วชิ าการที่สาคญั ต่างจึงค่อนขา้ งระแวดระวงั กบั ความเช่ือถือไดข้ องตาราต่างๆ
ดงั กล่าว นกั วชิ าการที่รอบคอบมากๆ, ภายใตอ้ ิทธิพลของสานกั “การต
งั ขอ้ สงสัยในเร่ืองโบราณ”, ถึงขนั พจิ ารณาวา่ ขอ้ ความในคมั ภีร์หลุนอ่ีวน์ นั น่าสงสยั แนวคิดท่ีวา่ ทุกคาบนั ทึกของอาจารยน์ นั ต่างเป็นสิงที่ตดั ทอดแยกมา และเราไม่อาจจะมนัใจไดว้ า่ ถอ้ ยความเหล่านนั จะสะทอ้ นถึงความคิดท่ีแทจ้ ริงของอาจารยน์ นั เป็นสิงท่ีแพร่หลายไปในหมู่ผรู้ อบรู้วชิ าอารยธรรมจีน เนื่องจากขงจ้ือนนั ไม่มีปากเสียง,อยา่ งนอ้ ยก็ใน วงการวชิ าการ, การคน้ หาคาสอนดงั เดิมของขงจ้ือนนั จึงเป็นความหมกมุ่นของการศึกษาวฒั นธรรมของ ประเทศจีน 

สถานการณ์นนั มีการเปลี่ยนแปลงไปอยา่ งมาก กบั การคน้ พบที่เมืองกเู ตียนในปี พ.ศ. 2535 เป็นครังแรกใน ประวตั ิศาสตร์, ท่ีนกั โบราณคดีและนกั วชิ าการไดค้ น้ พบมว้ นตาราไมไ้ ผ่ จากยคุ ศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล อนับรรจุไวด้ว้ยตน้กาเนิดหลกัของหลกัการยคุแรกของขงจ้ือและ,ท่ีน่าประหลาดใจอยา่งยงิคือบนัทึก
ขอ้ คิดเห็นของท่านอาจารยต์ ่อประเด็นคลาสสิก ความเชื่อถือไดข้ องคมั ภีร์หลุนอี่วน์
นั ไดร้ ับการเพิมพนู ข้ึน อยา่ งมาก ผลงานอ่ืนๆท่ีเคยเชื่อกนั วา่ เป็นของขงจ้ือ,อยา่ งเช่น,ขอ้ ความในหนังสือแห่งพิธีกรรม,นนั ดู เหมือนวา่ จะเป็น“เสียง”ที่ถูกตอ้ งแทจ้ ริงของอาจารยด์ ว้ ยเช่นกนั ภาพของการถ่ายทอดคาสังสอนของขงจ้ือ จากอาจารยผ์ า่นศิษยผ์ ใู้กลช้ ิดของท่านไปสู่ศิษยร์ุ่นหลาน,อนั อนุมานวา่เป็นผนู้ ิพนธ์คัมภีร์ทางสายกลาง,ก็ ยงิปรากฏชดั เจนยงิข้ึนและขอ้ คิดเห็นที่วา่ คัมภีร์หลุนอี่ว์ นั เกิดจากการรวบรวมถอ้ ยคาคาสอนนนั ก็หาได้ เป็นเรื่องลึกลบั อีกต่อไป เรายงั ค่อนขา้ งอยหู่ ่างไกลจากการแน่ใจอยา่ งชดั แจง้ เกี่ยวกบั ภาพลกั ษณ์ของขงจ้ือ อนั เกิดข้ึนจากการรับรู้ของเหล่าสาวกของท่าน, แต่วา่ เราค่อนขา้ งมนัใจวา่ เราไม่ไดก้ าลงั เผชิญกบั ความทรง จาที่ถูกกุข้ึน 
  ฉบบัปัจจุบนัของคัมภีร์หลุนอ่ีว์,ซ่ึงอุดมไปดว้ยขอ้คิดจากนกัวชิาการตลอดช่วงระยะเวลาหลาย ศตวรรษ, นนั เป็นผลแห่งการตกตะกอนขององคค์ วามรู้ทางดา้ นภาษาศาสตร์, ปรัชญา, วรรณกรรมและ ขนบธรรมเนียมวฒั นธรรม, เอ้ือสาหรับการสรรเสริญและการติฉนั ทอ์ ยา่ งมากมาย, ต่อการนาไปใชแ้ ละการ นาไปใชใ้ นทางที่ผดิ , การชมเชยและการไม่เห็นดว้ ย, การทาความเขา้ ใจและการทาความเขา้ ใจอยา่ งผดิ ๆ เพื่อใหแ้ น่ใจได,้ มนั มีหลายแนวทางที่จะศึกษาคมั ภีร์หลุนอ่ีว,์ แต่ถึงอยา่ งไรความเป็นไปไดน้ นั ไร้ขีดจากดั ขอ้ แนะนาที่วา่ มนั มีแนวทางในการตีความท่ีถูกตอ้ งอยมู่ ากมายหลายวธิ ี และรวมถึงขอ้ ท่ีวา่ มีผสู้ นใจใฝ่ ตีความอยจู่ านวนมากนนั ,อยา่ งดีที่สุด,ก็เป็นการกล่าวเกินจริงอนั เป็นไปไม่ไดจ้ ริง ที่จริงแลว้ ,มีเพียง
ขอ้ คิดเห็นที่สาคญั เพยี งไม่กี่รายการเท่าน
นั ท่ีดารงอยรู่ อดช่วงเวลานานหลายศตวรรษของขนบธรรมเนียม การวจิ ารณ์ แมว้ า่ จะมีแนวทางกลยทุ ธ์การตีความอยอู่ ยา่ งหลากหลาย, หลกั สมั พทั ธนิยมนนั ทางานไม่ได้ ผลดีนกั ทงั ในทางทฤษฎีหรือในทางปฏิบตั ิ แต่กระนนั ,ก็ไม่อาจจะปฏิเสธไดว้ า่ ,คมั ภีร์หลุนอ่ีวน์ นั เป็นตารา ท่ีค่อนขา้ งยดื หยนุ่ มากพอต่อการแตกแขนง, หรือแมแ้ ต่การอ่านตีความโดยสมุฏฐานที่แตกต่างกนั เช่นเดียวกนักบัพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่และหลกัการถกเถียงแบบโซคราติก,คัมภีร์หลุนอี่ว์นัเป็นตน้ กาเนิดแรงบนั ดาลใจสาหรับผทู้ ่ีใหค้ ุณค่ากบั ประสบการณ์ของการไดเ้ ห็นและไดย้ นิ การสังสอนของอาจารย์ โดยตรง ดงั ที่นกั วชิ าการหลายๆ คนไดร้ ะบุ, บทที่สิบ นนั นาเสนอคาอธิบายถึงแนวทางอนั ค่อนขา้ งถ่อมตวั และแตกต่างออกไปเลก็ นอ้ ยของขงจ้ือ ในการแต่งกาย, การเดิน, การเขา้ หาผมู้ ีอานาจ, การพบปะกบั คน แปลกหนา้ และการทกั ทายเพ่อื นฝงู หากแต่วา่ , การแสดงออกบนใบหนา้ ของท่าน, ภาษากายของท่าน, และ เหนือสิงอ่ืนใด, การดาเนินการทางพิธีกรรมของท่านนนั กลบั ไดร้ ับการถ่ายทอดอยา่ งชดั แจง้ สภาพบริบท ของกิจวตั รประจาวนั ของท่านเปิดเผยใหเ้ห็นถึงความเหมาะเจาะของท่านในสถานการณ์หน่ึงสถานการณ์ใด ในสายตาของเหล่าลูกศิษยข์ องท่าน, เม่ือท่านระบุถึงหลกั ความงามของมารยาทสมบตั ิผดู้ ี ท่านไดก้ ลายมามี ชีวติ ดว้ ยตวั ตนที่เป็นรูปธรรมแทนที่จะเป็นนามธรรมสากล ต่อให,้ มีความห่างไกลของช่วงเวลามากกวา่ สองพนัหา้ร้อยปีอยตู่รงกลาง,หูที่เหมาะสมก็สามารถไดย้นิเสียงจากภายในของท่านและสัมผสัถึงตวัตนของ ท่านได้ บุคลิกลกั ษณะอนั ทรงพลงั ของขงจ้ือ, และแน่นอนวา่ รวมถึงความเป็นมนุษยข์ องท่านนนั ปรากฏ อยา่ งเด่นชดั ยงิ่ 

โดยมีการเสวนาร่วมขบคิดและการปาฐกถาอนั ควบแน่นเป็นรูปแบบการสนทนาเพื่อเผยแพร่ภมั คีร์หลุนอี่ว์ บนฉากหนา้ , ขงจ้ือ, อนั เป็นครูคนหน่ึง, นนั เพยี งแต่ใหค้ าตอบ นกั เรียนช่ืนชมในตวั ท่านสาหรับการช้ีนา, ความรู้และความเขา้ ใจอยา่ งลึกซ้ึง มนั มีพ้นื ท่ีสาหรับการเจรจาอยนู่ อ้ ยมาก การส่ือสารสองทางนนั ดูเหมือน จะขาดหายไปโดยสินเชิง นอ้ ยครังที่เราจะพบวา่ มีนกั เรียนมาทา้ ทายขอ้ สันนิษฐานของอาจารย์ แมแ้ ต่ใน กรณีของสีหลิว, ซ่ึงแสดงถึงความไม่พอใจอยา่ งชดั เจน ต่อการตดั สินใจของอาจารยใ์ นการเดินทางไปเยยี่ ม ค า ร ว ะ ท ่ า น ผ หู ้ ญ ิ ง ท ่ ี ม ี เ ร ื ่ อ ง ม ี ร า ว ก นั อ ย , ่ ู ก ็ ไ ม ่ ป ร า ก ฏ ค า อ ธ ิ บ า ย ใ ด น อ ก เ ส ี ย จ า ก ว า่ ก า ร ค ดั ค า้ น ว า่ เ ข า ม ิ ไ ด ท้ า ส ิ ง ใ ด ผดิ [6.28] เป็นไปไดว้ า่ นกั เรียนนนั ต่างตื่นตะลึงกบั การปรากฏตวั ของขงจ้ือจนมวั แต่ตงั ใจรับฟังคาช้ีแนะ ของท่านอีกกรณีของหยานฮุยนนัก็ค่อนขา้งตรงกนักบัขอ้น้ี“ท่านอาจารยก์ล่าววา่:ขา้พเจา้สามารถคุย กบั หยาน ฮุยไดท้ งั วนั – เขาไม่เคยคดั คา้ นแมแ้ ต่คร่ึงคา, ดูราวกบั เขาเป็นคนโง่เง่า แต่กระนนั , หากสังเกต เวลาท่ีเขาอยตู่ ามลาพงั แลว้ :การกระทาของเขาสะทอ้ นถึงสิงที่เขาไดเ้รียนรู้ โอไม่เล่น,ฮุยหาไดเ้ป็นคนโง่ งมไม่![2:9] ในผลตอบสนองนนั , หยาน ฮุย, ไดร้ ับการยอมรับกนั โดยทวัไปวา่ เป็นนกั เรียนผไู้ ดร้ ับการ สรรเสริญมากที่สุดคนหน่ึงของขงจ้ือ,ผเู้ตม็ ไปดว้ ยความช่ืนชมในตวั ขงจ้ือผเู้ป็นอาจารย์ 
  หยานฮุยกล่าวพลางถอนหายใจ: “ยงิขา้ พเจา้ พจิ ารณามนั มากเท่าไหร่, มนั ก็ยงิสูงส่งมากข้ึนเท่านนั ; ยงิขา้พเจา้ขดุคุย้ลงไปลึกเท่าไหร่,มนัก็ยงิเหนียวแน่นข้ึนเท่านนั;ขา้พเจา้เห็นมนัในขา้งหนา้,แลว้ทนัใดนนั มนั ก็กลบั มาอยขู่ า้ งหลงั ขา้ พเจา้ ท่านอาจารยข์ องเรารู้เป็นอยา่ งดีถึงวธิ ีจบั จิตใจผคู้ น ท่านกระตุน้ ขา้ พเจา้ ดว้ ยตารับตาราต่างๆ, ท่านผกู มดั ขา้ พเจา้ ดว้ ยพิธีกรรม แมแ้ ต่ยามท่ีขา้ พเจา้ ตอ้ งการที่จะหยดุ , ขา้ พเจา้ ก็ไม่ อาจหยดุได้และในตอนที่ทรัพยากรทงัหลายในตวัขา้พเจา้มลายสินไปแลว้นนัเอง,เป้าหมายก็กลบัมา ตระหง่านอยเู่ บ้ืองหนา้ ขา้ พเจา้ ; ขา้ พเจา้ มุ่งมาดจะโอบรับมนั เอาไว,้ แต่กลบั ไม่อาจพบหนทางในการทา เช่นนนั ได”้ [9:11] 
  จากสองประโยคขา้ งตน้ น้ีแสดงเหตุผลสนบั สนุนถึงแนวการสงัสอนดว้ ยการแสดงตวั อยา่ ง, แทนที่ จะเป็นการสอนดว้ ยคาพดู ,ที่ทาใหน้ กั เรียนสามารถคน้ หาหนทางในการบรรลุซ่ึงตนเองได้ การโตเ้ถียงนนั เป็นสิงที่ไม่สนบั สนุนใหก้ ระทา เพราะ “ถอ้ ยคาอวดฉลาด” นนั เป็นเพยี งสญั ญาณถึงความดีเพยี งต้ืนเขิน เท่านนั [1:3]วาทศิลป์จะมีประโยชน์อนั ใด?ลินที่คล่องแคล่วรังแต่จะสร้างศตั รูคูหมู่มากข้ึนมา” แน่นอนวา่ “การพดูกะล่อน”อยา่งเช่น“การเสแสร้างแกลง้พดูหรือความประจบสอพลอ”,นนัเป็นสิงท่ีพงึหลีกเล่ียง ศิลปะแห่งการฟัง,อนั เป็นสิงสาคญั สาหรับความรู้ของบุคคล,นนั จะตอ้ งไดร้ ับการบ่มเพาะข้ึนเป็นเงื่อนไขท่ี จะตอ้ งมีก่อนเพ่ือบรรลุความสละสลวยในการแสดงออกทางวาขา รูปแบบการสอนของขงจ้ือซ่ึงตรงกนั ขา้ มกบั แนวการถกเถียงของโซเครติส, เนน้ ความสาคญั ที่การทาความเขา้ ใจจากประสบการณ์และการ ตระหนกัสานึกในความเงียบสงบ 

