หลักจริยธรรมสากล

1. คายนื ยนั เรื่องหลกั จริยธรรมร่วมกัน


ประธานวาระการประชุม โดย ท่านมัลคอล์ม เฟรเซอร์ ผ้ทู รงเกยี รติ 
อดีตนายกรัฐมนตรีออสเตรเลยี 

เป็นเวลานับพนั ปีแล้วที่ศาสนาสาคญั และประเพณีทางมนุษยนิยมได้กระตุ้นให้ผูค้ นใช้มาตรฐานและ หลกั การทางจริยธรรมข้นั พ้ืนฐานในการดารงชีวิตของตน สภาปฏิสัมพนั ธ์เขา้ ใจอย่างแจ่มแจง้ ว่า หลัก จริยธรรมร่วมกนั ที่ไหลเวยี นอยใู่ นศาสนาสาคญั ของโลก คือพ้นื ฐานของสันติภาพในระยะยาว ตลอดจนโลก ที่มีความเป็นธรรมและสนัติภาพที่ดีที่สุด
  สาหรับวาระที่ผมจะใชเ้พ่อื การยนื ยนั ถึงหลกั จริยธรรมร่วมกนั น้ีจะนาโดยผแู้ นะนาสองท่านคือดร. สตีเฟน ชเลนซอก จากมูลนิธิจริยธรรมสากล และ ดร. ชีค มูฮมั หมดั ฮาบาช จากมหาวทิ ยาลยั อาบดู าบี
  ดร.ชเลนซอกย้าว่าคนต่างศาสนาและวฒั นธรรมไม่ควรให้ความสนใจสิ่งท่ีแบ่งแยกพวกเขาแต่ ควรสนใจสิ่งท่ีพวกเขามีร่วมกนั มากกวา่ มนั ไม่ใช่เรื่องบงั เอิญแต่อยา่ งใด ที่สิ่งซ่ึงกล่าวอา้ งอยใู่ นศาสนาอบั ราฮมั ปรากฏอยใู่ นประเพณีของโลกตะวนั ออกรวมท้งั เป็นจุดสนใจของปรัชญามนุษยนิยมแบบฆราวาสมา นานนบั พนั ปีแลว้ ดงั น้นั การระบุจริยธรรมสากลวา่ เป็นความเห็นพอ้ งข้นั พ้ืนฐานเกี่ยวกบั ค่านิยมมาตรฐานท่ี ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงและเป็นเจตคติส่วนบุคคลท่ีมีผลผกู มดั จึงเป็นสิ่งที่ผทู้ ี่นบั ถือและไม่นบั ถือศาสนา สามารถมีร่วมกนั เขาปรารถนาใหก้ ลุ่มให้ความสนใจต่อความจริงที่วา่ ปัญหาสาคญั ทุกอยา่ งในยุคสมยั ของ เราล้วนมีมิติทางศีลธรรมอย่ดู ว้ ย และโลกท่ีมีความยุติธรรม มีสันติภาพและมีความยงั่ ยืน จะดารงอยู่ได้ก็ ต่อเมื่อเราไดพ้ ิจารณาหลกั คาสอนของศาสนาสาคญั และประเพณีทางมนุษยนิยมแลว้ 
  รายงานของศาสตราจารยฮ์ าบาชส่วนใหญ่เป็นการอธิบายดว้ ยมุมมองของศาสนาอิสลามเขาระบุวา่ ความรับผดิ ชอบตามหลกั จริยธรรมของผูน้ าศาสนาอิสลาม คือการส่งเสริมพลงั ของการเดินสายกลางและ การมีขนั ติธรรมในโลกอิสลาม และเพ่ือให้เกิดเป็นการส่ือสารอย่างมีประสิทธิผลระหว่างพลงั แห่งความดี บนโลกและขบวนการของผูม้ ีความอดกล้นั และผูเ้ดินสายกลางในโลกอิสลามเขาเสนอให้มีการเปิดช่อง สถานีดาวเทียมนานาชาติช่ือ “พระเจา้ องค์เดียว” ซ่ึงรวมพระธรรมคาสอนท้งั หมดไวใ้ นหนงั สือเล่มเดียว และเรียกร้องใหม้ ีการลงนามในปฏิญญาวา่ ดว้ ยหลกั จริยธรรมสากลโดยผนู้ าศาสนาและการเมืองโลก

การอภิปรายที่ตามมาช่วยยืนยนั ถึงความเขา้ ใจเร่ืองหลกั จริยธรรมสากล ซ่ึงได้แก่การพิจารณาว่าในทาง ปฏิบัติในชีวิตของคนท้ังหลาย มันน่าจะหมายความว่าอะไร และควรจัดการเรื่องน้ีท่ามกลางความ หลากหลายอยา่ งไร มีการแสดงความห่วงใยเกี่ยวกบั กระบวนการเลือกต้งั ในโลกประชาธิปไตย ซ่ึงมกั มีการ รณรงค์ในทางลบและการสังหารบุคคลซ่ึงนาไปสู่การขาดแคลนผูน้ าที่ดีกลุ่มผูร้่วมอภิปรายไดเ้น้นย้าถึง ความจาเป็นวา่ ตอ้ งมีการสร้างความมนั่ ใจวา่ ไดม้ ีการเผยแพร่กรอบความคิดทางศีลธรรมและจริยธรรมใน บริบทสาธารณะ การเมือง ธุรกิจ และการศึกษาอยา่ งกวา้ งขวางมากข้ึน 

 


คายนืยนัเรื่องหลักจริยธรรมร่วมกนั 
 ในศาสนาและปรัชญาความเชื่อทางจิตวิญญาณทส่ี าคัญของโลก 

 

ผ้แู นะนาท่านที่ 1: ดร. สตีเฟน ชเลนซอก 
เลขาธิการมูลนิธิจริยธรรมสากล,ทบู ิงเงน 


ความจริงที่ว่า สภาปฏิสัมพนั ธ์เรียกการประชุมน้ีว่า “การใช้หลกั จริยธรรมสากลประกอบการตดั สินใจ” นบั เป็นการตดั สินใจที่ถูกตอ้ งและมีเหตุผลสมควรเพราะช่ือเสียงในระดบั นานาชาติของสภาปฏิสมั พนั ธ์เกิด จ า ก ค ว า ม น ่ า เ ช ่ ื อ ถ ื อ ท า ง ด า้ น ศ ี ล ธ ร ร ม แ ล ะ ด ว้ ย ค ว า ม เ ช ี ่ ย ว ช า ญ แ ล ะ ภ มู ิ ป ั ญ ญ า ซ ่ ึ ง ส ภ า ไ ด เ ้ น น้ ย ้ า ค ร ้ ั ง แ ล ว้ ค ร ้ ั ง เ ล ่ า วา่เป็นค่านิยมท่ีสาคญั ข้นั พ้ืนฐานในการเมืองศาสนาธุรกิจและสังคม  
  มีเหตุผลสาคญั สองประการว่าเหตุใด เราจึงไม่ได้พูดคุยกันแค่เรื่อง “นโยบายสากล” หรือ “เศรษฐกิจสากล” แต่ยงั พูดเร่ือง“จริยธรรมสากล” ดว้ ยในโลกท่ีมีความเป็นโลกาภิวตั น์มากข้ึนเรื่อยๆก็ เพราะในแง่หน่ึง มนั เก่ียวขอ้ งกบั ความจาเป็นวา่ ตอ้ งมีมาตรฐานทางจริยธรรมสากลในโลกปัจจุบนั และใน อีกแง่หน่ึงมนั เก่ียวขอ้ งกบั ฮนั ส์ คุง นกั เทววิทยาชาวสวสิ ซ่ึงเป็นท่ีปรึกษาแก่สภาปฏิสัมพนั ธ์อยหู่ ลายปี ตวั ผมเองก็เคยทางานร่วมกบั ฮนั ส์ คุง ถึง 30 ปี และเขาไดฝ้ ากใหผ้ มช่วยกล่าวตอ้ นรับดว้ ยความอบอุ่นต่อผรู้ ่วม การประชุมคร้ังน้ีดว้ ย

ผมขอกล่าวถึง ฮนั ส์ คุง ก่อนสักเล็กน้อย ช่วงทศวรรษ 80 เขาได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยน กระบวนทศั นจ์ ากยคุ สมยั ใหม่ สู่ หลงั ยคุ สมยั ใหม่ และผลลพั ธ์ของมนั ต่อศาสนา การเมือง และสังคม เขาได้ กล่าวไวใ้ นหนังสือของเขาคือ “ความรับผิดชอบสากล: การแสวงหาจริยธรรมโลกใหม่” [Global Responsibility: In Search of a New World Ethics (New York 1991)] วา่ เผา่ พนั ธุ์มนุษยท์ ี่ถูกทาให้มีความ เป็นโลกาภิวตั น์มากข้ึนเร่ือยๆ จะดารงอยู่ในระยะยาวได้ก็ต่อเม่ือ “ไม่มีช่องว่างสาหรับพ้ืนท่ีของความ แตกต่างความขดั แยง้ และแมแ้ ต่หลกั จริยธรรมท่ีเป็นปฏิปักษ์ต่อกนั อีกต่อไป” เขาบอกว่าโลกน้ีไม่ได้ ตอ้ งการอุดมการณ์แบบเดียวกัน แต่ด้วยเหตุท่ีมีความแตกต่างระหว่างเผ่าพนั ธุ์ ชาติ และวฒั นธรรม จึง จาเป็นตอ้งมีค่านิยมมาตรฐานและเจตคติทางจริยธรรมบางอยา่งท่ีเชื่อมโยงและร้อยรัดโลกเขา้ดว้ยกนั โลก ท่ีเป็นโลกาภิวตันข์องเราตอ้งการจริยธรรมสากล!
  ตอนน้นั การสารวจความคลา้ ยคลึงกนั ทางจริยธรรมระหว่างศาสนาและวฒั นธรรมของ ฮนั ส์ คุง นบั ว่าเป็นเร่ืองใหม่และเป็นความทา้ ทายสาหรับหลายคน คาขวญั “ไม่มีสันติภาพระหว่างชาติที่ปราศจาก ส ั น ต ิ ภ า พ ร ะ ห ว า่ ง ศ า ส น า ” ท ่ ี เ ข า ใ ช ้ เ ป ็ น ค ร ้ ั ง แ ร ก ใ น ป ี 1 9 8 4 ค ื อ ก า ร แ ส ด ง ว า่ เ ข า ต ่ อ ต า้ น ผ ู ท้ ่ ี ย ื น ย นั แ ต ่ เ พ ี ย ง ฝ ่ า ย เดียว ถึงแนวโนม้ ของการเกิดความขดั แยง้ ในนามของศาสนา แนวคิดเร่ืองจริยธรรมสากลมีพ้ืนฐานอยู่บน ความเชื่อวา่ คนต่างศาสนาและวฒั นธรรมไม่ควรใหค้ วามสนใจต่อสิ่งที่ทาให้พวกเขาแตกแยก แต่ควรสนใจ สิ่งที่พวกเขามีร่วมกนั มากกวา่ ดว้ ยเหตุน้ีเราจึงจาเป็นตอ้ งมีการเสวนาระหวา่ งวฒั นธรรมและระหวา่ งศาสนา โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ เราจาเป็นตอ้ งเรียนรู้วา่ ในส่วนของค่านิยมและจริยธรรมน้นั เราต่างก็มีอยรู่ ่วมกนั มากกวา่ ที่เราคิดไวด้ ว้ ยซ้า และเราทุกคนก็รู้อยแู่ ลว้ วา่ ค่านิยมร่วมกนั น้ีคือสิ่งสาคญั ข้นั พ้นื ฐาน ไม่ใช่เพียงแค่ชีวติ ของ บุคคลและครอบครัวเท่าน้นั แต่ยงัรวมถึงสังคมสมยัใหม่ของเราในทุกดา้นดว้ย 
 
เช่นน้นั แลว้ เหตุใดการสนทนาเร่ืองค่านิยมร่วมกนั เกี่ยวกบั “จริยธรรมสากล”จึงเป็นสิ่งท่ีสมควรทาในเมื่อ หลกั ความเช่ือและปรัชญาของศาสนาและประเพณีทางมนุษยนิยมลว้ นมีความแตกต่างกนั ท้งั สิ้น? คาตอบก็ คือเป็นเพราะในการจุติของมนุษย์ซ่ึงเป็นผูท้ ี่มีแนวโน้มของการเป็นพวกอตั นิยมเชื่อมนั่ ในความคิดของ ตนเอง และชอบใช้ความรุนแรง จาเป็นตอ้ งเรียนรู้การประพฤติตนเฉกเช่นมนุษยท์ ี่แทจ้ ริง นักชีววิทยา วิวฒั นาการและนักจิตวิทยาได้แสดงให้เห็นว่าเคล็ดลับความสาเร็จของเผ่าพนั ธุ์มนุษย์ไม่ได้เกิดจาก ห ล กั ก า ร ท า ง ส ั ง ค ม ต า ม ท ฤ ษ ฎ ี ข อ ง ด า ร ์ ว ิ น ซ ่ ึ ง เ ข า้ ใ จ ผ ิ ด ก นั ท ี ่ ว ่ า เ ป ็ น “ ก า ร อ ย ่ ู ร อ ด ข อ ง ผ ู เ ้ ห ม า ะ ส ม ท ี ่ ส ุ ด ” ส ั ก เท่าไร แต่เป็นเพราะความสามารถของมนุษยใ์ นการกระทาการดว้ ยการมีอารมณ์ร่วมและดว้ ยความร่วมมือ มากกวา่
  น่ีคือเหตุผลว่าทาไมมนุษยจ์ ึงสร้างค่านิยมและหลกั การทางจริยธรรม เพื่อเป็นพ้ืนฐานของการอยู่ ร่วมกนั ไดส้ าเร็จ น่ีคือสิ่งที่เกิดข้ึนทวั่ โลกและในทุกวฒั นธรรม และตลอดช่วงเวลานบั พนั ปี ศาสนาสาคญั และประเพณีทางมนุษยนิยมของมนุษยชาติ คอยกระตุน้ ผคู้ นให้นาเอามาตรฐานและหลกั การทางจริยธรรม ข้นั พ้ืนฐานไปใชเ้สมอมาอยา่งแรกเลยก็คือมนุษยธรรมและการตอบแทนกนั และกนั 
 

  • มนุษยธรรม ในความหมายของ ความเป็ นมนุษยกล่าวคือมนุษยท์ ุกคนสมควรไดร้ ับการปฏิบตั ิ อยา่ งที่มนุษยพ์ ึงปฏิบตั ิต่อกนั
  • การถอ้ ยทีถอ้ ยปฏิบตั ิ ในความหมายของ กฎทองคาซ่ึงเป็ นที่รู้จกั กนั ทวัไป นนัคือ จงอย่าปฏิบัติ ต่อผ้อู ื่นในสิ่งที่ท่านไม่ปรารถนาจะให้ผ้อู ื่นปฏิบัติต่อท่าน” 


  หลกั การท้งั สองขอ้ น้ี ปรากฏอยู่ในค่านิยมทางจริยธรรมข้นั พ้ืนฐานบางส่วน เช่น การไม่ใช้ความรุนแรง ความยตุ ธิ รรม ความจริง และการปกป้ องคุ้มครองเพศวถิ ี
  บรรทดั ฐานทางจริยธรรมมกั ถูกแสดงอยู่ในสถานการณ์อย่างใดอย่างหน่ึงเสมอ ในท่ีแห่งหน่ึง โดยเฉพาะ ณ เวลาหน่ึง และท่ามกลางผูค้ นท่ีอาศยั อย่ตู รงน้นั และมนั ก็ถูกแสดงออกดว้ ยวิธีที่แตกต่างกนั ดว้ ยเหตุที่มนั ฝังรากอยใู่ นยุคสมยั ของมนั และข้ึนอยกู่ บั องค์ประกอบที่เอ้ืออานวยโดยเฉพาะ บางคร้ังจึงไม่ เพียงแต่มีการปฏิบตั ิตามบรรทดั ฐานไปตามลาดบั ความสาคญั ท่ีเปลี่ยนไปเท่าน้นั แต่ยงั อาจสูญหาย ถูกลืม หรือแมแ้ ต่ จงใจละเลยดว้ ยซ้าไป ดว้ ยเหตุผลทางการเมืองหลายคร้ัง ทวา่ มีการใช(้ หรือควรใช)้ มาตรฐานทาง จริยธรรมขนั พ้ืนฐานบางอยา่ งในทุกวฒั นธรรม ประสบการณ์ท่ีผ่านมาไดแ้ สดงใหเ้ ห็นว่ามีค่านิยมเกี่ยวกบั ชีวติ ท่ีคลา้ ยกนั ปรากฏใหเ้ห็นครังแลว้ ครังเล่า 
  ดงั น้นั จึงไม่ใช่เรื่องบงั เอิญท่ีสิ่งซ่ึงกล่าวอา้ งในคมั ภีร์ฮิบรู พระคมั ภีร์ใหม่ และ คมั ภีร์กุรอาน วา่ เป็น คาสั่งสอนของพระเจา้ ก็เป็นหลกั จริยธรรมในศาสนาฮินดู ศาสนาพุทธ ศาสนาเชน และในวฒั นธรรมจีน และยงั คงเป็นจุดสนใจของปรัชญาแนวมนุษยนิยมแบบฆราวาสเป็นเวลาหลายพนั ปี แมจ้ ะด้วยเหตุผลที่ ต่างกนั ก็ตาม ดงั น้นั หลกั จริยธรรมสากลจึงเป็นสิ่งท่ีคนซ่ึงนบั ถือและไม่นบั ถือศาสนา สามารถยึดถือร่วมกนั นกัมานุษยนิยมแบบฆราวาสและพวกอไญยนิยม(ผทู้่ีไม่ตดัสินใจเชื่อวา่พระเจา้สิงศกัด์ิสิทธ์ิหรือแมแ้ต่นรก สวรรค์วา่ มีอย่จู ริงไม่นายลีกวนยูอดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐบุรุษของสิงคโปร์ก็บอกวา่ เขาเป็นพวกอไญย นิยม) จึงสามารถระบุหลกั จริยธรรมเหมือนกบั พวกที่นบั ถือศาสนาท้งั หลาย 
  เหตุการณ์สาคญั ในประวตั ิของการจดั ศาสนเสวนา คือการมีมติเห็นชอบใน “ปฏิญญาสู่จริยธรรม สากล” โดยสภาศาสนาโลกเมื่อปี 1993 ซ่ึงเป็ นปฏิญญาที่แสดงว่าหลกั การและค่านิยมเหล่าน้ีคือแก่นสาร แห่งจริยธรรมร่วมกนั ของมนุษยชาติ การลงนามในปฏิญญาฉบบั น้ี โดยผูแ้ ทนของศาสนาซ่ึงเป็นที่รู้จกั ใน โลกน้ีทุกศาสนาคือการอธิบายอยา่งชดั เจนวา่สิ่งท่ีเขา้ใจวา่เป็น“จริยธรรมสากล”คืออะไรมาต้งัแต่ตน้ 

“โดยคาว่า จริยธรรมสากล เราไม่ได้หมายถึง อุดมการณ์สากล หรือ ศาสนาที่ถูกรวมเข้าเป็นหนึ่ง เดียวกันอยู่เหนือศาสนาที่มีอยู่เดิมทั้งหมด และไม่ใช่การครอบงาของศาสนาหนึ่งเหนือศาสนาอื่นทั้งปวง แน่นอน คาว่า จริยธรรมสากล นี้ เราหมายถึงฉันทามติพื้นฐานเกี่ยวกับค่านิยม มาตรฐานที่ไม่สามารถ เปลี่ยนแปลง และเจตคติส่วนบุคคลที่มีผลผกู มดั ” 
 