การเรียนรู้ (xue เชว), ซ่ึงปรากฏอยบู่ ่อยครังในคมั ภีร์หลุนอ่ีว,์ เกี่ยวขอ้ งทงั ดา้ นการปฏิบตั ิและการรับรู้ มนั เป็นการแสดงออกทางจิตวิญญาณ คนเรานนั ไม่เพยี งแต่เรียนรู้ดว้ ยหวั ใจและจิตใจ (xin – ชิน) เท่านนั , แต่ ยงัเรียนรู้ดว้ยร่างกาย(shenเชน)ดว้ย การพิจารณาของเซงสีต่อการบ่มเพาะตนเองนนั เป็นตวัอยา่งของขอ้ น้ี: “ขา้ พเจา้ สารวจตนเองวนั ละสามครัง เมื่อกระทาการแทนในนามบุคคลอ่ืนนนั , ขา้ พเจา้ เป็นที่เช่ือถือได้ หรือไม่? ในการติดต่อกบั เพื่อนฝงู นนั , ขา้ พเจา้ กระทาดว้ ยความจริงใจหรือเปล่า? ขา้ พเจา้ ไดป้ ฏิบตั ิตามสิง ท่ีขา้ พเจา้ ไดร้ ับการสงัสอนมาแลว้ หรือยงั ?” [1:4] การเรียนรู้เช่นน้ีกอปรใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย และรวมถึงการรู้แจง้ ทางจิตใจ ดงั ที่การปฏิบตั ิตามแนวทาง “ศิลปะศาสตร์ทงั หก” (พธิ ีกรรม, การดนตรี, วชิ ายงิ ธนู, วชิ าขี่มา้ , วชิ าเขียนหนงั สือดว้ ยพกู่ นั และวชิ าคณิตศาสตร์) นนั บ่งช้ีอยา่ งชดั เจนวา่ ทงั หลกั การทาง กายภาพและหลกั การทางจิตนนั เป็นสิงที่จาเป็น และบ่งช้ีวา่ การเรียนรู้และความคิด (si – สี) นนั ควรที่จะ สนบั สนุนส่งเสริมซ่ึงกนั และกนั [2:15]  
  นยั สาคญั ของรูปแบบการศึกษาประเภทน้ีคือการปรากฏอยขู่ องชุมชนความไวว้ างใจ, ชุมชนของ ความเช่ือมนัฐานภาพของบุคคลผมู้ ีความคิดคลา้ ยคลึงกนั ที่ขงจ้ือก่อตงั ข้ึนมาดว้ ยหลกั การของท่านนนั เป็น สมาคมตามความสมคั รใจที่อุทิศตวั ใหก้ บั การปรับปรุงคุณภาพของมนุษยผ์ า่ นทางการศึกษา นกั
ประวตั ิศาสตร์สมยั ใหม่ตีความคาอธิบายลกั ษณะด
งั เดิมของขงจ้ือวา่ เป็น“ปฐมอาจารย”์ (เซียนสี)ในแง่ของ บทบาททางสงั คมของท่าน,กล่าวคือ,ท่านเป็นนกั วชิ าการคนแรกที่ตงั โรงเรียนเอกชนข้ึนในประเทศจีน ในระหวา่ งที่สถาบนั การเรียนรู้ที่ภาครัฐสนบั สนุนนนั มีปรากฏอยมู่ านานหลายศตวรรษก่อนหนา้ นนั , ขงจ้ือ จึงนบั เป็นผรู้ ิเริมการบริหารโรงเรียนที่จดั หาการเงินดว้ ยตนเอง มนั มีการอา้ งอิงเพยี งครังเดียวเท่านนั ถึง รูปแบบการจ่ายชาระเงินพอประมาณ (ค่าเทอม) อยใู่ นคมั ภีร์หลุนอ่ีว์ [7:7], แต่นกั เรียนที่มารวมตวั กนั รอบ ขงจ้ือ, เหมือนเหล่าสานุศิษยข์ องพระเยซู, นนั ไม่ใช่เด็ก หากแต่เป็นผใู้ หญ่ผซู้ ่ึงเป็นผคู้ น้ หาความจริง, เขา้ ร่วม ในการคน้ หาความหมายของชีวติ อยา่ งตงั อกตงั ใจ พวกเขาถูกดึงดูดเขา้ มาหาท่านดว้ ยวสิ ัยทศั น์อนั ยงิใหญ่ และสานึกถึงภารกิจอนั ใหญ่ยงิของท่าน บารมีของท่านและแต่กระนนั บุคลิกภาพอนั ไม่อวดตวั ของท่านนนั ไดก้ ลายเป็ นแรงบนั ดาลใจใหก้ บั พวกเขา: “ท่ีจะสังสมความรู้ไวภ้ ายใตค้ วามเงียบสงบ, เพอื่ ท่ีจะยงั คงหิว กระหายต่อการเรียนรู้อยตู่ ลอดเวลา, เพ่ือท่ีจะสงัสอนผอู้ ่ืนโดยไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อย – ทงั หลายทงั มวลน้ีบงั เกิด แก่ขา้ พเจา้ โดยธรรมชาติ” [7:2] 

ขงจ้ือนนั อาจจะไม่ไดม้ ีหลกั สูตรอย,ู่ แต่คมั ภีร์หลุนอี่วน์ นั ก็นาเสนอหลกั ฐานท่ีเพียงพอต่อการสนบั สนุน
ขอ้ อา้ งที่วา่ วตั ถุประสงคท์ างการศึกษาของท่านน
นั ไม่ไดด้ อ้ ยไปกวา่ การเรียนรู้ที่จะเป็นมนุษย์ มนั ไม่น่า ประหลาดใจที่, ภายใตอ้ ิทธิพลของ “ปฐมอาจารย”์ ผนู้ ้ี, จุดมุ่งหมายหลกั ของการศึกษานนั คือการสร้าง
ลกั ษณะนิสยั ข้ึนในเอเชียตะวนั ออก ขอ้ น้ีหมายความวา่ อยา่ งไร? นกั คิดในลทั ธิขงจ้ือสมยั ใหม่ตีความขอ้ น้ี วา่ หมายถึง “การเรียนรู้เพ่ือประโยชนข์ องตนเอง”, “การเรียนรู้ของร่างกายและการเรียนรู้ของหวั ใจและ จิตใจ”, “การเรียนรู้ซ่ึงธรรมชาติของหวั ใจและจิตใจและธรรมชาติของร่างกาย”, “การเรียนรู้ธรรมชาติของ มนุษยแ์ละชะตากรรม”,“การเรียนรู้ของนกัปราชญ,์และ“การเรียนรู้ของสุภาพบุรุษ”(
จุนสี,“ชนชนัสูง”,“ผู้ อยเู่หนือผอู้่ืน”,หรือ“บุคคลผลู้ึกซ้ึง”)ขงจ้ือนนัไดอ้า้งอิงถึงแนวคิดเรื่องสุภาพบุรุษเอาไวไ้ม่มากนกั ใน ชนั แรก, การเรียนรู้การเป็นสุภาพบุรุษนนั ดูเหมือนจะไม่ใช่เร่ืองยากลาบากแต่อยา่ งใด: สุภาพบุรุษนนั รับประทานโดยไม่ยดัทะนาน;เลือกที่อยอู่าศยัโดยไม่เสาะหาความสะดวกสบาย;ชาญฉลาดในสานกัที่ ทางานและสุขมุ รอบคอบในถอ้ ยเจรจา; เสาะหาผมู้ ีความสามารถเป็นมิตรสหายเพื่อที่จะเสริมสร้างความ
เขม้ แขง็ ของตวั เอง สาหรับบุรุษเช่นนนั แลว้ , เราอาจจะกล่าวไดว้ า่ เขาคือผรู้ ักการเรียน” [1:14] 
  โดยการวาดภาพสุภาพบุรุษในแนวทางดงั กล่าว ท่านดาเนินชีวติ ในฐานะของบุคคลผมู้ ีความ
รับผดิ ชอบ,ขงจ้ือกาหนดอยา่ งชดั เจนวา่ คุณลกั ษณะสาคญั ของการเป็นสุภาพบุรุษนนั คือสถานะภาพของ การเป็นคนผหู้น่ึงและรวมถึงแนวทางการในแสดงออก “สุภาพบุรุษนนั ควรกล่าววาจาแต่นอ้ยและกระทา ใหม้าก”[4:24]และ“เขาสอนสังเฉพาะสิงที่ไดฝ้ึกปรือมาเท่านนั”[2:13]เขาเสาะหาคุณความดีและความ ยตุ ิธรรม[4:11] และในการดาเนินการใดๆ ในโลกหลา้ เขาจะเลือกฝังของความถูกตอ้ งเสมอ [4:10] 
  อยา่ งไรก็ตาม, ขงจ้ือยงั ไดต้ กั เตือนเอาไวว้ า่ “สุภาพบุรุษผขู้ าดความหนกั แน่น นนั จะไร้ซ่ึงอานาจ และการเรียนรู้ของเขาจะเป็นไปอยา่ งต้ืนเขิน สุภาพบุรุษจะตอ้ งใหค้ วามสาคญั อยา่ งที่สุดกบั ความภกั ดีและ ความซื่อสัตย;์ เขาจะไม่ถือสนิทกบั ความบกพร่องทางศีลธรรมของตนเอง เม่ือเขากระทาความผดิ , เขาไม่ หวนัเกรงที่จะแกไ้ขสิงท่ีกระทา”การเรียนรู้เพ่ือประโยชนข์องตนเอง[14:24]นัก็มีความเกี่ยวขอ้งในที่น้ี ดว้ ยเช่นกนั สุภาพบุรุษจะแผข่ ยายการเรียนรู้ของตนเองกบั ตารับตาราต่างๆ และจะกากบั ตวั เองดว้ ย พิธีกรรม [12:15] เขาผอ่ นคลายโดยปราศจากความหยงิยโส[13:26] เขาสามารถดึงเอาคุณงามความดีในตวั ผคู้ นออกมาได[12;16] มนั เป็ นการง่ายท่ีจะทางานรับใชเ้ ขา, แต่มนั เป็ นการยากที่จะทาใหเ้ ขาพอใจ, เนื่อง
เ พ ร า ะ , ถ ึ ง แ ม ว้ า่ เ ข า จ ะ ไ ม ่ เ ค ย เ ร ี ย ก ร ้ อ ง ส ิ ง ใ ด ท ่ ี อ ย เ ่ ู ก ิ น ข ี ด ค ว า ม ส า ม า ร ถ ข อ ง พ ว ก เ ร า , เ ข า จ ะ ไ ม ่ พ ึ ง พ อ ใ จ ห า ก ว า่ เราไม่ปฏิบตั ิตามแนวทาง[13:25] เม่ือสีหลิวถาม:“ชายผหู้ น่ึงควรมีลกั ษณะเช่นไรถึงจะนบั เป็นสุภาพบุรุษ คนหน่ึงได?้ ” ท่านอาจารยต์ อบวา่ “ผซู้ ่ึง, ในทางหน่ึง, ซ่ือสัตยม์ นัคง, และอีกทางหน่ึง,เสียสละให้ นนั สมควรท่ีจะถูกเรียกวา่ สุภาพบุรุษ – ซ่ือสัตยม์ นัคงในหมู่เพื่อนและเสียสละใหต้ ่อพ่ีนอ้ ง” [13:28] 