ผมขออธิบายตรงน้ีใหก้ ระจ่าง หลกั จริยธรรมสากลไม่ตอ้ งการเขา้ ไปแทนที่หลกั จริยธรรมของแต่ละศาสนา แต่ตอ้ งการสนับสนุน การคิดเขา้ ไปแทนที่หรือปรับปรุงหนังสือโทราห์(หลกั คาสอน)ของศาสนายิว คา เทศนาบนภูเขาของพระเยซูของคริสตศ์ าสนา คมั ภีร์กุรอานของศาสนาอิสลาม คมั ภีร์ภควตั คีตาของศาสนา ฮินดูหลกั คาสอนของพระพุทธเจา้ หรือคาสอนของขงจื๊อนับเป็นความเขลาและเป็นมายาเพราะหลกั คา สอนดงั กล่าวยงั คงเป็นพ้ืนฐานและกรอบแห่งความเชื่อและการดารงชีวิตความคิดและการกระทาของคน หลายพนั ลา้ นคนเช่นเดิม ศาสนาต่างๆ ควรดารงสิ่งที่เป็นลกั ษณะเฉพาะ และเนน้ ย้าสิ่งเหล่าน้นั ในหลกั การ ของศาสนา พิธีกรรมและชุมชนของตน แต่ขณะเดียวกนั ก็ตอ้ งยอมรับและตระหนกั ถึงสิงที่มีอยรู่ ่วมกนั ใน ส่วนของคาสอนทางจริยธรรมขนั พ้ืนฐานบางอยา่ งดว้ ย 
  ในทางตรงกนั ขา้ ม จริยธรรมสากลก็ไม่ไดต้ ดั สินคาถามทางจริยธรรมซ่ึงเป็นท่ีโตแ้ ยง้ กนั ระหว่าง หรือภายในศาสนาต่างๆ เพราะคาถามเหล่าน้ัน ซ่ึงหาฉันทามติระหว่างศาสนาหรือแมแ้ ต่ภายในศาสนา เดียวกนั ยงั ไม่ได้หรืออยา่ งนอ้ ยในขณะน้ีไม่มีทางเป็นสาระสาคญั ของจริยธรรมสากลไดอ้ ยา่ งแน่นอนนนั่ คือเหตุผลวา่ ทาไม ปฏิญญาสู่จริยธรรมสากล จึงไม่ไดร้ วมปัญหาซ่ึงยงั ไม่มีฉนั ทามติในปัจจุบนั ตวั อยา่ งเช่น การคุมกาเนิด การทาแทง้ การรักร่วมเพศ และการการุณยฆาตเอาไวด้ ว้ ย ทวา่ แทนที่จะพยายามทาให้สังคมมี ความเห็นเกี่ยวกบั ประเด็นท่ีขดั แยง้ ไปในทางเดียวดงั ที่พบเห็นบ่อยคร้ัง ศาสนาและปรัชญาความเช่ือทางจิต วญิ ญาณมีหนา้ที่และความรับผิดชอบในการสนบั สนุนใหเ้กิดฉันทามติซ่ึงจะเป็นการช่วยเหลือบุคคลและ ช่วยสร้างสันติภาพในสังคม ดว้ ยการพิจารณาและอภิปรายคาถามดงั กล่าวบนพ้ืนฐานของบรรทดั ฐานทาง จริยธรรมกวา้งๆ 
  อยา่ งไรก็ดี ปฏิญญาวา่ ดว้ ยจริยธรรมสากลของสภาศาสนาโลก ก็ไม่ใช่การแถลงในนามของพระเจา้ ถา้ คุณตอ้ งการหลกั คาสอน อย่างเช่น คาสอนของศาสนาพุทธและลัทธิขงจื๊อ ลัทธิเต๋า และคาสอนของ ฆราวาสทวั่ ไป คุณก็ไม่ควรที่จะไม่เห็นดว้ ยกบั สิทธิอานาจของพระเจา้ 

ท้งั น้ีตอ้ งยกความดีแก่สภาปฏิสมั พนั ธ์อยา่ งมาก ที่ตระหนกั ถึงความสาคญั ของค่านิยมแบบขา้ มวฒั นธรรมต่อ สังคมของเราและความพยายามของสภาก็ส่งผลให้เกิดเป็นขอ้ เสนอว่าด้วย“ปฏิญญาสากลว่าด้วยความ รับผดิ ชอบของมนุษยชน” ในปี 1997 ซ่ึงเทียบเคียงไดก้ บั ปฏิญญาวา่ ดว้ ยสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ สภามีความมนั่ ใจวา่ “ไม่สามารถบรรลุซ่ึงการมีระเบียบทางสังคมที่ดีข้ึนท้งั ในระดบั ชาติและนานาชาติดว้ ย การออกกฎหมาย คาสั่ง และข้อตกลงเพียงอย่างเดียว แต่จาเป็นตอ้ งมีหลักจริยธรรมสากลด้วย ความ ปรารถนาในความก้าวหน้าของมนุษยจ์ ะเป็นจริงได้ ด้วยการใช้ค่านิยมและมาตรฐานท่ีเห็นพอ้ งกนั กับ ประชาชนและสถาบนั ท้งั หลายตลอดเวลา” สิบปี ให้หลงั ในเดือนพฤษภาคม ปี 2007 ที่ “การประชุมกลุ่ม ผูเ้ชี่ยวชาญระดบั สูง”ในเมืองทูบิงเงนประเทศเยอรมนีสภาก็ได้พูดถึงข้อกังวลน้ีอีกคร้ังหลังจากการ อภิปรายในหวัขอ้“ศาสนาของโลกในฐานะที่เป็นปัจจยัหน่ึงในการเมืองโลก” 
 
ค่านิยมคือสิ่งที่แสดงถึงแนวคิดและมาตรฐานท่ีสามารถและควรใชเ้ป็นแนวทางในการดาเนินกิจกรรมของ มนุษยเ์สมอและเราทุกคนก็รู้ว่าการนาค่านิยมไปใช้ในการเมืองและสังคมน้ันเป็นสิ่งสาคญั ทว่ายากเยน็ เพยี งใดเราไดย้ นิ ไดฟ้ ังข่าวเกี่ยวกบั การเปิดโปงและเรื่องอ้ือฉาวในทางการเมืองธุรกิจและสังคมซ่ึงมีสาเหตุ จากความลม้ เหลวทางจริยธรรมนอกเหนือจากปัจจยั อ่ืนๆทุกวัน แมแ้ ต่ศาสนาซ่ึงควรเป็นตวั แบบบทบาท และตวั แทนของค่านิยมและศีลธรรม กลบั ถูกมองว่าติดอย่กู บั ผลประโยชน์แอบแฝงของตน ก็ไม่วายถูก สั่นคลอนดว้ ยเรื่องอ้ือฉาว เกิดความแตกแยกดว้ ยขอ้ ขดั แยง้ ภายในและการผิดใจกนั เราจะพูดถึงประเด็น เหล่าน้ีท้งั ในเชิงบวกและลบ ในช่วงการประชุมของเรา 
 
  ดว้ ยเหตุน้ีโลกของเราจึงตอ้ งการผคู้ นและองคก์ รท่ีพดู คุยกบั มโนธรรมของตวั เองมากกวา่ ที่เคย เป็น คนและองคก์ รที่ช่วยช้ีทางให้เรา คอยเตือนเราเกี่ยวกบั สิ่งท่ีทาให้เราเป็นมนุษยท์ ่ีมีความเป็นมนุษยม์ ากข้ึน ไม่ไดจ้ ากดั อย่ใู นขอบเขตของการเมือง สังคม ศาสนา และวฒั นธรรมเท่าน้นั กล่าวคือเป็น มนุษยธรรม ที่ สะทอ้ นอย่ใู นค่านิยมซ่ึงเป็นท่ียอมรับของสากลและเป็นพ้ืนฐานสาหรับการอย่รู ่วมกนั ดว้ ยความเคารพ มี เสรีภาพ และสันติภาพ 

ผมมนั่ ใจวา่ สภาปฏิสมั พนั ธ์ คือที่ประชุมแบบน้นั และผมใคร่ขอสนบั สนุนใหส้ ภาเสนอคาแนะนาบางอยา่ ง ในตอนทา้ ยการประชุมของเรา ท่ีไปในทางเดียวกบั สิ่งที่สภาเคยทามาก่อน และสิ่งท่ีเราจะอภิปรายกนั ในที่ ประชุมน้ี 

  •   เป็ นคาแนะนาซ่ึงระบุไวอ้ ย่างชัดเจนว่าปัญหาสาคญั ในยุคสมยั ของเราทุกปัญหาล้วนมีมิติทาง ศีลธรรมท้งั สิ้น

  •   เป็ นคาแนะนาซ่ึงทาให้เกิดการตระหนกั วา่ โลกที่มีความยุติธรรม มีสันติภาพ และยงั่ ยืน เกิดข้ึนได้ เมื่อเราได้พิจารณาคาสอนของศาสนาและประเพณีทางมนุษยนิยมที่สาคญั ในการตอบคาถามที่ เกี่ยวขอ้ งกบั สิ่งซ่ึงเป็นลกั ษณะร่วมกนั ของคนกลุ่มต่างๆ 

 
ในปี 2003 โคฟี อนั นนั เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติสมยั น้นั ไดเ้ ขา้ ร่วม “การบรรยายวา่ ดว้ ยหลกั จริยธรรม สากล” ท่ีมหาวิทยาลัยทูบิงเงน ช่วงปี 2003 สงครามอิรักซ่ึงเป็นท่ีวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเพิ่งเริ่มตน้ ท่ามกลางความขดั แยง้ ดงั กล่าว โคฟี อนั นนั ไดต้ งั คาถามว่า เรายงั คงมีค่านิยมสากลกนั อย่หู รือไม่? และใน การกล่าวสรุปเขาไดเ้สนอคาตอบดงั น้ี 
 

    • “ใช่ เรายงั มีอยู่ แต่เราไม่ควรทาเหมือนมนั ไม่มีความสาคญั
    • ตอ้งพิจารณามนัดว้ยความรอบคอบ
      ตอ้ งปกป้องมนั
      ตอ้ งทาใหม้ นั มีประสิทธิภาพยงิ่ ข้ึน 

 
และเราจาเป็นตอ้ งคน้ หาเจตจานงภายในตวั เรา วา่ จะดารงชีวติ ตามค่านิยมท่ีเรากล่าวอา้ ง ในชีวิตส่วนตวั ของ เรา ในสงั คมทอ้ งถิ่นและสังคมแห่งชาติของเรา และในโลกน้ี” 

 

การใช้หลกัจริยธรรมสากลประกอบการตดัสินใจ 

 
ผ้แูนะนาท่านที่2ดร.ชาอคิ มูฮัมหมัดฮาบาช
ศาสตราจารย์, อสิ ลามศึกษา, มหาวทิ ยาลยั อาบูดาบี 

อัสลามมอุ ะลัยกุม วะเราะมาต อัลเลาะห์ 
 
ขอความสนั ติจงดารงอยกู่ บั ท่านท้งั หลาย! 
 
ผมมีความยนิ ดีที่ไดพ้ ดู คุยกบั ท่านในการประชุมคร้ังสาคญั น้ี ร่วมกบั ผนู้ าทางจิตวญิ ญาณและทางการเมืองผู้ ยิ่งใหญ่ เรากาลงั พยายามสร้างโลกแห่งสันติภาพ เสรีภาพ และการเสวนาเรื่องการใช้หลกั ศีลธรรมและ จริยธรรมประกอบการตดัสินใจ 

  ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้พูดจากมุมมองของศาสนาอิสลาม ซ่ึงเป็นการยืนยนั ถึงสิ่งที่ท่านศาสดา เรียกร้องสารแห่งความรักและขนั ติธรรม นี่คือสิ่งที่ท่านศาสดาเทศนา และสรรเสริญผา่ นทางสารของท่าน ศาสดามูฮมั หมดั (ขอความสันติจงดารงอย่กู บั ท่าน) ผูซ้ ่ึงยืนยนั สารดงั กล่าวในหนงั สือโทราห์และไบเบิล สารดงั กล่าวประกอบดว้ ยเสาหลกั หา้ ประการ, และเช่ือวา่ มีอยสู่ องเสาหลกั ที่ปรากฏอยใู่ นศาสนาอื่น และใน สิ่งซ่ึงเป็นที่เคารพและความเช่ือของพวกเขาดว้ ย ผ่านวจนะของพระศาสดามูฮมั หมดั “ศรัทธาถูกสร้างข้ึน จากเสาหลกั ท้งั หา้ ” ซ่ึงไดแ้ ก่ ความเชื่อในพระเจา้ เทวทูต พระคมั ภีร์ ผแู้ จง้ ข่าวสาร และวนั พิพากษา 

ด้วยเหตุน้ีอิสลามจึงไม่ถือว่าใครเป็นมุสลิมเวน้ แต่เขามีความเชื่ออย่างลึกซ้ึงในคาสอนของศาสดา ศาสดาอิบราฮิมของพระเจา้ บิดาของศาสดาท้งั หลาย และศาสดาโมเสสของพระเจา้ และพระเยซูบุตรแห่งแม ร่ี... และศาสดาอื่นๆท้งั หมด ดงั ท่ีพระเจา้ ไดก้ ล่าวไว:้ ผแู้ จง้ ข่าวสาร (มูฮมั หมดั ) เชื่อในสิ่งที่ถูกส่งจากพระผู้ เป็ นเจา้ มาถึงเขา และผศู้ รัทธา(ก็เช่ือเช่นกนั ) ทุกคนต่างเช่ือในองค์อลั เลาะห์ เทวทูต พระคมั ภีร์ และผูแ้ จง้ ข่าวสารของท่าน ท่านสั่งใหเ้ ราเช่ือในศาสดาของพระเจา้ องคอ์ ่ืนที่อยใู่ นโลกท้งั หมด แมแ้ ต่ผทู้ ี่ไม่ไดร้ ับการ เอ่ยถึงในคมั ภีร์กุรอาน หนงั สือโทราห์ และไบเบิล ศาสนาแห่งตะวนั ออก ดินแดนแห่งการฝึกจิตวิญญาณ และการทาสมาธิ: “และ(เราไดส้ ่ง)ผแู้ จง้ ข่าวสาร ซ่ึงเราไดเ้ อ่ยถึงกบั ท่านมาก่อน และผแู้ จง้ ข่าวสารที่เราไม่ได้ เอ่ยถึงกบั ท่าน” 

ปัจจุบนั ศาสนาอิสลามได้รับความเสียหายจากการบิดเบือนดว้ ยปรากฏการณ์ความกลวั ศาสนาอิสลาม ท่ี แพร่กระจายไปทวั่ โลก อนั เป็นผลจากการสร้างความหวาดกลวั ในโลกอิสลาม ผมเชื่อวา่ การขาดเสรีภาพและ ประชาธิปไตย ความลม้ เหลวของชุมชนนานาชาติในการบรรลุซ่ึงความเป็นน้าหน่ึงใจเดียวในหมู่ชาติท่ี ร่ารวยและยากจน และการปกครองผคู้ นดว้ ยระบอบเผด็จการในโลกอิสลาม นาพาให้ความหวาดกลวั อุบตั ิ ข้ึนเพื่อเป็นหนทางของการเป็นอิสระจากการถูกปราบปรามและการกดข่ี ดงั น้นั การกดขี่และการต่อตา้ นการ กดขี่อย่างกวา้ งขวาง จึงนาไปสู่ปรากฏการณ์ความกลวั ศาสนาอิสลาม ตวั อย่างที่ทาให้เกิดความเขา้ ใจผิด ไดแ้ ก่เหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนในโลกอิสลามที่ระทมทุกขใ์ นปัจจุบนั 
 
  ความรับผดิ ชอบทางจริยธรรมของเรา ดงั ที่ผนู้ าทางศาสนาไดส้ รุปไวว้ า่ เราตอ้ งส่งเสริมพลงั ของการ เดินสายกลางและขนั ติธรรมในโลกอิสลามและช่วยให้เกิดการส่ือสารอย่างมีประสิทธิภาพระหว่างพลงั แห่งความดีบนโลก และขบวนการของผมู้ ีขนั ติธรรมและผูเ้ ดินสายกลางในโลกอิสลาม ขบวนการดงั กล่าว ไม่เชื่อในความหวาดกลวั และไม่ยอมรับอาชญากรรมภายใตส้ ังกดั ใดก็ตาม ซ่ึงทาใหบ้ รรลุสิงท่ีพระเจา้ ผทู้ รง เดชานุภาพตรัสไวใ้ นคมั ภีร์กุรอานว่า “(ไม่ว่าเขาจะพูดหรือทาอะไรก็ตาม) จงปฏิเสธความชวัร้าย(ที่เขาได้ ทา)ดว้ ยสิงท่ีดีกว่า” และสิงท่ีพระเยซูตรัสไวใ้ นพระคมั ภีร์ใหม่วา่ “ผมู้ ุสาคือคนที่บอกวา่ จงปฏิเสธความชวัร้ายดว้ ยความชวัร้าย ปล่อยให้เขาก่อกองไฟสองกอง แลว้ ดูกนั วา่ ใครจะดบั ไฟของอีกฝ่ ายหน่ึง?” จงปฏิเสธ ค ว า ม ช วั ร ้ า ย ด ว้ ย ค ว า ม ด ี ป ฏ ิ เ ส ธ ค ว า ม ม ื ด ด ว้ ย ค ว า ม ส ว า่ ง ก ฎ ข อ ง พ ร ะ เ จ า้ เ ป ็ น เ ช ่ น น นั 
  ยิงกว่านัน การไม่ใช้หลักจริยธรรมในการตัดสินใจของชาติมหาอานาจในโลก และการใช้ ผลประโยชน์ทางการเมืองเป็นเป้าหมายเดียวในการสร้างพนั ธมิตรและการยุติความขดั แยง้ ที่นาไปสู่ความ ลม้ เหลวครังใหญ่ นอกจากน้ี ความเชื่อมนัในหมู่ชนและสถาบนั ระหวา่ งประเทศไดอ้ นั ตรธานไป หลายชาติ ปฏิเสธสหประชาชาติและพนั ธมิตรระหว่างประเทศ ท่ีพวกเขามองว่ายืนอยู่ตรงขา้ มกับมาตรฐานแห่ง จริยธรรมและความยุติธรรม สิงเหล่าน้ีสะทอ้ นอย่ใู นผลประโยชน์ทางการเมืองของมหาอานาจน้อยใหญ่ สันติภาพและความมนัคงถูกคุกคามในทุกที่บนโลกใบน้ี และคนก็เลือกท่ีจะใช้อาวุธและความหวาดกลวั แทน 
  มื่อพจิ ารณาทุกอยา่ งแลว้ ผมจึงขอใหท้ ี่ประชุมของเราจดั ทาขอ้ ตกลงร่วมกนั เกี่ยวกบั หลกั จริยธรรม ของมนุษย์ ท่ีดาเนินการโดยคณะกรรมการพเิ ศษซ่ึงประกอบดว้ ยพวกเราซ่ึงอยใู่ นที่ประชุมน้ี และลงนามโดย ผนู้ าทางการเมืองและศาสนา โดยเราจะใช้เวลาในการเผยแพร่ขอ้ ตกลงน้ีถึงผนู้ าทางการเมืองและศาสนาใน โลกท้งั หมดภายใน 1 ปี เพื่อให้มีบุคคลผูม้ ีชื่อเสียงและอิทธิพลในระดบั นานาชาติไดร้ ่วมลงนามมากที่สุด เท่าท่ีจะมากได้จากน้นั เราจะเชิญเขา้ร่วมการประชุมภายใตร้่มเงาของสหประชาชาติเพื่อให้มีการอนุมตั ิเป็น ขอ้ ตกลงระหวา่ งประเทศ เช่น ขอ้ ตกลงร่วมกนั วา่ ดว้ ยสิทธิมนุษยชนซ่ึงมีส่วนช่วยเหลือชาติที่ประสบความ ทุกขย์าก 

ผมกาลงั พดู ถึงคุณจากซีเรียซ่ึงกาลงั บาดเจบ็ อยา่ งหนกั จากการประสบความทุกขท์ รมานและความหวาดกลวั สารพดั รูปแบบ ในสงครามซ่ึงเป็นการเผชิญหนา้ ดว้ ยการนองเลือดระหวา่ งเจตจานงและสิทธิเสรีภาพของ ประชาชน เพ่ือต่อตา้ นระบอบการปกครองเผด็จการ ท่ีไม่เชื่อในเสรีภาพหรือศกั ด์ิศรีความเป็นมนุษยห์ รือ สิทธิมนุษยชน เป็นหนา้ ท่ีของผมที่จะตอ้ งขยายคาขอบคุณอย่างใจจริงถึงผูท้ ่ียืนหยดั ร่วมกบั ประชาชนชาว ซีเรียท่ามกลางความเจ็บปวดรวดร้าวของพวกเขา จริงๆแล้ว การแสดงความศรัทธาท่ีดีท่ีสุดก็คือการ สนบั สนุนผทู้ ่ีถูกกดขี่นนัเอง ดงั ท่ีพระเจา้ ตรัสไวว้ า่ การแสดงความศรัทธาที่ดีที่สุดก็คือการช่วยเหลือผทู้ ี่ถูก กดขี่ 
  อารยธรรมในซีเรียเริ่มตน้ ข้ึนเมื่อหกพนั ปีก่อนและมีศาสนาและศาสดาถือกาเนิดบนดินแดนท่ีดีงาม แห่งน้ีและไดเ้ผยแพร่ภูมิปัญญาและแสงสวา่ งในทุกส่วนของโลกน้ีนบั แต่สมยั ของอบั ราฮมั เป็นตน้ มาซีเรีย ก็ไดก้ ลายเป็นดินแดนศกั ด์ิสิทธ์ิสาหรับผศู้ รัทธาจากทวั่ โลกคือจุดหมายที่ศกั ด์ิสิทธ์ิสาหรับผศู้ รัทธาทุกคน ในโลก ที่เสาะแสวงหาการหลุดพน้ ทางจิตวิญญาณ เพื่อตอบสนองดว้ ยความดี ความรัก และเขา้ ใกลอ้ งคอ์ ลั เลาะห์ยงิ่ ข้ึน 
  ข้อเท็จจริงเหล่าน้ีแสดงให้เห็นถึงฉันทามติท่ีเป็นปึกแผ่นในหมู่ชนผู้ฉลาดในโลกน้ี ผมขอ สนบั สนุนบทบาทของท่านผนู้ าศาสนาท่ีมารวมตวั กนั ในองคก์ รที่สูงส่งในวนั น้ี ภายใตร้ ่มเงาแห่งพระวจนะ ขององคอ์ ลั เลาะห์ผทู้ รงเดชานุภาพท่ีว่า: ขอผทู้ ี่ศรัทธา จงดารงอยใู่ นความสันติทุกท่าน และจงอยา่ ดาเนิน รอยตามหมู่มาร (คมั ภีร์กุรอานศกั ด์ิสิทธ์ 2/208) 
  การทาความเขา้ ใจถอ้ ยคาทางศาสนาของเราก็ จาเป็ นตอ้ งมีการพิจารณาอยา่ งรอบคอบ เพราะมีการ ใ ช ภ้ า ษ า ท ี ่ ย โ ส โ อ ห งั แ ล ะ เ ป ็ น ก า ร ก ี ด ก นั ใ น ถ อ้ ย ค า ท า ง ศ า ส น า ท ุ ก ท ี ่ ใ น โ ล ก น ้ ี ใ น ค ว า ม ค ิ ด ข อ ง ผ ม ถ อ้ ย ค า เ ช ่ น น ้ ี ช่างห่างไกลจากจิตวิญญาณของศาสนาที่ถูกนามาเพื่อให้คนเกิดขนั ติธรรมและความเมตตาห่างไกลจาก ถอ้ ยคาทางศาสนาท่ีถูกผสมผสานกบั การเมืองและการจดั อนั ดบั ยงั มีผูค้ นที่ซื่อสัตยอ์ ยู่ในที่ซ่ึงเป็นที่เคารพ ทุกที่ในโลกน้ี คนเหล่าน้ีเคารพนบั ถือพระเจา้ อยา่ งเดียวและอุทิศตนเพ่ือสรรพสิ่งท่ีพระเจา้ สร้างข้ึน พวกเขา ยงั มองศาสนาในรูปแบบด้งั เดิม คือ เป็นสารแห่งความรัก ความเมตตา และสันติภาพ ยิ่งกว่าน้ัน คนที่ ดารงชีวิตดว้ ยจิตวิญญาณที่ผ่องใสในความเจริญสุขรุ่งเรืองจากพระเจา้ และพวกเขาแสวงหาภราดรภาพ ระหวา่ งมนุษยใ์ นทุกสิ่งที่ศาสดาให้และสิ่งที่ภูมิปัญญาโบราณบอกไว้ดว้ ยความเช่ือวา่ ทุกคนเป็นพี่นอ้ งกนั ไม่วา่ พวกเขาจะชอบมนั หรือไม่ก็ตาม 
  วฒั นธรรมของการปรับเปล่ียนโดยดูจากความรู้ของผอู้ ื่น คือจุดกาเนิดอนั สูงส่งในมรดกของอิสลาม และคมั ภีร์กุรอานอนั ศกั ด์ิสิทธ์ิก็ไดช้ ้ีใหเ้ห็นถึงความจริงท่ีวา่ ศาสดาแต่ละองคต์ ่างช่วยเติมเตม็ ซ่ึงกนั และกนั ดว้ ยความเช่ือในสิ่งท่ีตนยดึ ถือถึง 14 คร้ัง ซ่ึงประกอบดว้ ยคาทานายที่มีอยกู่ ่อน ภูมิปัญญาท่ีตามมาภายหลงั และคาแนะนาร่วมสมยั 