เอด็ เวริ ์ดชิลส์ระบุวา่ ขงจ้ือนนั อาจจะเป็นตน้ กาเนิดของคตินิยมสมยั ใหม่ของ “ความสุภาพ” สุภาพบุรุษ ตามหลกั ขงจ้ือนนั คือบุคคลผศู้ ิวไิ ลซ์และสุภาพ ถึงแมว้ า่ ตวั ขงจ้ือ, นกั ธนูมือฉมงั และผเู้ ชี่ยวชาญดา้ นการ บ งั ค บั ม า้ , จ ะ ช ื ่ น ช อ บ ก า ร ล ่ า ส ั ต ว แ์ ล ะ ก า ร ต ก ป ล า , ท ่ า น ก ็ จ ง ใ จ เ ล ื อ ก ท ี ่ จ ะ บ ่ ม เ พ า ะ ว จิ ิ ต ร ศ ิ ล ป ์ ใ ห เ ้ ป ็ น ก า ร แสดงออกซ่ึงบุคลิกภาพในอุดมคติท่ีท่านใหค้ วามช่ืนชม ในฐานะนกั กีฬา, ท่านชื่นชอบการยงิ ธนู: “สุภาพบุรุษหลีกเล่ียงการแข่งขนั แต่กระนนั , หากวา่ จะตอ้ งแข่งขนั กนั แลว้ ก็มาแข่งกนั ดว้ ยการยงิ ธนูเถอะ เช่นนนั แลว้ , เม่ือเขาโคง้ คานบั และแลกเปลี่ยนอธั ยาศยั ไมตรีทงั ก่อนหนา้ การแข่งขนั และระหวา่ งการ
สงั สรรคห์ ลงั จากนนั , เขาก็ยงั คงความเป็นสุภาพบุรุษเอาไวไ้ ด,้ แมแ้ ต่ในระหวา่ งการแข่งขนั [3:7] ในฐานะ ท่ีเป็ นนกั เดินทางผไู้ ม่รู้จกั เหน็ดเหน่ือย, ขงจ้ือแสดงให้เห็นถึงความกลา้ หาญอยา่ งมากจากการผจญภยั อนั ยากลาบากและเส่ียงอนั ตรายของท่าน,แต่ภายใตส้ ถานการณ์ปกตินนั ,ท่านจะคงความ“อบอุ่น,ใจดี,น่า เคารพ,สุขมุ รอบคอบและแตกต่างอยเู่สมอ”[1:10] 
  ขงจ้ือดารงชีวติ อยใู่ นช่วงของความไม่สงบทางการเมืองและความแตกแยกทางสังคม
ข น บ ธ ร ร ม เ น ี ย ม พ ิ ธ ี ก ร ร ม อ นั ป ร ะ ณ ี ต ( ร ะ บ บ ข นุ น า ง ) , ซ ่ ึ ง ไ ด ร้ ั บ ก า ร ป ร ั บ ป ร ุ ง ข ้ ึ น ม า โ ด ย โ จ ว ก ง , ห น ่ ึ ง ใ น รัฐบุรุษผทู้ รงอิทธิพลที่สุด, กลบั กลายเป็นสิ
งผดิ ปกติ การก่อสงคราลา้ งผลาญปะทุข้ึนระหวา่ งรัฐคู่ปรับ ฤษีหลายๆ คนเช้ือเชิญใหข้ งจ้ือถอนตวั จากโลกเพอื่ เพลิดเพลินกบั ชีวติ อนั เงียบสงบสันติสุขร่วมกบั ธรรมชาติ ท่านอาจารย,์ แมว้ า่ จะมีความเคารพในแนวรสนิยมการดารงชีวติ เช่นนนั , ตดั สินใจที่จะดาเนินตามแนวทาง ปฏิบตัิตวัของตนเอง:“ขา้พเจา้ไม่อาจคบหาสมาคมกบัเหล่านกและส่าสตัวไ์ด้ขา้พเจา้มิใช่สมาชิกคนหน่ึง ของเผา่ พนั ธุ์มนุษยห์ รืออยา่ งไร? เช่นนนั แลว้ จะมีใครให้ขา้ พเจา้ ไดค้ บหาสมาคมดว้ ย? หากวา่ โลกจะ ดาเนินตามแนวทางแลว้ ,ขา้ พเจา้ ก็ไม่จาเป็นตอ้ งไปเปล่ียนแปลงมนั ”[18:6] มนั ไม่น่าประหลาดใจที่ในหมู่ ศาสนาต่างๆ ในประวตั ิศาสตร์ (ศาสนายดู าห์, ศาสนาพุทธ, ศาสนาเชน, ศาสนาเต๋า, ศาสนาคริสตแ์ ละ
ศ า ส น า อ ิ ส ล า ม ) , ล ทั ธ ิ ข ง จ ้ ื อ น
นั ม ี เ อ ก ล กั ษ ณ ์ ใ น ก า ร ท ่ ี จ ะ แ บ ่ ง แ ย ก ร ะ ห ว า่ ง เ ร ่ ื อ ง ท า ง โ ล ก แ ล ะ เ ร ื ่ อ ง ท า ง ศ า ส น า 

หากจะกล่าวตามขอ้ เท็จจริงแลว้ ,หนงั สือตน้ เช้ือของเฮอร์เบิร์ตฟิงกาเร็ตในการจดั คุณลกั ษณะของขงจ้ือ โดยการพจิ ารณาในแง่ทางโลกวา่ เป็นทางศาสนานนั เป็นขอ้ ที่ผดิ พลาด ขงจ้ือนนั หาไดส้ นบั สนุนแหล่งคุม้ ภยั ทางจิตวิญญาณ (โบสถ,์ วดั , สุเหร่ายวิ หรืออาศรม) วา่ เป็นสถานท่ีอนั ศกั ด์ิสิทธ์ิสาหรับการเขา้ ฌาน, ทา สมาธิ, สวดภาวนาหรือเคารพสกั การะ เช่นเดียวกบั ที่ท่านไม่ไดห้ ลบั ตาเห็นดินแดนศกั ด์ิสิทธ์ิหรือผนื
แผน่ ดินโพน้ ทะเลอื่นใดวา่ เป็นดินแดนสุดทา้ ยท่ีแทจ้ ริงและแตกต่างอยา่ งยงิจากโลกของเราในตอนน้ีและใบ น้ี โดยการอุทิศตวั เพอ่ื เปล่ียนแปลงสภาพของมนุษยจ์ ากภายใน, ท่านจึงเขา้ ไปพวั พนั กบั กิจการเมืองของยคุ สมยั นนั อยา่ งไม่อาจหลีกเล่ียงได้ อยา่ งไรก็ตาม,มนั เป็นการชวนใหเ้ขา้ ใจอยา่ งผดิ ๆที่นาเสนอวา่ อาชีพที่ แทจ้ ริงของขงจ้ือคือการเล่นการเมืองแทนท่ีจะเป็นการสังสอน 
  ในสายตาของลูกศิษยข์ องท่านแลว้ , ท่านอาจารยน์ นั บางครังก็หมกมุ่นในเรื่องราวของการปกครอง และหวาดกลวั เกี่ยวกบั การขาดแคลนการเขา้ ถึงอานาจทางการเมืองท่ีเพยี งพอ แน่นอนวา่ ท่านมีความเชื่อมนัในความสามารถของท่านที่จะนามาซ่ึงระเบียบแบบแผน่ เชิงพธิ ีกรรมอยา่ งใหม่ได,้ หากวา่ ท่านไดก้ ลายเป็นผู้ มีอานาจบงั คบั ในการที่จะทาเช่นนนั แต่กระนนั , ท่านก็มีสานึกที่ชดั เจนวา่ สุภาพบุรุษ, ในฐานะท่ีเป็น นกัวชิาการ-เจา้หนา้ท่ีรัฐ,ควรจะตอ้งปฏิบตัิอยา่งไรและท่านก็รู้สึกดูถูกเหล่านกัการเมืองร่วมยคุสมยั เดียวกนั กบั ท่านอยา่ งมา
  ซ่ีกองถามวา่ :“คนผหู้ น่ึงสมควรเป็นเช่นไรถึงจะเรียกไดว้ า่ เป็นสุภาพบุรุษ?” ท่านอาจารยก์ ล่าววา่ : “เขาคือผซู้ ่ึงประพฤติปฏิบตั ิดว้ ยเกียรติยศ, และ, หากถูกส่งไปปฏิบตั ิภารกิจยงั ส่ีมุมโลก, จะไม่นาพาความ เสื่อมเสียมาสู่เจา้ นายของตน, นนัแหละจึงสมควรถูกเรียกวา่ สุภาพบุรุษ” “แลว้ นอกจากนนั ล่ะ, หากขา้ จะขอ ถาม?” “ญาติมิตรของเขาต่างสรรเสริญความกตญั ญูของเขา และผคู้ นในหมู่บา้ นของเขาต่างสรรเสริญวถิ ีที่ เขาปฏิบตั ิกบั ผแู้ ก่ผเู้ ฒ่า” “แลว้ นอกจากนนั ล่ะ, หากขา้ จะขอถาม?” “คาพดู ของเขานนั เชื่อถือได:้ ไม่วา่ เขา จะทาอะไร, เขาจะกระทามนั จะเสร็จสมบูรณ์ ในขอ้ น้ี, เขาอาจจะแสดงความด้ือดา้ นของไพร่สามญั ; แต่ กระนนั ,เขาก็ยงั สมควรไดร้ ับการจดั เป็นสุภาพบุรุษในชนั ท่ีต่ากวา่ อยดู่ ี” “ถา้ เช่นน้ี,ท่านจะจดั อนั ดบั
นกั การเมืองของเราอยา่ งไร?” “พโิ ธ่
! เศษสัตวเ์ ดรัชฉานเหล่าน้ีไม่คู่ควรต่อการเอ่ยถึง![13:20] 

หากวา่ เราจะยนื ยนั วา่ อาชีพที่แทจ้ ริงของขงจ้ือนนั คือนนั ไม่ใช่การสงัสอนหากแต่เป็นนกั การเมือง, เราก็ตอ้ ง ยอมรับวา่ เนื่องจากท่านอนุมานวา่ การเมืองถือเป็นส่วนต่อยอดจากหลกั จริยธรรม,สาหรับท่านแลว้ ,การบ่ม เพาะศีลธรรมในตวั บุคคลนนั ถือเป็นเงื่อนไขที่ตอ้ งมีก่อนการเขา้ มีส่วนร่วมในทางการเมือง คาวา่ การเมือง, ใ น แ ง ่ น ้ ี , ไ ม ่ ไ ด ห้ ม า ย ถ ึ ง ข ี ด ค ว า ม ส า ม า ร ถ ท ี ่ จ ะ ช กั เ ช ิ ด โ ย ง อ า น า จ , อ า น า จ บ งั ค บั บ ญั ช า ห ร ื อ อ ิ ท ธ ิ พ ล แ ล ะ ก ็ ไม่ไดห้ มายถึงการใชก้ ลยทุ ธห์ รือยทุ ธศาสตร์เพอื่ ใหไ้ ดม้ าซ่ึงอานาจ หากแต่วา่ , มนั คือการปกครองอนั
ยตุ ิธรรมและมีประสิทธิภาพ ท่ีบรรลุผา่ นศิลปะของผนู้ าทางศีลธรรม: “กฎแห่งคุณธรรมนนั ก็เปรียบไดก้ บั ดาวเหนือดาวใต้ซ่ึงควบคุมความจงรักภกั ดีของฝงู ดาวโดยไม่จาเป็นตอ้ งเคลื่อนจากตาแหน่งของตนเอง” [2:1] 
  โดยเทียบแนวคิดดงั กล่าวกบั การปกครอง, แนวทางท่ีถูกตอ้ งของการปกครองนนั หาไดต้ อ้ งการทงั พลงั หรือการบงั คบั ข่เูข็ญ:“อานาจทางศีลธรรมของสุภาพบุรุษนนั เป็นดงัสายลม;อานาจทางศีลธรรมของคน ธรรมดานนัเป็นดงัตน้หญา้ภายใตส้ายลม,ตน้หญา้ไดแ้ต่ศิโรราบ”[5:8]ภาพลกัษณ์ของการไกวตวัตาม ธรรมชาติของตน้ หญา้ ภายใตส้ ายลมอนั อ่อนโยนนนั ไม่ใช่การแสดงออกซ่ึงอานาจ,แต่เป็นพธิ ีกรรมฟ้อนรา ท่ีปรับใหเ้ ขา้ ตามจงั หวะเดียวกนั เท่านนั ในบริบทดงั กล่าว, ถึงแมว้ า่ ราชการงานปกครองนนั จะเป็นหนทาง ที่มีประสิทธิภาพมากท่ีสุดในการบ่มเพาะภาวะผนู้ าทางศีลธรรม,มนั ก็หาไดเ้ป็นสมรภูมิที่สาคญั เพียงแห่ง เดียวไม่ 