ท่านศาสดา ขอความสันติจงดารงอยกู่ บั ท่าน กล่าววา่ “ภมู ิปัญญาคือจุดหมายของผศู้ รัทธา ไม่วา่ เขาจะพบมนั ที่ใดก็ตามเขายอ่ มมีสิทธิพิเศษในสิ่งน้นั ”ยี่สิบปีต่อมาชีคอาหมดั คาฟทาโรท่านมุฟติแห่งบิลดั อชั ชมั ได้ เขา้ ร่วมในการริเริ่มท่ีมีเป้ าหมายเพอื่ รวบรวมคมั ภีร์ศกั ด์ิสิทธ์ิของศาสนาต่างๆ ดว้ ยการจดั กลุ่มหลกั จริยธรรม เขา้ ด้วยกนั ซ่ึงจะเป็ นแรงบนั ดาลใจสาหรับคนทุกศาสนา และเป็ นแนวทางในการดาเนินบนเส้นทางที่ ราบร่ืนของพวกเขา สารอนั ศกั ด์ิสิทธ์ินาเราซ่ึงมาจากที่ห่างไกลไดม้ ารวมตวั กนั เพราะเราเช่ือวา่ มนุษยค์ ือพี่ นอ้ งกบั เพ่ือนมนุษยด์ ว้ ยกนั ไม่วา่ เขาจะชอบมนั หรือไม่ก็ตาม ความเหมือนกนั ของศาสนาและหลกั การของ เราน้นั ช่างยิ่งใหญ่และมรดกของท่านศาสดาและผชู้ าญฉลาดท้งั หลายน่าจะเป็นโครงสร้างท่ีเป็นปึกแผ่น สาหรับชีวติ มนุษยท์ ่ีมีความสอดคลอ้ งกนั 
 
  เราตอ้ งต่อสู้กบั ความพยายามผกู ขาดสวรรค์ การผกู ขาดศาสนา การผกู ขาดความจริงใดๆก็ตาม เรา ตอ้ งเขา้ ใจศรัทธาของเรา ตามความศรัทธาในหลกั ความเชื่อต่างๆ ไม่ไดเ้ หนือกว่าท้งั หมด เราสามารถหา หลกั ฐานพสิ ูจน์ไดอ้ ยา่ งมากมายในคมั ภีร์กรุ อานอนั ศกั ด์ิสิทธ์ิ 
 
  ผมเชื่อว่า การขาดเสรีภาพและประชาธิปไตย ความลม้ เหลวของชุมชนนานาชาติในการบรรลุซ่ึง ความเป็นน้าหน่ึงใจเดียวกนั ในหมู่ชาติที่ร่ารวยและยากจน และความแพร่หลายของการปกครองผคู้ นใน ระบอบเผด็จการในโลกอิสลามนาไปสู่การเกิดความหวาดกลวั เพื่อเป็นหนทางในการเป็นอิสระจากการถูก ปราบปรามและการกดขี่ 
 
  นี่ไม่ใช่ภาพของอิสลาม เราตอ้ งหาภาพของอิสลามในคมั ภีร์กุรอานอนั ศกั ด์ิสิทธ์ิ และในประเพณี ของศาสดาโมฮมั หมดั ขอความสันติจงดารงอยู่กับท่าน ซ่ึงพระเจา้ ได้ตรัสกับเขาว่า “เราส่งท่านมาเพื่อ มนุษยชาติท้งั หลาย” คมั ภีร์กุรอานท่ีศกั ด์ิสิทธ์ิเริ่มตน้ ดว้ ยวลีอนั โด่งดงั ท่ีว่า “พระเจา้ ของมนุษยชนทุกคน” ไม่ไดบ้ อกวา่ “พระผเู้ป็นเจา้ ของมุสลิมพระผเู้ป็นเจา้ ของผศู้ รัทธาหรือพระผเู้ป็นเจา้ ของอาหรับ”แต่บอกวา่ “พระผเู้ป็นเจา้ของมนุษยชน”และในวลีสุดทา้ยของคมัภีร์กุรอานบอกวา่“พระเจา้ของมนุษยชนทุกคน”และ เราก็ตอ้ งหาสิ่งที่เรามีร่วมกนั มากข้ึน เพราะเราเชื่อวา่ มนั คือเป้ าหมายเดียวกบั ที่ศาสดาในพระคมั ภีร์ศกั ด์ิสิทธ์ิ แสวงหา 

ผมมีคาแนะนาสาหรับการประชุมน้ีสามขอ้ ดว้ ยกนั หน่ึงผมขอใหก้ ารรวมตวั อนั ศกั ด์ิสิทธ์ิเพื่อร่วมมือกนั เปิด ช่องสถานีดาวเทียมนานาชาติโดยใชช้ื่อวา่“พระเจา้องคเ์ดียว”(OneGod)ทายาทแห่งสวรรคผ์เู้ชื่อในสารอนั ศกั ด์ิสิทธ์ิของภราดรภาพของมนุษย์ ขนั ติธรรมและความรัก จะมารวมตวั กนั ท่ีเวทีหน่ึงเพื่อบอกแก่โลกว่า สารของศาสดาทุกองคน์ นั เป็นหน่ึงแนวทางของศาสดามีเพียงหน่ึงเดียวและคาทานายและภูมิปัญญามุ่งไป ที่เป้ าหมายของความสุขของมนุษย์ และการทา้ ทายความชัวร้ายบนโลกน้ี ความจริงขอ้ น้ีคือหลกั ฐานใน คมั ภีร์กุรอานอนั ศกั ด์ิสิทธ์ิซ่ึงกล่าววา่ “โอ มนุษยชาติ จริงๆแลว้ เราไดส้ ร้างเจา้ จากชายและหญิง และทาให้ เจา้ เป็นประชาชนและชนเผ่าซ่ึงเจา้ อาจรู้จกั กนั และกนั จริงๆแล้ว ความสูงส่งที่สุดของเจา้ ในสายตาของ องคอ์ ลั เลาะห์ก็คือความชอบธรรมของเจา้ ” 

  คาแนะนาท่ีสอง คือการเรียกร้องหาวิธีทาใหห้ ลกั คาสอนท้งั หมดรวมอยใู่ นเล่มเดียวกนั ทุกศาสนา ต่างเรียกร้องหาค่านิยมร่วมกนั และหลกั จริยธรรมท่ีครอบคลุมท้งั หมด ยิ่งไปกว่าน้นั ภายใตแ้ ผนการอนั ศกั ด์ิสิทธ์ิของพวกเขา พวกเขาไดช้ ้ีไปที่พระเจา้ องค์เดียวที่จบั กุมหวั ใจของผศู้ รัทธา ดงั ท่ีคมั ภีร์กุรอานอนั ศกั ด์ิสิทธ์ิกล่าวไวว้ ่า “องคอ์ ลั เลาะห์เป็นของตะวนั ออกและตะวนั ตก เพราะฉะน้นั ไม่ว่าท่านจะหนั ไปทาง ไหน ยอ่ มมีพระพกั ตร์ขององคอ์ ลั เลาะห์เสมอ (คมั ภีร์กรุ อานอนั ศกั ด์ิสิทธ์ิ 2/117) 
  คาแนะนาท่ีสาม คือการเรียกร้อง ปฏิญญาว่าด้วยหลักจริยธรรมสากล เพื่อให้ผูน้ าศาสนาและ การเมืองร่วมลงนามทวั่โลกที่สามารถพบเห็นในทวั่ทุกมุมของโลกและอยใู่นเวทีของยเูอน็ ร่างปฏิญญาน้นั พร้อมแลว้ 

กล่าวโดยสรุป เรามาที่นี่เพื่อทาสิ่งท่ีศาสนาและศาสดาของเราสงั่ ใหเ้ ราทา เพือ่ เรียกร้องหาขนั ติธรรมและการ ปฏิเสธสงคราม และเพื่อร้องขอความเมตตาจากพระเจา้ เพ่ือต่อตา้ นการผูกขาดการหลุดพน้ ต่อตา้ นการ ผูกขาดสรวงสวรรค์ ต่อต้านการผูกขาดความเป็นจริงและต่อตา้ นการผูกขาดพระเจา้ เรามีอะไรร่วมกัน มากกว่าท่ีคิดไว้เรามีวิธีการทางศาสนาและการทาความเขา้ใจของเราร่วมกนั อิสลามคือสารแห่งความรัก สารแห่งความเมตตา และสารแห่งสนั ติภาพ และเรียกร้องใหม้ นุษยชนทุกคนคน้ หาสิ่งท่ีมีอยรู่ ่วมกนั น้นั
เรา เชื่อวา่
 

    • พระเจา้ มีอยอู่ งคเ์ ดียว แต่มีชื่อเรียกหลายอยา่ ง 
    •  
    • ความเป็นจริงมีอยเู่พยี งหน่ึงเดียวแต่มีหนทางท่ีหลากหลาย 
    •  
    • จิตวญิ ญาณมีไดเ้ พยี งหน่ึงเดียว แต่ศาสนาน้นั มีอยมู่ ากมาย 
    •  

 

การอภิปราย 

ประธานาธิบดโีอบาซานโจ:ผมมาจากประเทศท่ีถูกแบ่งแยกเป็นคริสเตียนและมุสลิมพอๆกนั ปัญหาใหญ่สุด ขอ้หน่ึงของเราก็คือมุสลิมอา้งวา่ภราดรภาพมีอยใู่นพวกมุสลิมเท่าน้นั ไม่ใช่แมแ้ต่ในหมู่พี่นอ้งร่วมสายเลือด พอ่ แม่เดียวกนั ถา้ ผมไม่ใช่มุสลิม ผมก็ไม่ใช่พี่นอ้ งกบั คุณ ผมจะอธิบายการตีความอยา่ งผดิ ๆน้ี แก่ประชาชน อยา่ งไร? 

ดร. ฮาบาช: ตอนน้ีเราต่างก็ทราบถึงสถานการณ์น่าสลดใจในประเทศไนจีเรียระหวา่ งคริสเตียนกบั มุสลิม โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ระหว่างโบโกฮารามกบั คริสเตียน การทาความเขา้ ใจอิสลามน้นั ทาไดส้ องวิธีดว้ ยกนั วิธี แ ร ก ม อ ง ส ิ ่ ง ท ่ ี ก ล ุ ่ ม อ ลั ก อ อ ิ ด ะ ห ์ ห ์ ห ร ื อ ข บ ว น ก า ร ส ุ ด โ ต ่ ง อ ื ่ น ๆ ท า แ ล ะ อ ่ า น ค มั ภ ี ร ์ ก ุ ร อ า น ผ ม ค ิ ด ว า่ ค ุ ณ ค ว ร ต อ้ ง อ่านคมั ภีร์กุรอาน เพื่อทาความเขา้ ใจอิสลามมากกว่า ไม่ใช่ดูพวกขบวนการหวั รุนแรงในประเทศต่างๆทวั่ โลกผมไม่สามารถนบั วา่ คุณเป็นมุสลิมได้โดยปราศจากความสุจริตใจและความรักในพระเยซูคริสต์และผู้ ที่เป็นสาวกของพระคริสต์โมเสสและผทู้ ี่ติดตามโมเสสน่ีคือสิ่งที่เป็นไปตามศรัทธาในศาสนาอิสลามของ เรา แต่น่าเสียดาย ที่ภาพของขบวนการหวั รุนแรงทาใหภ้ าพของอิสลามเสื่อมเสีย

ดร. อัล ซาเลม: ในอดีต มีความขดั แยง้ ระหวา่ งคริสตศ์ าสนาและอิสลาม พวกเขาทาสงครามศกั ด์ิสิทธ์ิกนั ศาสนาท้งั สองต่างพูดถึงเน้ือหาทางดา้ นศีลธรรม แต่จริงๆแลว้ มกั ไดร้ ับอิทธิพลจากปัจจยั ทางการเมือง ใน กรณีของคมั ภีร์ไบเบิลและคมั ภีร์กรุ อานก็เช่นกนั เราไม่สามารถทาความเขา้ ใจ ญิฮาด จากขอ้ ความในคมั ภีร์กุ รอานโดยปราศจากความรู้ วธิ ีการพ้ืนฐานในการเล่าใหค้ นฟังวา่ จะทาความเขา้ ใจตอนส้ันๆจากพระคมั ภีร์ได้ อย่างไร พวกสุดโต่งในศาสนาอิสลามเป็นพวกคลงั่ ศาสนายึดมนั่ ในหลกั การ และพยายามดาเนินรอยตาม ถอ้ ยคาในคมั ภีร์กุรอานทุกอย่าง แต่เรามีขอ้ โตแ้ ยง้ พ้ืนฐานที่หนักแน่นมากๆ ซ่ึงสามารถเน้นย้ากบั พวก ส ุ ด โ ต ่ ง ไ ด ้ เ พ ร า ะ พ ว ก ส ุ ด โ ต ่ ง ส ่ ว น ใ ห ญ ่ เ ป ็ น ผ ทู ้ ่ ี ม ี ค ว า ม ศ ร ั ท ธ า อ ย า่ ง แ ร ง ก ล า้ ด งั น ้ นั ใ น ก า ร ต ่ อ ส ู ้ ก บั พ ว ก เ ข า ต อ้ ง ต่อสู้ตามวถิ ีของพวกเขา ไม่ใช่วถิ ีของเรา เพราะเขาจะไม่เช่ือในสิ่งที่เราพดู เกี่ยวกบั ศีลธรรม 
 
ศาสตราจารย์ แอกซ์เวริ ์ทธี: รายงานของ ดร. มาจาลี พดู ถึงแก่นสารของขนั ติธรรมวา่ คือความเคารพ ซ่ึงก่อ รูปเป็นหลกัจริยธรรมร่วมกนั ส่วนรายงานของดร.บาดาวีใหค้วามสนใจต่อเงื่อนไขทางการเมืองของการ นาหลกั จริยธรรมไปใช้แต่การรณรงค์ทางการเมืองในปัจจุบนั เรากลบั ปฏิเสธความเคารพในฐานะท่ีเป็น ส่วนหน่ึงของจริยธรรมอยา่งท่ีเราพูดถึงกนั ในการรณรงคเ์พ่ือการเลือกต้งั เราปฏิเสธคู่แข่งโดยที่แทบไม่ได้ แตะตอ้ งแนวคิดของเขาแต่กลบั เป็นลกั ษณะของเขาเราพยายามใส่ร้ายป้ายสีคู่แข่งเพ่ือไม่ให้เขาไดร้ ับความ นบั ถือจากผูล้ งคะแนนเสียง ที่จริงการโฆษณาเชิญชวนในทางลบ การสร้างความเสื่อมเสีย คือการทาให้ คู่แข่งกลายเป็นศตั รู คุณอาจอดทนต่อสิงที่เขาพดู ไดก้ ็จริง แต่คุณไม่ไดส้ นใจฟังเลย 

  เ ร า เ ล ่ น ก า ร เ ม ื อ ง ก นั แ บ บ ส ก ป ร ก ซ ่ ึ ง เ ป ็ น ก า ร ข ดั ข ว า ง ค น ด ี ๆ ไ ม ่ ใ ห ้ เ ข า้ ส ่ ู ว ง ก า ร ด งั ก ล ่ า ว แ ล ะ น า ไ ป ส ่ ู การมีผนู้ าท่ีดอ้ ยความสามารถอยา่ งที่เรามกั วิจารณ์กนั อย่างรุนแรงในสภาน้ี เราตอ้ งการผนู้ าที่ดีข้ึน แต่จาก วธิ ีการรณรงคแ์ ข่งขนั ในปัจจุบนั แน่ใจไดเ้ ลยวา่ เราไม่มีทางไดม้ าแน่นอน เราควรออกมาต่อตา้ นการรณรงค์ เลือกต้งั ในเชิงลบ และการใส่ร้ายป้ ายสีคู่แข่งอยา่ งที่เห็นอยใู่ นพรรคการเมืองสมยั ใหม่ 


ศรี ศรี ระวี แชงการ์: จากสิ่งท่ีศาสตราจารยฮ์ าบาชกล่าวมา อิสลามในแบบของเขา วิธีคิดเช่นน้ีน่าจะนามาใช้ ในอนุทวีป(อินเดีย) ซ่ึงคนยงั ไม่คุน้ เคยกบั ความคิดแบบน้ี เราจะนาแนวคิดไปใช้กบั นิกาย(สานกั คิด)สอง นิกายในเมืองมทั ราส ท่ีซ่ึงศาสนาอิสลามนิกายวะฮะห์บี มีชยั เหนือนิกายซูฟี ไดอ้ ยา่ งไร? ที่อินเดีย เรามีสานกั คิดนิกายซูฟีขนาดใหญ่ซ่ึงมีแนวคิดเกี่ยวกบั ศาสนาอิสลามที่มีขนั ติธรรมมากกวา่ และที่อินเดียตามประเพณี ของฮินดู ไม่มีประเพณีของการทาสงครามหรือความขดั แยง้ ระหวา่ งศาสนา ทุกอยา่ งมีความโปร่งใสมากกวา่ และผคู้ นสามารถร่วมเฉลิมฉลองในเทศกาลทางวฒั นธรรมของกนั และกนั แต่เมื่อมีลทั ธิสุดโต่งเขา้ มา ก็เกิด การแบ่งแยกในดินแดนซ่ึงไม่เคยเกิดข้ึนมาก่อน มีสิ่งใดที่สภาและเราทุกคนสามารถทาเพื่อนาพาแสงสวา่ ง จากคบไฟที่พวกคุณไดจ้ ุดร่วมกนั ไดบ้ า้ งไหม? เราจะเขา้ ถึงนิกายเหล่าน้ีไดอ้ ยา่ งไร? และควรทาอะไรบา้ ง? 
 