  คุณลกั ษณะอนั โดดเด่นของการปกครองตามลทั ธิขงจ้ือนนั คือการมุ่งเนน้ ศูนยก์ ลางไปที่ความสาคญั ทางการเมืองของหลกัจริยธรรมของครอบครัว:“คนผหู้ น่ึงกล่าวกบั ขงจ้ือวา่:ท่านอาจารย,์เหตุใดท่านจึงไม่ ร่วมกบั รัฐบาล? ท่านอาจารยก์ ล่าววา่ : ใน เอกสาร ไดม้ ีการกล่าวเอาไวว้ า่ : ขอเพียงมีความกตญั ญูต่อบิดร มารดาและเมตตาปราณีต่อญาติพ่ีนอ้ งและก็เท่ากบั วา่ เจา้ ไดร้ ่วมสนบั สนุนองคก์ ารเมืองแลว้ และนี่ถือเป็น รูปแบบหน่ึงของการกระทาทางการเมือง; ขา้ ไม่จาเป็นตอ้ งเขา้ ร่วมกบั รัฐบาลหรอก” [2:21] 
  ยงิไปกวา่ นนั , ทฤษฎีและทางปฏิบตั ิของขงจ้ือเก่ียวกบั การบริหารปกครองมนุษยน์ นั ยงั มีความ แตกต่างอยา่งมากแนวทางการเล่นการเมืองของเหล่า“เศษสัตวเ์ดรัจฉาน”เหล่านนั มาก ท่านก็เพียงแต่ไม่ อยากจะลดตวั เองไปเล่นเกมการเมือง วตั ถุประสงคข์ องท่านในการดาเนินกิจกรรมทางการเมืองนนั ก็
เพ่อื ใหม้ นั
ใจวา่ แนวทางจะมีชยั แนววธิ ีท่ีท่านชอบใชน้ นั คือการระบุประเดน็ พ้นื ฐานขององคก์ ารเมืองให้ เป็นเง่ือนไขท่ีตอ้ งมีมาก่อนสาหรับการบริหารและการจดั การ ท่านเช่ือวา่ หากประเด็นพ้ืนฐานเหล่าน้ีไดร้ ับ การผลกั ดนั ใหต้ กลงในฉากหลงั เสียแลว้ , มนั ก็จะไม่ใช่เกมการเมืองอีกต่อไป เช่นนนั แลว้ การเมืองจะ กลายเป็ นอะไร? โดยอาศยั คาพอ้ ง, ท่านไดน้ ิยามคาวา่ การเมือง (เซ็ง) วา่ เป็ น “การแกไ้ ข” (เซ็ง), อนั หมายความวา่ การเมืองนนั โดยหลกั แลว้ เกี่ยวเนื่องกบั ภาวะผนู้ า หากวา่ ผนู้ าไม่ปรับแกไ้ ขตวั เองในฐานะ ของขา้ ราชการแลว้ , คุณภาพของรัฐบาลก็จะเส่ือมโทรมลงไป และศกั ยภาพการดาเนินงานบริหารนนั ยอ่ มจะ เป็นมลทิน,ต่อใหเ้รามีสถาบนั ท่ีเพียงพอก็ตาม 
  ทฤษฎีอนั เรืองนามของท่านเรื่อง“การแกไ้ ขช่ือเสียง”นนั เป็นเร่ืองท่ีเหมือนจะง่าย:เจา้ จิงแห่งรัฐฉี ไดเ้คยสอบถามขงจ้ือเกี่ยวกบัการปกครอง,ขงจ้ือตอบวา่:“ใหข้นุนางเป็นขนุนาง;ใหไ้พร่ฟ้าเป็นไพร่ฟ้า;ให้ บิดาเป็นบิดา;ใหบุ้ตรเป็นบุตร”เจา้นครรัฐกล่าว“ตอบไดป้ระเสริฐ!หากวา่ขนุนางมิใช่ขนุนาง;หากวา่ ไพร่ฟ้ามิใช่ไพร่ฟ้า;หากวา่ บิดามิใช่บิดา;หากวา่ บุตรมิใช่บุตรแลว้ ไซร้,ขา้ ก็คงไม่รู้วา่ อะไรเป็นอะไรอีกต่อ แลว้ – อยา่ วา่ แต่เรื่องอาหารกินเลย” [12:11] นยั สาคญั ในขอ้ ความดงั กล่าวนนั คือความเช่ือที่วา่ แมว้ า่ อาหาร ท่ีเพยี งพอ,สรรพาวธุ ที่เพียงพอ,และความเชื่อมนัของประชาชนนนั จะเป็นสิงสาคญั อยา่ งยงิสาหรับความ สงบสุขและเจริญรุ่งเรืองของรัฐ,ความเชื่อมนัของประชาชนนนั เป็นขอ้ ท่ีสาคญั ที่สุด เพอื่ ไม่ใหเ้ราคิดวา่ หลกั การเทศนาเร่ืองการเมืองของขงจ้ือนนั เป็นแนวคิดที่ในอุดมคติอนั ไม่อาจป้ องกนั ได,้ แนวทางตามความ เป็นจริงอยา่ งหน่ึงไดช้ กั นาแนวทางของท่านเขา้ สู่โครงสร้างอานาจในยคุ สมยั ของท่าน 
  กล่าวโดยยอ่ ย, ท่านหาไดม้ ีภาพลวงตาใดๆ ทงั สินเก่ียวกบั แนวคิด การเมืองที่ปรากฏ ท่านได้ ประเมินสถานการณ์โดยรวมอยา่ งต่อเน่ืองทุ่มเทความพยายามดว้ ยความวริ ิยะอุตสาหะที่จะฉวยเอาโอกาสใน การไดร้ ับการแต่งตงั ทางการเมือง ท่านไดเ้ตรียมตวั เป็นอยา่ งดีในการรับมือกบั ความสลบั ซบั ซอ้ นของ สภาพแวดลอ้ มทางการเมือง และท่านหวงั เอาไวว้ า่ , ดว้ ยความช่วยเหลือของเหล่าลูกศิษยผ์ ทู้ รงความสามารถ ของท่าน, ท่านจะสามารถมีบทบาทในการปรับปรุงสภาพชีวติ ของประชาชนได้ มนั หาใช่เรื่องบงั เอิญไม่ท่ี ในหม่นู กั เรียนของท่าน, มนั มีทงั ผเู้ชี่ยวชาญในการบริหารประเทศ: ผเู้ชี่ยวชาญพิธีกรรม, การดนตรี, การเงิน, การทตู และการทหาร อยา่ งไรก็ตาม, ท่านจะไม่มีวนั ยอมเสียสละหลกั การของท่านเพ่ือแลกกบั ความสะดวก และท่านจะยดึ มนัอยตู่ ลอดวา่ การอุทิศตวั เพื่อความอยดู่ ีกินดีของประชาชนนนั คือเหตุผลอนั ชอบธรรมหลกั สาหรับการบริหารปกครองมนุษย์ (เหรินเซ่ง) 
  มนั ดูเหมือนวา่ ขงจ้ือนนั เป็นนกั การเมืองผลู้ ม้ เหลว;ถึงแมว้ า่ ในตอนแรกท่านจะไดร้ ับการตอ้ นรับ อยา่ งมีมารยาทและเคารพต่อหนา้ เหล่าเจา้ นครผทู้ รงอานาจ, ท่านกลบั ไม่อาจเขา้ ถึงตาแน่งที่มนัคงพอต่อการ ใชอ้ ิทธิพลของท่านก่อนที่จะถูกบีบบงั คบั ใหต้ อ้ งปลีกตวั ออกมาในท่ีสุด ความพยายามที่ไม่เป็นผลสาเร็จ ของท่านท่ีจะหนั เหผคู้ รองนครไปจากกลุ่มคนซ่ึงความสนใจหลกั นนั อยทู่ ่ีผลประโยชน์และอานาจนนั ดู เหมือนจะบ่งช้ีวา่ ท่านจะไม่ค่อยเชี่ยวชาญในดา้ นเล่ห์เหลี่ยมทางการเมืองมากนกั ท่านอาจจะเป็นวรี บุรุษผู้ น ่ า เ ศ ร ้ า ใ น ส า ย ต า ข อ ง น กั ป ร ะ ว ตั ิ ศ า ส ต ร ์ ผ เ ู ้ ห ็ น อ ก เ ห ็ น ใ จ ผ เ ู ้ ช ่ ื อ ว า่ , ด งั ท ี ่ ท ่ า น เ ช ื ่ อ , ว า่ ท ่ า น ส า ม า ร ถ ฟ ้ ื น ฟ รู ะ เ บ ี ย บ แ บ บ แ ผ น ท า ง ก า ร เ ม ื อ ง ข อ ง ร า ช ว ง ศ โ์ จ ว ก ล บั ค ื น ม า ไ ด , ้ แ ล ะ ท ่ า น ไ ด ร้ ั บ โ อ ก า ส ท ี ่ จ ะ ไ ด แ้ ส ด ง ใ ห เ ้ ห ็ น ศ ิ ล ป ะ ก า ร ปกครองประเทศ [17:5] แต่กระนนั , การท่ีจะจดั คุณลกั ษณะความเขา้ ใจในตนเองของท่านจากแง่มุมทาง การเมืองของยคุ ปัจจุบนั นนั ถือเป็นชวนใหเ้ขา้ ใจผดิ ในขอ้ หน่ึง,การรับรู้ของท่านต่อ“การเมือง”วา่ เป็น “การแกไ้ ข” ซ่ึงเกี่ยวขอ้ งกบั ความรู้, วฒั นธรรม, ศีลธรรมและรสนิยม มนั ก็คือรูปแบบหน่ึงของชุมชนที่ ประกอบเขา้ ไวด้ ว้ ยนยั สาคญั ทางญาณวทิ ยา, ศีลธรรมและสุนทรียศาสตร์ 
  เราไดอ้ า้ งถึงขอ้ สังเกตของขงจ้ือที่วา่ การปฏิบตั ิตามพนั ธะความรับผดิ ชอบต่อครอบครัวของบุคคล หน่ึงบุคคลใดนนั ถือเป็นการเขา้ มีส่วนร่วมในทางการเมืองแลว้ ในมุมมองของท่าน, กระบวนการทาง การเมืองเริมตน้ ข้ึนที่บา้ น มนั เป็นสิงอนั ไม่อาจแบ่งแยกไดจ้ ากวถิ ีชีวติ ของคนเรา นยั สาคญั ในแนวทาง ปฏิบตั ิรูปแบบน้ีของขงจ้ือนนั คือ การสร้างสรรคช์ ุมชนแห่งการสนทนาผา่ นการทาความเขา้ ใจในตนเองและ การเรียนรู้ซ่ึงกนั และกนั ลูกศิษยข์ องขงจ้ือนนั คือผใู้ หญ่, ซ่ึง, ตระหนกั ถึงขีดความสามารถของตนในการ เขา้ ปฏิบตั ิกิจการต่างๆตามปกติของโลกเป็นอยา่ งดี,ผตู้ ดั สินใจท่ีจะร่วมในแนววถิ ีร่วมกนั เพื่อปรับปรุง คุณภาพชีวติ มนุษย์ ความเป็นนาหน่ึงนนั หาไดเ้กิดจากการบงั คบั บญั ชาโดยท่านอาจารยต์ ามตวั แบบการ อ บ ร ม ส งั ส อ น ท ่ ี ม ี ม า ก ่ อ น ห น า้ น ้ ี แ ล ะ ม นั ก ็ ไ ม ่ ไ ด เ ้ ก ิ ด ข ้ ึ น จ า ก ถ ่ า ย ท อ ด , อ ย า่ ง ใ น ล ทั ธ ิ เ ห ม า , ด ว้ ย ค ว า ม ต งั ใ จ อยา่ งมุ่งมนัท่ีจะดาเนินตามภาระหนา้ ท่ีทางการเมืองและทางจริยธรรมที่กาหนด 
  หากแต่วา่ , พวกเขามารวมตวั กนั โดยรอบขงจ้ือเพื่อพฒั นาคุณสมบตั ิของตนเองในฐานะผมู้ ีส่วน สนบัสนุนผทู้รงความรู้,มีวฒันธรรม,มีจริยธรรมและมีรสนิยมต่อความดีงามสาธารณะรูปแบบการก่อตวั เช่นน้ีเอ้ือใหพ้ วกเขาสามารถปฏิบตั ิตามหนทางของตวั เองในการบ่มเพาะตวั เองผา่ นทางการเคารพซ่ึงกนั และ กนั และรู้คุณค่าซ่ึงกนั และกนั ขงจ้ือสนบั สนุนพวกเขาไม่ใหก้ ลายเป็ นภาชนะอยา่ งหน่ึง อนั นิยามในแง่ของ อรรถประโยชน์ความสามารถจาเพาะของพวกเขา,หากแต่สนบั สนุนพวกเขาใหเ้ป็นจุนสี(สุภาพบุรุษ,ผู้ ทรงคุณธรรม, หรือบุคคลผมู้ ีทรงอานาจและทรงความคิดลึกซ้ึง) ผคู้ รบเครื่อง ในทุกๆ ดา้ น ผสู้ ามารถ ดาเนินการทางการเมืองไดใ้นทุกระดบัและทุกๆสภาพแวดลอ้มได้ 
  รูปแบบของการปฏิสมั พนั ธ์ระหวา่ งขงจ้ือและลูกศิษยข์ องท่านนนั บ่งช้ีถึงกิจการอนั ดาเนินร่วมกนั ซ่ึงพวกเขากระทานนั เป็นแนวทางที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในหนา้ ประวตั ิศาสตร์ของประเทศจีนและถือเป็น เรื่องเฉพาะตวั อยา่ งยงิในหมู่ศาสนาจากยคุ ประวตั ิศาสตร์ส่วนใหญ่ ขงจ้ือนนั มิไดเ้ป็นผกู้ ่อตงั ขนมธรรม เนียมผคู้ งแก่เรียนที่ท่านเป็นส่วนหน่ึงอยู่และกระตุน้ ใหน้ กั เรียนยดึ ถือปฏิบตั ิ มนั หาใช่การถ่อมตวั ไม่ที่ ท่านอธิบายตวั เองวา่ เป็น“ผสู้ ื่อสาร”แทนที่จะเป็น“ผคู้ ิดคน้ ” เช่นกนั กบั ที่ท่านหาไดเ้ป็นประจกั ษพ์ ยาน สูงสุดของคุณความดีของมนุษยท์่ีลูกศิษยข์องท่านนนัไดร้ับการสงัสอนใหม้องหาแรงบนัดาลใจจากหลกั ดงั กล่าว อีกครังหน่ึง,มนั หาไดเ้กิดข้ึนจากการถ่อมตวั ไม่ที่ท่านปฏิเสธที่จะถูกจดั คุณลกั ษณะวา่ เป็น “นกัปราชญ”์ หรือ“ผมู้ีมนุษยธรรม”(เร็น)[7:34] แต่กระนนั ,การแสดงออกซ่ึงบุคลิกลกัษณะผนู้ ิยมการ ถ่อมตนก็หาไดเ้ บียดบงั การดารงตนอยอู่ ยา่ งน่ายาเกรงในหมูลูกศิษยข์ องท่าน แหล่งกาเนิดแรงบนั ดาลใจ ของท่านนนั มาจากรูปแบบการดาเนินชีวิตที่เพรียมพร้อม ซ่ึงแมว้ า่ จะดาเนินไปในสถานที่หน่ึงและหว้ ง ขณะหน่ึง แต่กระนนั ใจความในรูปแบบดงั กล่าวนนั เป็นหลกั การธรรมดาสามญั ที่แบ่งปันร่วมกนั อนั ทรง ความสาคญั โดยสากล 

เนื่องจากขงจ้ือนนั พิจารณาตวั เองวา่ เป็นผพู้ ทิ กั ษแ์ นวทางแห่งการเอาชีวิตรอดและความเฟ่ืองฟขู องมนุษย,์ ท่านจึงเป็นที่น่าสนใจมากกวา่ แก่เหล่านกั ปราชญแ์ ละผคู้ ู่ควรผซู้ ่ึงเป็นสถาปนิกของขนบธรรมเนียมอนั สังสมมาแทนท่ีจะเป็นความเป็นจริงเหนือธรรมชาติท่ีอยเู่กินกวา่ ความเขา้ ใจของมนุษยห์ รือววิ ฒั นาการตาม ธรรมชาติอนั ปราศจากการมีส่วนร่วมของมนุษย์ เจา้ นครรัฐโจว, กลจกั รท่ีสาคญั ในการคาจุนระเบียบแบบ แ ผ น ท า ง ก า ร เ ม ื อ ง ข อ ง ร า ช ว ง ศ โ์ จ ว โ ด ย ก า ร ก ่ อ ต งั ร ะ บ บ พ ิ ธ ี ก ร ร ม แ ล ะ ก า ร ด น ต ร ี อ นั ป ร ะ ณ ี ต ข ้ ึ น ม า , น นั ถ ื อ เ ป ็ น บุคลิกภาพตามกรอบแนวคิดของขงจ้ือ ความฝันชวัชีวติ ของท่านคือการฟ้ืนฟูแนวทางอนั ยงิใหญ่ของเจา้ นครรัฐโจวและนามาซ่ึงยคุ สมยั ใหม่ของสันติภาพในโลก อนั อิงอยกู่ บั หลกั จริยธรรมของการบ่มเพาะตนเอง, ความเห็นอกเห็นใจ, ความยตุ ิธรรมและความรับผดิ ชอบ แมว้ า่ เจา้ ผคู้ รองนครจะประสบความสาเร็จอยา่ ง มาก,เขากลบั ,เช่นเดียวกบั ขงจ้ือ,เป็นแค่ผถู้ ่ายทอดแทนที่จะเป็นผคู้ ิดคน้ ,เนื่องจากเขาเองนนั ก็เป็นผสู้ ืบ ทอดจกั รวรรดิอนั ยงิใหญ่มาจากเหล่าบูรพกษตั ริยน์ กั ปราชญท์ งั หลาย: พระเจา้ เหยา, พระเจา้ ชุ่น, พระเจา้ หย,ู พระเจา้ถงั,พระเจา้เหวนิและพระเจา้หวูแนวความคิดทางประวตัิศาสตร์ของขงจ้ือนนัไดร้ับการแต่งเติมข้ึน จากความตระหนกั ของท่านในบรรทดั ฐานทางวฒั นธรรมอนั ยงั สามารถไดร้ ับการดารงรักษาเอาไวไ้ ว้และ จากสานึกในภารกิจท่ีวา่ ท่าน “ถูกเลือก” มาเพ่อื ปฏิบตั ิภาระดงั กล่าว 
  เมื่อท่านพเนจรจากรัฐหน่ึงสู่รัฐหน่ึงเพ่ือคน้ หาผคู้ รองนคร ผจู้ ะมอบโอกาสใหท้ ่านไดบ้ รรลุความ ฝัน, ท่านได,้ อาจจะโดยไม่ไดต้ งั ใจ, ก่อตงั กลุ่มผมู้ ีแนวคิดคลา้ ยคลึงกนั ข้ึนมา, โดยในตอนแรกนนั ถูกเรียก กนั วา่ เป็ นชุมชนสนทนา เม่ือมองยอ้ นกลบั ไป, ถึงแมว้ า่ ท่านจะไม่ไดเ้ คยไดร้ ับความเชื่อมนัในการ มอบหมายดินแดนใหท้ ่านไดน้ าเอาแนวคิดตวั แบการปกครองของท่านไปทดลองปฏิบตั ิ, ความเป็นจริงทาง สงั คมที่ท่านไดใ้ หก้ าเนิดข้ึนมาอยา่ งแทจ้ ริงนนั กลบั กลายวา่ เป็นสิงท่ีมีความหมายอยา่ งมาก สมาคมดงั เสวนา,อนั เป็นผลมาจากความพยายามร่วมกนั ท่ีตวั ท่านและลูกศิษยข์ องท่านกระทาร่วมกนั ,เป็นสมาคมท่ี เปิดกวา้ง,ยดื หยนุ่ ,มีการสื่อสารสนทนากนั ,มีการปฏิสมั พนั ธ์กนั ,ไม่กีดกนั และเป็นประโยชน์ซ่ึงกนั และ กนั ท่านเขา้ หานกั เรียนของท่าน ไม่ใช่ในฐานะนกั ปรัชญา ผใู้ ชก้ ระบวนการวธิ ีในการชกั นานกั เรียนให้ มองเห็นแก่นสาระของสิงต่างๆ ทีละขนั ทีละตอน มนั ไม่ขอ้ ใดเลยในคมั ภีร์หลุนอี่วท์ ี่คลา้ ยคลึงกบั แนว ทางการใหเ้ หตุผลตามแนวทางการถกเถียงของโซเครติส หากแต่วา่ , ขงจ้ือไม่เชื่อถือในการหวา่ นลอ้ มทาง วาจา, เกลียดชงั วาจาล่อหลอกและไม่ชอบใจกบั การอวดฉลาด ถึงแมว้ า่ ท่านจะใหค้ ุณค่าอยา่ งมากกบั แนว วาทศิลป์ในทางการทูต,กบั ความโปร่งใสในความคิดและความคล่องแคล่วในการเขียนงานวรรณกรรม, ท่านกลบั นิยมชมชอบการช่ืนชมในความเงียบมากกวา่ ,อยา่ งในกรณีของหยานฮุย,ในฐานะที่เป็นแนวทาง ในการโตแ้ ยง้ ท่ีมีประสิทธิผล ซ่ึงขอ้ หลงั น้ีชวนใหท้ ่านหวนราลึกถึงเล่ห์เหลี่ยมในขอ้ พพิ าททางกฎหมาย, และแมแ้ ต่การฟ้องคดีความ ในคดีแพง่ ,เขาชอบท่ีจะใชก้ ารเจรจา,การประนีประนอมหรือการตกลงยอม ความกนั นอกศาลมากกวา่ การท่ีจะอาศยั กลไกการควบคุมอนั เป็นทางการ,โดยการช้ีขาดและการบงั คบั ของ ตุลาการ 