ศาสตราจารย์ ไซคาล: หลายปี ท่ีผา่ นมาในสภาแห่งน้ี เรายงั ไม่มีความคืบหนา้ ในส่วนของการประสานรอย แยกระหว่างนิกายและผูน้ บั ถือศาสนาต่างๆไดม้ ากพอที่จะกา้ วสู่การมีหลกั จริยธรรมสากล ซ่ึงไม่จาเป็นว่า จะตอ้ งเป็นหลกั การเพยี งขอ้ เดียวผมไม่คิดวา่ เราจะสามารถบรรลุเช่นน้นั ได้แต่ถา้ เป็นการส่งเสริมจริยธรรม ท่ีครอบคลุมครบถว้ นน้นั มีความเป็นไปได้นนั่ คือสิ่งสาคญั จริงๆอยา่ งไรก็ดีเราไดพ้ ยายามที่จะดึงผูค้ นที่มี ศรัทธาและอุดมการณ์ต่างกนั มาอยู่ร่วมกนั เพื่อสร้างความเขา้ ใจในกนั และกัน แต่สิ่งที่เรายงั ไม่ประสบ ความสาเร็จจริงๆ คือการสร้างความไวว้ างใจระหวา่ งคนหลากหลายกลุ่ม นี่คือสิ่งที่ผมเป็นกงั วลมาก ผมหวงั วา่ การประชุมคร้ังน้ีจะมีคาแนะนาที่นามาปฏิบตั ิไดจ้ ริงมากข้ึน ในแง่ของการทาใหค้ วามต้งั ใจท่ีจะสร้างหลกั จริยธรรมสากลของเราเป็ นจริงข้ึนมา 

นายกรัฐมนตรีบาดาวี: ผมคงตอ้ งพูดถึงมาเลเซีย ประเทศของผม เพราะไม่เพียงแต่มีกลุ่มชาติพนั ธุ์ที่ หลากหลายเท่าน้ัน แต่ยงั มีศาสนาหลากหลายเช่นกนั ถึงกระน้นั เราก็ตอ้ งดารงชีวิตและอยู่รอดให้ไดใ้ น ประเทศที่มีควรมีสันติภาพ และขณะเดียวกนั เราก็รู้วา่ เศรษฐกิจของเราจะส่งผลดีแก่ประชาชน ผมอยากให้ อยู่กบั ความเป็นจริงเราพยายามที่จะประสบความสาเร็จดว้ ยการคน้ หาแนวคิดและเป้าหมายซ่ึงเราทุกคน ยอมรับได้ เราพูดถึงหลกั การของความศรัทธาและความเลื่อมใส รัฐบาลที่มีความเป็ นธรรมและไวว้ างใจได้ ประชาชนที่มีเสรีภาพและเป็นอิสระการแสวงหาและการมีความรู้ความเชี่ยวชาญการพฒั นาทางเศรษฐกิจที่ มีความสมดุลและครอบคลุมประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีการปกป้องสิทธิสตรีและชนกลุ่มนอ้ ยบูรณภาพ ทางวฒั นธรรมและศีลธรรมอย่างแท้จริงการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและมีขีด ความสามารถในการป้องกนั ประเทศการสร้างสิ่งท่ีผมู้ ีความศรัทธาทุกฝ่ายยอมรับไดเ้ป็นสิ่งสาคญั “จงรัก ทุกคนไม่ใช่แค่เพียงส่วนใดส่วนหน่ึง”อยา่ “รักในอานาจ”แต่ขอใหเ้ป็น“พลงัแห่งรัก”แทน 

ท่านมูอมั มาร์: เรามาที่น่ีเพ่ือสร้างสะพานประสานความเขา้ ใจซ่ึงกนั และกนั ดงั น้นั เราจึงตอ้ งเสวนากนั เรา ทุกฝ่ายต่างเห็นพอ้ งกนั ว่าทุกศาสนาต่างก็มีหลกั การ เพ่ือสนบั สนุนการอยู่ร่วมกนั โดยสันติ ในตะวนั ออก กลางและที่อื่นๆ มีศาสนาและการเมืองที่หลากหลาย และหลายคนใชศ้ าสนาเพื่อประโยชน์ของตนซ่ึงทาให้ เรารู้สึกผดิหวงัมากวฒันธรรมตะวนัตกซ่ึงมีความพร้อมก็ประสบความสาเร็จในการแบ่งแยกรัฐและศาสนา ออกจากกนั ในขณะท่ีประชาธิปไตยแผข่ ยายไปทวั่ โลกแต่ในตะวนั ออกกลางที่ส่วนใหญ่เป็นประเทศมุสลิม ถูกครอบงาโดยหลกั คาสอนทางศาสนาและถูกปกครองโดยศาสนา สิ่งท่ีเราจาเป็นตอ้ งทาก็คือการถ่ายทอด ความรู้และช่วยเหลือพวกเขา ทางเดียวที่ทาไดค้ ือการเสวนานนั่ เอง 

ศาสตราจารย์ไซคาล: ซาอุดิอาระเบียจะแสดงบทบาทนาในประเด็นของการแบ่งแยกรัฐและศาสนาออกจาก กนั ไดไ้ หม? 

ท่านมูอมั มาร์: ผมไม่ไดพ้ ดู วา่ ผมสนบั สนุนการแบ่งแยกรัฐและศาสนาออกจากกนั เราควรสนบั สนุนสิ่งใดก็ ตามท่ีประชาชนเลือกเพ่ือตวัเองสิ่งที่เราเห็นเช่นในอียิปตน์้นั พวกเขาเอาประชาธิปไตยแบบปลอมๆมาใช้ และพยายามรวมมนั เขา้ กบั ศาสนาแต่ก็ลม้ เหลว เพราะฉะนนั เราควรช่วยเหลือกนั และกนั วา่ จะส่งเสริมสิงที่ เราเลือกใหม้ ีความแขง็ แกร่งไดอ้ ยา่ งไร

ประธานเฟรเซอร์: ว่ากนั ว่าแนวคิดเรื่องจริยธรรมสากลนนั เป็นสิงที่รู้กนั อยู่แลว้ ก็อาจจะใช่แต่ยงัมีคน จานวนมากซ่ึงเชื่อว่ามาตรฐานทางจริยธรรมของแต่ละศาสนานันมีความแตกต่างกนั อย่างมีนัยสาคญั เพราะฉะนนั ในความคิดของผมจึงมีงานท่ียงั ตอ้ งทาอีกมาก เพ่ือสร้างความเขา้ ใจแก่ชุมชนของเราวา่ มนั มี จริยธรรมสากลซ่ึงเป็นที่ยอมรับโดยศาสนาสาคญั ของโลก แต่คุณจะทาให้คนของคุณปฏิบตั ิตามจริยธรรม สากลไดอ้ ย่างไร? คนรู้อย่แู ลว้ ว่าจริยธรรมคืออะไร แต่เขากลบั ปฏิบตั ิต่อคู่แข่งทางการเมืองโดยปราศจาก ความเคารพ คุณจะแกไ้ ขเรื่องน้ีและทาให้คนมีความเชี่ยวชาญทางการเมืองอย่างไร? ที่ออสเตรเลียเราเคยมี ปัญหาน้ีเมื่อ20ปีก่อนมีคนใชเ้ช้ือชาติและศาสนาเพื่อความไดเ้ปรียบทางการเมืองซ่ึงผมคิดวา่ มนั เป็นเรื่อง เลวร้ายที่สุดเท่าท่ีผนู้ าทางการเมืองสามารถทาได้เม่ือมนั เกิดข้ึนก็ดนั ไปโดนใจพวกโง่เขลาในสังคมพอดี และสร้างความเสียหายอยา่ งหนกั ผมคิดว่าจาเป็นตอ้ งมีการนิยามหลกั จริยธรรมกนั ใหม่ ตอ้ งยืนยนั กนั อีก ครังว่ามนั มีมาตรฐานร่วมกนั อยจู่ ริง ซ่ึงศาสนาต่างๆ สามารถสนบั สนุน และอธิบายให้เขา้ ใจวา่ สามารถนา มาตรฐานดงั กล่าวไปใชใ้ นประเทศและกระบวนการต่างๆ กนั อยา่ งไร 



ศาสตราจารย์แฮนสัน: ผมคิดว่ามีวาระท่ีนาเสนออย่ใู นการแสดงความคิดเชา้ น้ีอย่างน้อยสามวาระดว้ ยกนั อย่างแรกเลยคือ การยืนยนั เรื่องความเขา้ ใจเก่ียวกบั จริยธรรมสากล และการเสวนาเพิ่มเติมเกี่ยวกบั เรื่อง ดงั กล่าว เพื่อที่เราจะได้พูดคุย อธิบาย และสารวจในเชิงลึกมากข้ึน อย่างที่สองจริยธรรมสากลน่าจะมี ความหมายทางปฏิบตั ิจริงในชีวิตของแต่ละคนอยา่ งไร ส่วนวาระที่สาม อยา่ งที่นายกรัฐมนตรีจากมาเลเซีย ได้อธิบายไวว้ ่าจะสามารถจดั การเรื่องน้ีท่ามกลางความหลากหลาย การทาความเขา้ ใจคุณความดีซ่ึงเป็น สิ่งจาเป็นต่อการดารงชีวิตร่วมกนั ในแบบที่ส่วนท่ีอื่นของโลกมีสิ่งที่ตอ้งเรียนรู้อีกมากวาระที่สามก็คือการ ระบุความดีงามซ่ึงจะช่วยให้เราอยู่ร่วมกนั และแสวงหาสิ่งที่ดีสาหรับทุกคนคือการระบุความดีงามของ ความเป็นพลเมือง หรือความเป็นพลเมืองดีเพื่อตอบโตต้ ่อลทั ธิสุดโต่งในรูปแบบใดๆก็ตาม เช่นน้ีแลว้ เราจึง พอจะหวงั ไดว้ า่ จะสามารถตอบโตต้ ่อลทั ธิสุดโต่งในศาสนาของเราเอง ภายในโครงสร้างทางการเมืองของ เราเองได้ 