สงั คมในอุดมคติท่ีขงจ้ือวาดภาพเอาไวแ้ ละชุมชนการสานเสวนาที่ท่านสร้างข้ึนมาผา่ นการสงัสอนดว้ ย
ตวั อยา่ งน
นั ถือเป็นสมาคมตามความสมคั รใจ วตั ถุประสงคห์ ลกั ของสมาคมดงั กล่าวนนั คือการช่วยอานวย ความสะดวกการบรรลุตวั ตนของตนเองของสมาชิกแต่ละคนของสมาคม ความสุภาพอ่อนนอ้ มอนั อิงอยกู่ บั วสิ ัยทศั น์ทางสงั คมดงั กล่าวนนั เกี่ยวขอ้ งกบั สภาพสะทอ้ นของทงั ชนชนั นาทางการเมืองและชนชนั ปัญญาชน และเก่ียวขอ้ งกบั กระบวนการอนั มีประสิทธิภาพท่ีการบริหารจดั การอยา่ งมีเมตตานนั เริมดาเนิน ไป ไม่น่าประหลาดใจเลย, ขงจ้ือยนื ยนั วา่ ผปู้ กครอง, ผา่ นการบ่มเพาะตวั เองอยา่ งไม่ประมาท, วา่ อานาจ การอานวยการของเหล่าขา้ ราชการนนั จะกลายเป็นตวั ตนของกระบวนการสองทิศทาง:สติสานึกของตนเอง อนั รับผดิ ชอบในทางหน่ึง และการปรับประยกุ ตใ์ ชแ้ นวนโยบายดว้ ยความถูกตอ้ งยตุ ิธรรม ซ่ึงจะส่งผล กระทบต่อชีวติ ความเป็นอยขู่ องประชาชนเอาไวใ้ นอีกทางหน่ึง ประเด็นที่สาคญั อยา่ งมากของประเทศ,
อ ย า่ ง เ ช ่ น ก ิ จ ก า ร ด า้ น ก า ร เ ก ษ ต ร , ก า ร บ ร ร เ ท า ท ุ พ ภ ิ ก ข ภ ยั แ ล ะ ก ิ จ ก า ร เ ร ื ่ อ ง ป ั จ จ ยั ต ่ า ง ๆ น
นั จ ะ ต อ้ ง ด า เ น ิ น ไ ป โ ด ย เอาจริงเอาจงั อยา่ งท่ีสุด,ถึงความกินดีอยดู่ ีของพลเมือง,เป็นอนั ดบั แรก ตรงกนั ขา้ มกบั ความเขา้ ใจผดิ ของฮี เกล, ความเป็นเอกราชนนั ข้ึนอยกู่ บั พลเมืองแทนที่จะเป็นตวั ผปู้ กครอง แน่นอนวา่ , เอกราชนนั เป็นสิงอนั ประทานใหก้ บั พลเมืองโดยอาณตั ิแห่งสวรรค์ ผปู้ กครองนนั ไดร้ ับการมอบหมายหนา้ ที่จากสวรรคน์ นั ถูก ผกู พนั ใหด้ าเนินการอยา่ งถูกตอ้ งตามหลกั ศีลธรรม, ในแนวทางซ่ึงสนองตอบต่อความตอ้ งการของ ประชาชน 
  ประชาชน, ดงั ที่เขา้ ใจกนั , หาไดโ้ ง่เขลาหรือช่วยตวั เองไม่ไดแ้ ต่อยา่ งใด ขนบธรรมเนียมอนั
ยงิ
ใหญ่ท่ีมีมาก่อนหนา้ ลทั ธิขงจ้ือนนั ระบุเอาไวอ้ ยา่ งชดั แจง้ วา่ การบ่มเพาะซ่ึงคุณความดีนนั เป็นสาเหตุมูล ฐานที่ผปู้ กครองนครสถาปนาตวั เองข้ึนเป็ น “บิดรและมารดา” แห่งพสกนิกร ดงั ที่เม่งจ้ือ, ซ่ึงดาเนินตาม แนวทางท่ีขงช้ือช้ีนา, ยนื ยนั วา่ , หากวา่ ผปู้ กครองนนั ลม้ เหลวท่ีจะปฏิบตั ิภาระหนา้ ท่ีของตวั เองใหล้ ุล่วงไป (“ผปู้ กครองนนั ก็ควรจะทาตวั ใหส้ มกบั เป็นผปู้ กครอง”),คณะมนตรีของผปู้ กครองผนู้ นั ก็ควรจะกล่าวคาทดั ทาน พวกเขาควรจะประทว้ งดว้ ยการลาออก, หากวา่ ผปู้ กครองลม้ เหลวที่จะรับฟังเสียงเรียกร้องของเขา ภายใตส้ ภาพสถานการณ์พเิ ศษ, การลอมปลงพระชนนนั เป็นสิงที่ยอมกนั ไดแ้ ละ, ตามหลกั การ “แกไ้ ขนาม”, ผปู้ กครองผไู้ ร้ความรับผดิ ชอบนนั ก็ไม่ต่างจากบุคคลโดดเดี่ยวผไู้ ร้ซ่ึงกาลงั , ขาดซ่ึงอานาจและปราศจาก ความชอบธรรม คนผนู้ นั สามารถถูกเนรเทศหรือสังหารเพื่อผลประโยชน์ของผคู้ นได้ ผคู้ นนนั ก็ เหมือนกบั สายน;พวกเขาสามารถประคองลาเรือ,และพวกเขาก็สามารถล่มเรือไดเ้ช่นกนั “สวรรค์ มองเห็นภาพจากสายตาของผคู้ นและสวรรคไ์ ดย้ นิ เสียงเดียวกบั ท่ีผคู้ นไดย้ นิ ”,มนั ไม่ไดเ้ป็นเพียงขอ้ สังเกต โดยสังเขปหากแต่เป็นอุดมคติเชิงปฏิบตั ิอนั และอุดมคติอนั มีการนาไปปฏิบตั ิอนั หาไดเ้กิดข้ึนนานๆทีไม่ ความมุ่งมนัของขงจ้ือที่จะเปลี่ยนแปลงการเมืองโดยอาศยั ความเขม้ แขง็ ทางจริยธรรม, คุณค่าทางสังคม, ความสามคัคีทางสังคม,และและความสานึกทางประวตัิศาสตร์นนั,บ่อยครังที่ถูกเขา้ใจผดิวา่เป็นความ กระตือรือร้นอยา่ งไร้เดียงสาในตาแหน่งผปู้ กครองทางสงฆข์ องระเบียบแบบแผนทางการเมือง, นนั ถูก พยากรณ์ข้ึนจากขอ้ รับรู้ที่วา่ วตั ถุประสงคส์ ูงสุดของการเมืองนนั คือการเฟื่องฟูของมนุษย์ แน่นอนวา่ , การเมืองนนั มีความเก่ียวโยงกบั กาลงั , อิทธิพลและอานาจ, แต่วา่ , ดงั ที่ไดก้ ล่าวถึงไปแลว้ , วตั ถุประสงคข์ อง การเมืองนนั คือหลกั จริยธรรมผา่ นทางการศึกษา การสงวนรักษาความมนัคงและการยงั ชีพนนั ไม่ไดจ้ บลง แค่ในตวั ของมนั เอง แต่ยงั มีฐานะเป็ นเง่ือนไขเพ่ือความเฟ่ื องฟูของมนุษยด์ ว้ ย คาสังสอนของขงจ้ือที่วา่ “จากตงั แต่เจา้ ครองนครจนถึงไพร่ฟ้าสามญั ชนทุกคนควรพิจารณาการบ่มเพาะตนเองเป็นรากฐานสาคญั "” นนั มุ่งหมายที่จะนาเสนอพ้ืนฐานสาหรับชุมชนแห่งความไวว้ างใจ,แทนท่ีจะเป็นการอบรมบ่มเพาะกลไก ของการควบคุมทางสังคมหรือหากจะพดูตามแนวคากล่าวของเอมิลเดอไคม,์ขงจ้ือได,้อาศยัการทาความ เขา้ ใจซ่ึงกนั และกนั และความตระหนกั สานึกในตนเองร่วมกนั ,นามาซ่ึงความเป็นปึกแผน่ เชิงอินทรีย์ ใน บรรดาลูกศิษยข์ องขงจ้ือนนั มนั มีทงั นกั อกั ษรศาสตร์, ชาวนา, ช่างฝีมือ, ทหาร, พ่อคา้ และผปู้ ระกอบการจาก สาขาวชิ าชีพต่างๆจานวนมาก ความหลากหลายของกลุ่มแรงงานส่งเสริมความสมบูรณ์ของสมาคมขงจ้ือ จากความหลากหลายทางความเป็นมาของพวกเขาและความหลากหลายของแนวทางการใชช้ ีวติ 
  จิตวญิ ญาณแห่งความเป็นประชาธิปไตยโดยนยั ดงั กล่าวสร้างแรงบนั ดาลใจให้ เอช. จี. ครีล, ศาสตราจารยจ์ากมหาวทิยาลยัชิคาโกแ้ละคณบดีของภาควิชาอารยธรรมจีนในยคุปี1950,ในการจดั
คุณลกั ษณะขงจ้ือใหเ้ ป็นนกั เสรีนิยมประชาธิปไตย และนกั มานุษวทิ ยาตามหลกั เหตุผล มนั ถือเป็นการพดู เกินจริง,หรือเป็นคากล่าวท่ีออกจะผดิ ยคุ ผดิ สมยั ,ที่จะระบุตวั ตนขงจ้ือดงั ท่ีวา่ แนวคิดเรื่องนกั เสรีนิยม ประชาธิปไตยน
นั น่าจะยงั ไม่เป็นความเป็นไปไดท้ ี่ปฏิเสธกนั ในโลกในอุดมคติของขงจ้ือ อยา่ งไรก็ตาม, มนั เป็นเร่ืองสาคญั ที่จะตอ้ งสังเกตวา่ ขงจ้ือนนั วาดฝันถึงหนทางท่ีถูกตอ้ งของการปฏิสัมพนั ธ์ของมนุษย์อนั กา้ วพน้ จากแนวการจดั จาแนกทางการเมืองของโลกสมยั ใหม่ ไม่วา่ มนั จะกอปรข้ึนมาอยา่ งกวา้ งขวางเพียงใด ก็ตาม ในขอ้ สงั เกตอนั กระจดั กระจายของเราต่อขอบเขตความสนใจและแนวทางความหลากหลายของลูก ศิษยต์ ่างสาขาอาชีพ, อุดมคติเรื่องความเป็นเอกภาพ “เชิงอินทรีย”์ แทนที่จะเป็นความเป็นเอกภาพ “เชิงกลไก , อยา่ งเช่น หลกั ภราดรภาพ, นนั ปรากฏข้ึนเป็นเพียงแค่ความเป็นไปไดท้ ่ีนึกฝันกนั เท่านนั นกั ทฤษฎีทาง การศึกษาสมยั ใหม่, ภายใตอ้ ธิพลของความรู้ความชานาญพิเศษ, นนั จะประสบกบั ความยากลาบากในการจด จ า แ น ก ว า ่ ส า น ึ ก ข อ ง ค ว า ม บ ร ิ บ ู ร ณ ์ น นั เ ป ็ น ส ิ ง อ นั ม น ุ ษ ย เ ์ ส า ะ แ ส ว ง ห า ต ล อ ด ม า ค ว า ม ส น ิ ท ส น ม ก นั อ นั ข ง จ ้ ื อ และลูกศิษยข์ องท่านบรรลุร่วมกนั นนั หาไดเ้ป็นอะไรท่ีมากเกินไปกวา่ การส่งเสริมความปรารถนาร่วมกนั ของมนุษยก์ ลายเป็นรูปธรรมข้ึนมาเท่านนั เอง 

เสน่ห์ดึงดูดของขงจ้ือนนั มีมาจากอานาจดึงดูดของท่านในการดึงดูดกลุ่มผคู้ นท่ีหลากหลายเหล่าคนผเู้ปี่ยม ไปดว้ ยพลงั ใหเ้ ขา้ มาร่วมแบ่งปันวสิ ยั ทศั น์และภารกิจของท่าน ในการปรับเปลี่ยนโลกจากภายใน โดยการ ยดึ โยงเขา้ กบั ทรัพยากรทางจิตใจและทางกายภาพของแต่ละบุคคลในหมู่พวกเขา ผา่ นทางศิลปะของการบ่ม เพาะตวั เอง แนวทางการบ่มเพาะตวั เองของขงจ้ือ, ซ่ึงสลบั ซบั ซอ้ นกวา่ แนวทางการเสาะหาจิตวญิ ญาณ ภายในตวั เองมาก,นนั เป็นแนวทางหลายมิติ มนั ไม่เพียงแต่เกี่ยวขอ้ งกบั ร่างกายและจิตใจเท่านนั แต่ยงั รวมถึงสภาพแวดลอ้ มโดยรวมทงั หมดในการดารงอยขู่ องบุคคลคนหน่ึงดว้ ย คาอธิบายของขงจ้ือเองต่อการ เดินทางทางจิตวญิ ญาณของท่านนนั เป็นตวั อยา่ งที่เด่นชดั

  • ตอนอายไุ ดส้ ิบหา้ ปีขา้ พเจา้ มุ่งมนัที่จะเรียนรู้ ตอนอายไุ ดส้ ิบหา้ ปี,ขา้ พเจา้ ตงั หลกั
  • ต อ น อ า ย ไุ ด ส้ ี ่ ส ิ บ ป ี , ข า้ พ เ จ า้ ก ็ ป ร า ศ จ า ก ค ว า ม ห ล ง ล ะ เ ม อ ต อ น อ า ย หุ า้ ส ิ บ , ข า้ พ เ จ า้ ก ็ ร ู ้ ถ ึ ง อ า ณ ตั ิ แ ห ่ ง สวรรค์
  • ตอนอายไุ ดห้ กสิบ, หูของขา้ พเจา้ ก็คอยเง่ียฟัง ตอนอายไุ ดเ้ จบ็ สิบ, ขา้ พเจา้ ก็สามารถดาเนินตามความ ปรารถนาของตนเองไดโ้ ดยไม่ละเมิดกฎเกณฑใ์ ดๆ อีกต่อไป 

หมายเหตุสนั ๆ อนั ไดใ้ จความเชิงอตั ประวตั ิอนั น้ีดลบนั ดาลใหเ้ กิดการตีความต่างๆ มากมาย ค่อนขา้ ง ชดั เจนวา่ , ขงจ้ือนนั ดาเนินชีวติ ตามความเขา้ ใจในตนเองของท่าน ท่ีวา่ โดยหลกั แลว้ ท่านคือผเู้ รียนรู้: “ใน หมู่บา้ นขนาดสิบหลงั คาเรือน, ท่านยอ่ มจะพบผอู้ ่ืนซ่ึงทรงความซื่อสัตยแ์ ละภกั ดีเสมอดว้ ยกบั ขา้ พเจา้ , แต่ ท่านจะไม่มีวนั พบบุคคลอ่ืนผซู้ ่ึงรักการเรียนมากเท่ากบั ขา้ พเจา้ เป็นอนั ขาด” [5:28] 
  ตลอดช่วงชีวติ ของท่าน ขงจ้ือพยายามท่ีจะพฒั นาตนเองอยา่ งไม่ลดละ ท่านตระหนกั อยา่ งเตม็ ที่วา่ ความเป็นนกัปราชญห์รือความสมบูรณ์ทางศีลธรรมนนัยงัอยหู่่างไกลการเอ้ือมถึงนกัและท่านไดเ้รียนรู้โดย ไม่รู้เหน็ดเหนื่อยและสงัสอนโดยไม่รู้เบื่อหน่าย[7:34] แน่นอนวา่,เขาเสาะหาทุกๆโอกาสที่จะเรียนรู้:“ให้ ขา้พเจา้ไดพ้บปะกบัคนสองคนโดยไม่เลือกที่–พวกเขาทงัคู่ต่างจะมีเรื่องต่างๆมาสอนขา้พเจา้ได้ขา้พเจา้ สามารถนาเอาขอ้ เด่นของพวกเขามาเป็ นแบบอยา่ ง และขอ้ ดอ้ ยของพวกเขาเป็ นคาเตือน” [7:22] ท่าน ยอมรับโดยเปิ ดเผย วา่ ท่านตอ้ งสงัสมความรอบรู้จากยคุ อดีตเพ่ือใหต้ นเองชายฉลาด: “ขา้ พเจา้ ไม่ไดเ้ กิดมารู้ ไปทุกเรื่อง, แต่วา่ , การช่ืนชอบเรื่องราวโบราณ, ขา้ พเจา้ คล่องแคล่วนกั ในการสืบเสาะเรื่องราวเหล่านนั ” [7:22] ยงิไปกวา่ นนั , ท่านยงั ไดแ้ สดงความวติ กกงั วลอยา่ งลึกซ้ึงวา่ ตวั ทานพลาดพลงั ในการบ่มเพาะตวั เอง: “ความลม้ เหลวในการบ่มเพาะอานาจทางจริยธรรม, ความลม้ เหลวในการสารวจสิงที่ขา้ พเจา้ ไดเ้ รียนรู้, ความ ไร้ความสามารถท่ีจะยดื หยดั ต่อสิงท่ีขา้ พเจา้ รู้วา่ ถูกตอ้ ง และความไร้ความสามารถท่ีจะเปล่ียนแปรสิงท่ีไม่ดี ได้ – นนั คือสิงที่ขา้ พเจา้ วติ กกงั วล” [7:3] กล่าวโดยยอ่ , ท่านนนั เป็ นผเู้ รียนประเภทซ่ึง “ผซู้ ่ึง, ในความ กระตือรือร้นท่ีจะเรียนรู้, ลืมท่ีจะรับประทาน, ในความเพลิดเพลิน, หลงลืมท่ีจะเป็นกงั วล, และผซู้ ่ึงเมินเฉย ต่อแนวทางของยคุ เก่า”[7:19] 

เน้ือหาของแนวทางการเรียนรู้ของขงจ้ือนนั ทงั เพรียมพร้อมและหลากหลาย ในคมั ภีร์หลุนอี่ว,์ วา่ กนั วา่ ศิษย์ ของขงจ้ือบางคนนนั เป็นยอดในทางดา้นคุณความดี,สานวนโวหาร,การปกครองและวฒั นธรรม[11:3]
ดา้ นต่างๆ เหล่าน้ีหาใช่เน้ือหาหลกั ของแนวทางคาสอนของขงจ้ือ แต่วา่ เป็ นมิติต่างๆ ของความเฟ่ื องฟูของ มนุษยซ์่ึงไดร้ับการใหคุ้ณค่าเป็นพเิศษในแนวทางการศึกษาของขงจ้ือ อนุมานไดว้า่,ขงจ้ือปรารถนาให้ ศิษยท์ ุกคนของท่านเป็นผทู้ รงคุณงามความดี,คล่องวฒั นธรรม,เช่ียวชาญโวหารและอุทิศตนใหก้ บั การรัชใช้ สาธารณะ, แต่ในหมู่พวกเขาเหล่านนั , มีเพยี งแต่ผทู้ ี่โดดเด่นที่สุดเท่านนั ท่ีแสดงใหเ้ ห็นถึงการบรรลุ
ผ ล ส ั ม ฤ ท ธ ์ ิ ด า้ น ใ ด ด า้ น ห น ่ ึ ง ด งั ก ล ่ า ว ต า ม ก ฎ แ ล ว้ , ข ง จ ้ ื อ จ ะ ใ ช ส้ ิ ง ต ่ า ง ๆ ส ี ่ อ ย า่ ง ใ น ก า ร ส งั ส อ น ข อ ง ท ่ า น : วรรณกรรม,การกระทา,ความภกั ดีและความเชื่อมนั[7:25] พฤติกรรมที่ถูกตอ้ งนนั เป็นสิงที่สาคญั ในแนว ทางการสอนของลทั ธิขงจ้ือ, แต่การมุ่งเนน้ นนั อยทู่ ่ีทศั นคติและความเช่ือ ความถูกตอ้ งโดยแทท้ าง พฤติกรรมอนัปราศจากการคาจุนโดยทศันคติและความเชื่อที่ถูกตอ้งนนั เป็นเพยีงรูปนยันิยมอนัสามารถทา ใหเ้สื่อมเสียไปไดอ้ยา่งหน่ึงเท่านนั แน่นอนวา่,หนทางซ่ึงคนผหู้น่ึงมองดู,รับฟัง,พูดคุยและกระทาใน ทุกๆ สถานการณ์ นนั คือแนวทางท่ีถูกตอ้ งของการบ่มเพาะตวั เอง[16:10], แต่ก็ต่อเม่ือมนั เกิดข้ึนผา่ น “ความ แน่วแน่,ความมุ่งมนั,ความเรียบง่ายและความเงียบเท่านนั ”[13:27]ที่เราจะสามารถวาดหวงัถึงการบรรลุซ่ึง ความเป็ นมนุษยอ์ ยา่ งสมบรู ณ์ได้ แน่นอนวา่ , “อธั ยาศยั , ความอดทน, ความเช่ือมนั, ความขยนั หมนัเพยี ร, ความเอ้ืออาทร”,หลกัปฏิบตัิหา้ประการที่สามารถผลกัดนัมนุษยชาติไปในการใหบ้ริการในการไปมาหาสู่ ทางสงั คม, นนั เป็นประเด็นทงั ทางดา้ นทศั นคติและทางดา้ นพฤติกรรม 
  ในบริบทที่กวา้ งกวา่ นนั , แนวทางการศึกษาของขงจ้ือนนั หาไดถ้ ูกจากดั อยกู่ บั แต่เพยี งคาสังสอน ทางจริยธรรมแต่เพียงอยา่งเดียวในฐานะท่ีเป็นแผนการเรียนรู้อนัสลบัซบัซอ้นและบูรณาการเพื่อการ กลายเป็นมนุษยท์ ่ีสมบรู ณ์แบบ, มนั ไดค้ รอบคลุมทุกหยอ่ มยา่ นของสิงท่ีเราเรียกกนั วา่ เป็นการศึกษาตาม หลกั วจิ ิตศิลป์ในปัจจุบนั น้ี งานวรรณกรรมทงั หกของขงจ้ือเป็นเครื่องหมายแห่งวสิ ยั ทศั น์อนั นอ้ มรับทุก แง่มุมของความเป็นมนุษย,์ วิสัยทศั น์ที่ครอบคลุมทางดา้ นกวนี ิพนธ์, การดนตรี, การเมือง, สังคม,
ประวตั ิศาสตร์และอภิปรัชญาของการดารงอยขู่ องมนุษย์ ในคมั ภีร์หลุนอี่ว,์ ขงจ้ือออกคาสังแก่บุตรชายและ นกั เรียนของท่าน ให้เริมการศึกษาจาก กวีนิพนธ์ และพิธีกรรม เพื่อที่จะเรียนรู้ภาษาพ้ืนฐานและแนวทาง ปฏิบตั ิตามหลกั ขงจ้ือ ท่านไดอ้ า้ งอิงถึงกษตั ริยน์ กั ปราชญท์ งั สาม – พระเจา้ เหยา, พระเจา้ ชุ่นและพระเจา้ หยู ใน เอกสาร เพื่อแสดงให้เห็นถึงความชื่นชมของท่านที่มีต่อการปกครองดว้ ยความเมตตาของพวกท่าน เหล่านนั ท่านยงั ไดก้ ล่าวถึงการอ่านต่อไปยงั วรรณกรรมเร่ือง การเปลี่ยนแปลง อนั สามารถปลดปล่อยตวั ท ่ า น จ า ก ก า ร ก ร ะ ท า ค ว า ม ผ ดิ พ ล า ด ค ร ั ง ย งิ ใ ห ญ ่ ใ น ช ี ว ิ ต ไ ด ้ ย งิ ไ ป ก ว า่ น นั , ป ร ะ ส บ ก า ร ณ ์ ส ่ ว น ต วั ก บั ก า ร ด น ต ร ี ของท่านและ“ความชื่นชมโดยปริยาย”ต่ออาณตั ิสวรรคน์ นั ทาใหท้ ่านสามารถสื่อสารซ่ึงหลกั การความ เฟื่องฟูของมนุษยอ์ นั หยงัรากอยใู่ นศิลปะของการรับฟังและความเคารพต่อสิงอนั อยเู่หนือพน้ ข้ึนไป 
  ดงั นนั , สิงที่รองรับแนวทางการศึกษาตามลทั ธิขงจ้ือ นนั คือ ความเช่ือมนัอนั แรงกลา้ ท่ีวา่ สิงมีชีวติ เช่นมนุษยเ์รานนั มีคุณค่าท่ีหลากหลายและมีมิติท่ีหลากหลาย แนวคิดคตินิยมลดทอนนนั ไม่เพยี งแต่เรียบ ง่ายเกินไปหากแต่ยงั ชวนใหเ้ขา้ ใจผดิ อีกดว้ ย เราหาไดเ้ป็นแค่สัตวท์ ี่รู้จกั ใชเ้หตุผล,ผใู้ ชเ้ครื่องมือได้หรือ สิงมีชีวติ ที่สื่อสารดว้ ยภาษา เพราะวา่ เราเป็นสิงมีชีวติ ท่ีมีความสุนทรียะ, มีสังคม, มีจริยธรรมและจิต วญิญาณเราสามารถบรรลุตวัตนท่ีแทจ้ริงไดก้็ต่อเม่ือเราใหค้วามดูแลกบัร่างกาย,หวัใจ,ความคิด,หวัใจ และจิตวญิ ญาณของเราเท่านนั เมื่อเราเคล่ือนห่างออกจากแก่นกลางของตวั ตนการดารงอยขู่ องเราเพ่ือพบ กบั ความสมั พนั ธ์ท่ีขยายตวั ไม่สินสุดและทวคี วามสลบั ซบั ซอ้ นมากข้ึนเร่ือยๆ,เราก็ไดร้ วมตวั ข้ึนเป็น ครัวเรือน,ชุมชน,ประเทศชาติ,โลก,พิภพและสรวงสวรรคใ์ นความรู้สึกและสติสานึกของเรา นี่เป็นเหตุ วา่ ทาไมความเป็นมนุษยท์ ี่แทจ้ ริง นนั จึงตอ้ งเป็นในทางเป็นเหตุเป็นผลและเป็นในทางการสนทนาโตต้ อบ กนั และรวมถึงเป็นในทางจิตศาสตร์และเป็นในทางจิตวญิ ญาณดว้ ย การศึกษานนั จะตอ้ งเป็นดงัจุดเริมตน้ ของการเป็ นคนท่ีมีตวั ตนและมีชีวติ , คนซ่ึงเป็ นส่วนหน่ึงของความสัมพนั ธ์ปฐมภมู ิ, โดยเฉพาะอยา่ งยงิความสมั พนั ธ์ทางดา้ นอารมณ์ระหวา่ งบิดามารดาและบุตร 
  โดยนยั สาคญั , ตามแง่มุมของคนสมยั ใหม่, ความสัมพนั ธ์ดงั กล่าว, อยา่ งเช่น เช้ือชาติ, ภาษา, เพศ, สถานะภาพ, อายแุ ละความศรัทธา, นนั ก็มีความเก่ียวขอ้ งในท่ีน้ีดว้ ยเช่นกนั ในแนวทางหน่ึง, พวกเราแต่ละ คนต่างมีชะตากรรมท่ีจะกลายเป็นบุคคลผมู้ ีเอกลกั ษณ์ของตนเอง,ดารงตนอยใู่ นหว้ งเวลาใดหว้ งเวลาหน่ึง และบนเน้ือที่ใดเน้ือที่หน่ึง, ซ่ึงไม่เคยปรากฏข้ึนมาเลยก่อนหนา้ น้ีและจะไม่ปรากฏข้ึนมาอีกหลงั จากน้ี แน่นอนวา่ , พวกเรานนั ต่างแตกต่างกนั ไปดงั เช่นใบหนา้ ของพวกเรา แต่กระนนั , ขงจ้ือก็ยงั เช่ือมนัวา่ ความ ธรรมดาสามญั และความสามารถในการสื่อสารของหวั ใจและจิตใจของพวกเรานนั ทาใหพ้ วกเรานนั ตาม ธรรมชาติแลว้ , จากแก่นกลาง, เป็ นเหมือนกนั และพวกเราต่างแบ่งปันทรรศนะวสิ ัย, อารมณ์, เจตจานง, สติ สานึก, ประสาทสมั ผสั และประสบการณ์ร่วมกนั การบรรจบกนั ของความแตกต่างและความคลา้ ยคลึง เหล่าน้ีทาใหเ้ราสามารถกลายเป็นสิงที่เราควรจะเป็นหาใช่ดว้ ยการรองรับต่อความสมั พนั ธ์ปฐมภูมิของเรา ซ่ึงทาใหม้นัเป็นไปไดส้าหรับพวกเราท่ีจะกลายเป็นมนุษยท์่ีแทจ้ริงผมู้ีตวัตนและมีชีวติ หากแต่วา่,เรา ปรับเปล่ียนมนั ใหก้ ลายเป็นพาหนะเพื่อการบรรลุในตนเอง นี่คือเหตุผลที่วา่ ,ในฐานะผเู้รียนรู้แลว้ ,ชีวิต ของเรานนั จึงทวคี วามสมบูรณ์ข้ึน ดว้ ยการพบปะกบั มนุษยค์ นอื่นอนั หลากหลาย ผซู้ ่ึงมีเอกลกั ษณ์ที่แตกต่าง กนั ออกไปในแต่ละคน และผซู้ ่ึงต่างร่วมแบ่งปันขอ้ มูลข่าวสาร, องคค์ วามรู้และความรอบรู้เป็นจานวนมาก หมายมหาศาลร่วมกนั ยงิไปกวา่ นนั , ความรู้สึกของเรา, ความปรารถนาของเรา, แรงกระตุน้ ของเราและ แรงจูงใจของเรานนั เป็นของส่วนบุคคลก็จริงแต่หาไดจ้ าเป็นท่ีจะตอ้ งเป็นของเฉพาะตวั แต่อยา่ งใดไม่ บ่อยครังที่เราเปิดเผยขอ้ วติ กกงั วลอยา่ งใหญ่หลวงส่วนบุคคลใหก้ บั ญาติสนิทมิตรสหายเพื่อนร่วมงานและ แมก้ ระทงัคนแปลกหนา้ ความเขา้ ใจอยา่ งเห็นอกเห็นใจต่อโลกภายในของเรานนั มีความหมายอยา่ งยงิสาหรับพวกเรา 

ชีวติ มนุษยน์ นั มีดว้ ยกนั หลายมิติ ความพยายามใดๆ ท่ีจะลดความหลากหลายของประสบการณ์ใชช้ ีวติ ลง เหลือเพียงแค่ประสบการณ์ทางกายภาพ,ทางจิตใจหรือทางจิตวญิ ญาณนนั จึงเป็นเรื่องไม่สร้างสรรค์ สิงมีชีวติ ที่เรียกวา่ มนุษยน์ นั โดยธรรมชาติแลว้ เป็นสตั วท์ างจิตวทิ ยา,ทางเศรษฐกิจ,ทางสังคม,ทางการเมือง , ทางประวตั ิศาสตร์, ทางสุนทรียศาสตร์, ทางภาษาพดู , ทางวฒั นธรรมและทางอภิปรัชญา การตระหนกั รู้ อยา่ งสมบรู ณ์ต่อความเป็นไปไดข้ องมนุษยน์ นั ไม่เคยเป็นเรื่องที่กระทาไดจ้ ากฝังเดียว ขงจ้ือเช่ือวา่ สภาพแวดลอ้มที่เอ้ืออานวยต่อการเฟื่องฟขูองมนุษยน์นัคือ“ความสามคัคีปรองดองโดยปราศจากความ ความสม่าเสมอกนั ” [13:23] ความเคารพต่อความแตกต่างนนั เป็นสิงที่สาคญั อยา่ งยงิสาหรับการพฒั นา ชุมชนที่สมบูรณ์ข้ึนมา 
  นยั สาคญั ของหลกั จริยธรรมของขงจ้ือในแนวคิดดงั กล่าว คือหลกั หลกั จริยธรรมในดา้ นปลายทาง ขนั สุดทา้ ย, แรงกระตุน้ อนั บริสุทธ์ิ, ความเหมาะสมตามสถานการณ์, การเขา้ มีส่วนเก่ียวขอ้ งทางการเมือง, ความรับผดิ ชอบต่อสงั คมและความเพลิดเพลิน มนั ครอบคลุมทุกยา่ นของโลกที่เราดารงชีวติ อยู่ มนั สันนิษฐานถึงรูปแบบอนั สลบั ซบั ซอ้ นของชีวติ คุณค่าแก่นกลางของคมั ภีร์หลุนอี่วน์ นั คือ เร็น ซ่ึงแตกแยก ยอ่ ยออกไดเ้ป็นความเมตตากรุณา,ความดีงาม,จิตใจความเป็นมนุษยแ์ ละความรัก ขา้ พเจา้ คน้ พบวา่ การ แปลความหมายของหวงิ ชิเฉินอนั ค่อนขา้ งไม่ออ้ มคอ้ มวา่ "ความเป็นมนุษย”์ นนั ค่อนขา้ งเขา้ ใจไดง้ ่ายและ จบั ใจกวา่ สาหรับลทั ธิขงจ้ือแลว้ ,ความเป็นมนุษยน์ นั เป็นคุณงามความดีชนั สูงสุดท่ีครอบคลุมคุณงาม ความดีอื่นๆ ทุกประการ, อยา่ งเช่น ความถูกตอ้ ง, ความสุภาพ, ความภกั ดี, ความเชื่อมนั, ความรอบรู้, ความ เอาใจเขามาใส่ใจเราและความกตญั ญูต่อบิดามารดา ความเป็นมนุษยน์ นั ยงั เป็นคุณงามความดีท่ีกินความ ก ว า้ ง ข ว า ง อ นั ส า ม า ร ถ เ พ มิ พ ู น ต ่ อ ไ ป ไ ด อ้ ี ก ด ว้ ย ค ุ ณ ง า ม ค ว า ม ด ี อ นั เ ป ็ น ท ี ่ ป ร ะ จ กั ษ ท์ ุ ก ๆ ด า้ น ข อ ง ม น ุ ษ ย ์ เ ป ็ น เวลานานหลายปี,นกั วชิ าการในลทั ธิขงจ้ือศึกษาไดอ้ นุมานวา่ เร็นนนั เป็นแง่มุมทางสังคมอนั ไม่อาจ หลีกเลี่ยงได,้ จากหลกั การทางนิรุกติศาสตร์ ตวั อกั ษรดงั กล่าวเกิดจากการผสมผสานตงั กล่าวมาจาก
สญั ลกั ษณ์แทนความคิดที่ส่ือถึงมนุษยแ์ ละสญั ลกั ษณ์แทนคาวา่ สอง เป็นที่เขา้ ใจได,้ ในงานวจิ ยั ปฐมภูมิ ทงั หลาย, นกั อารยธรรมจีนศึกษาผโู้ ด่งดงั อยา่ งปี เตอร์ บูด้ เบิร์ก, ไดโ้ ตแ้ ยง้ วา่ แนวทางที่ถูกตอ้ งของการ ตีความหมายของคาวา่ เร็น นั คือ “ความเป็นมนุษยร์ ่วมกนั ” 
  ในคมัภีร์หลุนอ่ีว,์ความเป็นมนุษยน์นับางครังก็เก่ียวพนัและบางครังก็แปลกแยกจากความรอบรู(ช่ี) และระเบียบพิธีกรรม (ล่ี, ความสุภาพ) มนั ดูเหมือนจะบ่งบอกวา่ คุณภาพภายในตวั ตนนนั เป็ นตวั กาหนด ความจริงและความเป็นจริงของบุคคลผมู้ ีตวั ตนและมีชีวติ นี่อาจเป็นสาเหตุที่ทาใหข้ งจ้ือจดั คุณลกั ษณะการ เรียนรู้ท่ีถูกตอ้ งวา่ เป็น“การเรียนรู้เพอ่ื ประโยชนข์ องตนเอง”,เฉพาะเมื่อผา่ นการอาศยั พ่ึงพิงตนเอง,การบ่ม เพาะตนเองและการบรรลุตนเองเท่านนั ,ที่เราจะกลายเป็นมนุษยท์ ่ีสมบูรณ์ได้ เน่ืองจาก,ตามธรรมเนียม ของลทั ธิขงจ้ือแลว้ , บุคคลนนั คือศูนยก์ ลางของความสัมพนั ธ์, ความเป็นมนุษยน์ นั จึงเป็นทงั เรื่องส่วนตวั และเร่ืองทางสงั คม ในตาราไมไ้ ผท่ ่ีคน้ พบจากเมืองกเู ตียน, ตวั อกั ษรของคาวา่ เร็น (ความเป็นมนุษย)์ นนั ถูกแสดงดว้ยอกัขระสองตวั:ร่างกาย(เช็น)อยดู่า้นบนและจิตใจและหวัใจ(ชิน)อยดู่า้นล่างขอ้ความ
ดงั กล่าวแสดงสัญลกั ษณ์อยา่ งชดั เจนถึงความเป็นมนุษย์วา่ ไม่ใช่แต่เพียงทางสังคมเท่านนั ,หากแต่วา่ เป็น เร่ืองส่วนตวั อยา่ งลึกซ้ึงดว้ ย 

โลกาภิวตั นท์ างเศรษฐกิจนนั มีคุณลกั ษณะโดย ความเป็นเหตุเป็นผลเชิงเครื่องมือ, วทิ ยาศาสตร์, เทคโนโลยี (โดยเฉพาะเทคโนโลยกี ารสื่อสารและสารสนเทศ),การจดั การผเู้ชี่ยวชาญทางดา้ นเทคนิค,ความเป็นมือ อาชีพ,วตั ถุนิยม,การเปิดเสรีและการเลิกการจดั ทางกฎหมายต่อความปรารถนา,และความเลือกของปัจเจก บุคคล “มนุษยเ์ศรษฐกิจ”นนั เป็นสิงมีชีวติ ที่มีสติสามญั สานึกท่ีตระหนกั ในผลประโยชนข์ องตนเอง,
ไดร้ ับการกระตุน้ โดยการเพิม
พนู ความมงัคงั, อานาจและอิทธิพล, ทุ่มเทตวั เองใหก้ บั การเพมิพนู ผลกาไรของ ตวั เองในตลาดเสรีอนั ไดถ้ ูกวนิ ิจฉยั โดยกฎหมาย เขาประกอบข้ึนจากบรรดาคุณค่าของยคุ สมยั ใหม่, อยา่งเช่นเสรีภาพ,ความเป็นเหตุเป็นผล,จิตสานึกที่ถูกตอ้ง,จริยธรรมการทางาน,องคค์วามรู้, ความสามารถทางเทคนิค, เชาวป์ ัญญา, การปฏิบตั ิตามกฎหมายและแรงกระตุน้ จูงใจ แต่กระนนั , คุณค่าที่ สาคญั อื่นๆสาหรับความเป็นปึกแผน่ ของสังคมนนั กลบั ถูกผลกั ใสไปอยเู่บ้ืองหลงั หรือเพิกเฉยโดยสินเชิง อนั ไดแ้ ก่ ความยุติธรรม, ความเห็นอกเห็นใจ, ความรับผดิ ชอบ, ความสุภาพและความเฉลียวฉลาดทาง จริยธรรม 
  ในโลกท่ีถูกจดั คุณลกั ษณะโดยแนวโนม้ ตามหลกั วตั ถุนิยมและความเห็นแก่ตวั , ความกระหายต่อ ความอิมเอมทางจิตวญิ ญาณนนั ตามปกติแลว้ จะเกิดข้ึนในรูปของลทั ธิหวั รุนแรงหรือความเป็นเอกลกั ษณ์ เฉพาะตวั หลกั ความเป็นมนุษยข์ องลทั ธิขงจ้ือ, อนั อธิบายเอาไวใ้ นคมั ภีร์หลุนอี่ว,์ นนั เป็นแนวทางที่สมดุล และเปิดกวา้ งต่อวตั ถุประสงคข์ องชีวติ มนั นาเสนอแนวทางการดาเนินการทางจิตวิญญาณที่จาเป็นสาหรับ ความรู้ในตนเองและมนั นบั เป็นความรอบรู้ปฐมภูมิและแหล่งกาเนิดแรงบนั ดาลใจอนั ทรงความหมาย ตลอดไปต่อการทาความเขา้ ใจในตนเองของมนุษย์ 


THAILAND Ver.