แรบไบดร.โรเซน:ตอนท่ีผมเริ่มตน้ การเป็นแรบไบ(ผนู้ าศาสนายิว)คร้ังแรกเม่ือ50ปีก่อนผมมีอุดมการณ์ แรงกลา้ ตวั ผมน้นั มีภูมิหลงั มาจากนิกายออร์โธดอกซ์ และศึกษาในโรงเรียนสอนศาสนานิกายออร์โธดอกซ์ ในกรุงเยรูซาเล็มเป้าหมายในงานอาชีพของผมคือการพยายามทาให้พวกสุดโต่งในศาสนาของผมมีขนั ติ ธรรมและมีความเขา้ใจกนั มากข้ึนแต่ตลอด50ปีที่ผา่นมาผมลม้ เหลวโดยสิ้นเชิงและไดเ้ห็นการเกิดข้ึนของ ลทั ธิคลงั่ ศาสนาและลทั ธิสุดโต่งไม่ใช่แค่ในศาสนาของผมเท่าน้นั แต่มีอยใู่ นทุกศาสนาที่ผมไดพ้ บเจอ 
  มีญตั ติการโต้วาทีที่เก่าแก่อยู่ญตั ติหน่ึงคือ“มนุษย์เป็นผูส้ ร้างสถานการณ์(เพื่อให้ตวั เองได้เป็น วรี บุรุษ) หรือ สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ” และผมเชื่อวา่ กิจการของมนุษยน์ ้นั มีวฏั จกั รของมนั ซ่ึงถูกควบคุม โดยขบวนการทางการเมือง โดยสถานการณ์ทางประวตั ิศาสตร์และสังคมที่ดาเนินไปตามแนวทางของมนั ความหลอกลวงที่เกิดข้ึนในองั กฤษสมยั วิกตอเรียน(สมยั พระราชินีวิกตอเรีย) เป็นปฏิกิริยาต่อตา้ นการมี เสรีภาพมากเกินไปในยุคจอร์เจียน(สมยั พระเจา้ จอร์จ)ก่อนหนา้ น้นั ความสร้างสรรคท์ างวิทยาศาสตร์และ นวตั กรรมขององั กฤษสมยั วกิ ตอเรียน ไดท้ าใหอ้ งคก์ รลบั โรซิครูเซียน (เป็นศาสนสมาคมลบั เชื่อถือเรื่องไสย ศาสตร์ เรื่องลึกลบั ) ซ่ึงเชื่อในเทพยดาเจริญเติบโตเช่นกนั 
  สังคมมนุษยก์ ็มีวฏั จกั รเช่นกนั และวฏั จกั รทาให้เกิดพลงั งานและรูปแบบของมนั เอง เมื่อหน่ึงพนั ปี ก่อน ไมโมนิเดสนกั ปราชญ์ชาวยิวผูย้ ิ่งใหญ่ซ่ึงอาศยั อยู่ในอียิปต์เป็ นนกั ปรัชญาผูร้ ู้แจง้ ผลงานของเขาชื่อ “คู่มือในการทาความเขา้ ใจเรื่องสลบั ซบั ซอ้ น” (Guide to the Perplexed) เขาพูดถึงขนั ติธรรมและความเขา้ ใจ หนงั สือของเขาไดร้ ับการยกยอ่ งโดยคนบางส่วนและมีบางส่วนไม่ยอมรับเช่นกนั คร้ันเม่ือเวลาผา่ นไปกลบั เป็นท่ียอมรับว่าเป็นหน่ึงในชาวยิวท่ีมีความยิ่งใหญ่และสร้างแรงบนั ดาลใจไดม้ ากที่สุด หนงั สือหลายเล่ม ของเขาซ่ึงว่าดว้ ยเร่ืองกฎหมาย เทววิทยาและจริยธรรม ลว้ นมีแนวคิดหลกั เก่ียวกบั ความสมดุล หรือ “ทาง สายกลาง” ที่จุดประกายผมเสมอมา 

แต่พวกเราที่ร่วมในการประชุมน้ี ไม่ไดแ้ กป้ ัญหาของโลก เราไม่ไดแ้ กไ้ ขความขดั แยง้ ภายในของตะวนั ออก กลาง แอฟริกาหรือตะวนั ออกไกล แต่เราจะไม่ไดอ้ ะไรจากการตาหนิฝ่ายใดฝ่ายหน่ึง หรือการหาแพะรับ บาป มนุษยชาติมีความสามารถในการแกป้ ัญหาของตน ขอเพียงแต่ทาดว้ ยความสุจริตใจและเจตนาดีเท่าน้นั ความเป็นจริงก็คือความขดัแยง้จะตอ้งแกไ้ขไดด้ว้ยตวัมนัเองดว้ยเงื่อนไขของมนัเองและดว้ยวถิีของมนัเอง  
  แต่ผมก็มีความเชื่อมนั่ วา่ พนั ธะกรณีพ้ืนฐานของเรา ซ่ึงหมายถึงองคก์ รน้ี และองคก์ รที่เหมือนกบั เรา คือการยืนยนั ค่านิยมสากลของความเป็นพ่ีน้องและความรักและการทาให้แน่ใจว่าถูกนามาใช้ในแวดวง การเมืองด้วย ดงั นันผมจึงรู้สึกยินดี เม่ือศาสตราจารยแ์ อกซ์เวิร์ทธีพูดถึงประเด็นของการเสวนา เพราะ การเมืองมนั มีความหยาบกระดา้ งและรุนแรงมากกว่าแต่ก่อน ก่อนหนา้ นนั สมาชิกสภาองั กฤษต่างก็เรียก ขานกนั และกนั วา่ “ท่านสุภาพบุรุษผทู้ รงเกียรติ”แต่เดี๋ยวน้ีไม่มีการแสดงความสุภาพแบบนนั ให้เห็นในสภา ส่วนใหญ่หรือในการประชุมสภานิติบญั ญตั ิอีกแลว้ 
  ดว้ ยเหตุน้ีผมจึงคิดว่าการสร้างพ้ืนฐาน ไม่ว่าเราจะเรียกมนั ว่าจริยธรรม หรือวาระก็แลว้ แต่ ด้วย ความตอ้ งการที่จะกาจดั ความเกลียดชงั และความเป็นปฏิปักษ์เป็นสิ่งสาคญั สมควรทาอย่างยิ่ง แมจ้ ะยงั ไม่ เห็นผลจากการกระทาทนั ตาก็ตามส่วนผทู้ ่ีระแวงสงสยั และในส่วนของประเด็นที่ผมอาจไม่ไดพ้ ูดถึงผมคิด วา่ เราทุกคนในที่น้ีลว้ นมีพนั ธะในการยืนยนั ในสิ่งที่ดี สิ่งท่ีสร้างสรรคแ์ ละทาสิ่งท่ีเราสามารถทาได้ เพื่อให้ แน่ใจวา่ แนวคิดของเราไดร้ ับการเผยแพร่สู่สาธารณะ ส่วนผทู้ ี่ตอ้ งการเริ่มตน้ เดี๋ยวน้ีก็จะทาทนั ที ไม่เช่นน้นั เราก็คงไดแ้ ต่หวงั ให้คนรุ่นหลงั ทาไดส้ าเร็จ ผมรู้แค่วา่ คนรุ่นเรามีหนา้ ท่ีทาใหแ้ น่ใจว่าจะมีคนไดย้ ินสิ่งที่เรา พดูออกไป 

ศาสตราจารย์ชาง:ผมเห็นดว้ ยกบั สิ่งที่ท่านแรบไบโรเซนกล่าวไวเ้ป็นอยา่ งยงิ่ เขาพูดสิ่งที่ผมตอ้ งการจะพดู เช่นกนั 
 
ศาสตราจารย์ไซคาล:ผมไม่ชอบใหใ้ชค้าวา่“โลกอิสลาม”เลยควรใชว้า่“อาณาจกัรมุสลิม” 
 
ศาสตราจารย์แฮนสัน: ในการศาสนเสวนาน้นั จาเป็นตอ้ งพิจารณาความเหมาะสมของท่าทีของท่านสันต ป ะ ป า เ บ เ น ด ิ ก ต ท์ ี ่ 1 6 ต ่ อ เ ร ่ ื อ ง ก า ร ห ล ุ ด พ น้ ( ก า ร ข ้ ึ น ส ว ร ร ค )์ ท ี ่ ผ า่ น ม า ศ า ส น จ กั ร อ า จ แ ส ด ง ท ่ า ท ี ว า่ ไ ม ่ ม ี ก า ร ห ล ุ ด พน้นอกศาสนจกัร(ความหมายคือถา้ไม่นบัถือศาสนาซ่ึงในท่ีน้ีคือคริสตศ์าสนาเนน้วา่เป็นคาธอลิกและไม่ เขา้ โบสถ์ก็จะไม่วนั หลุดพน้ หรือไดข้ ้ึนสวรรค)์ แต่โชคดีท่ีศตวรรษท่ีแลว้ หรือนานกว่าน้นั มนั ไม่ไดเ้ป็น เช่นน้นั เห็นไดช้ ดั วา่ ภายใตพ้ ระสันตะปาปาฟรานซิส องคป์ ัจจุบนั มีการเนน้ เรื่องการเป็นสาวก(การเปลี่ยน ศาสนา)นอ้ ยลง ทวา่ ไม่มีความแตกต่างในส่วนของท่าทีต่อเรื่องการหลุดพน้ ระหวา่ งโป๊ ปท้งั สององค์ เพราะ ท่านเช่ือวา่ คนเราสามารถหลุดพน้ ไดใ้ นทุกศาสนาที่มีเจตนาดี 

ดร.ชเลนซอก: เราไม่ควรทาสิ่งผิดพลาดเหมือนที่เคยเกิดข้ึนในที่ประชุมศาสนเสวนาอื่นๆเราไม่ควร พยายามทาเร่ืองเดิมซ้าๆ เราควรยนื ยนั แนวคิดอยา่ งจริยธรรมสากลอีกคร้ัง และเราไดร้ ่างไวแ้ ลว้ วา่ มนั ใช่และ ไม่ใช่อะไรบา้ ง เรามีเอกสารซ่ึงเป็ นท่ียอมรับโดยชุมชนศาสนาและฆราวาสมากพอ เราไม่จาเป็ นตอ้ งทามนั ข้ึนใหม่ แต่ตอ้ งดึงมนั กลบั มาสู่ความสนใจของคนอีกคร้ัง 
  สิ่งสาคญั กวา่ น้นั ก็คือ เราตอ้ งสร้างแนวคิดวา่ เราจะสามารถเช่ือมโยงแนวคิดดงั กล่าวกบั การปฏิบตั ิ อ ย า่ ง ไ ร ท า ใ ห เ ้ ก ิ ด เ ป ็ น ก า ร ป ฏ ิ บ ตั ิ อ ย า่ ง เ ป ็ น ร ู ป ธ ร ร ม ใ น ส ั ง ค ม อ ย า่ ง ไ ร ผ ม ค ิ ด ว า่ เ ร า ต อ้ ง ก า ร จ ดั ก า ร ก บั ป ร ะ เ ด ็ น ท้งั สามดังต่อไปน้ี หน่ึงคือการเมือง สองคือชุมชนธุรกิจ และสาม คือการศึกษา ถ้าเราไม่เริ่มตน้ เรื่อง จริยธรรมศึกษาซ่ึงหมายถึงการศึกษาเร่ืองจริยธรรมการให้ความเคารพต่อความเป็นพหุนิยมฯลฯกนั ต้งัแต่ ระดบั ประถม ก็คงไม่มีอะไรเปล่ียนแปลง ประการสุดทา้ ย เราไม่พูดคุยกนั ดว้ ยภาษาศาสนา เราควรจดั การ กบั เรื่องทางโลกแลว้พยายามหาโอกาสพดูถึงหลกัการทางศาสนา 


2. บทเรียนจากศตวรรษที่ 20 
ประธานวาระ โดย ฯพณฯ ดร. ฟรานซ์ วรานิทสกี้ 
อดีตนายกรัฐมนตรีออสเตรีย 

มนุษยชาติไดป้ ระจกั ษถ์ ึงสงครามโลกที่น่าสะพรึงถึงสองคร้ังในศตวรรษท่ี 20 เฉพาะสงครามโลกคร้ังท่ีสอง คร้ังเดียวมีผเู้ สียชีวติ กวา่ 60 ลา้ นคน ทว่าโลกก็ไดป้ ระสบกบั ความกา้ วหน้าทางเทคโนโลยที ี่น่าตื่นเตน้ และ ไ ด เ ้ ห ็ น ม า ต ร ฐ า น ก า ร ค ร อ ง ช ี พ ท ี ่ ส ู ง ข ้ ึ น ใ น โ ล ก ท ่ ี พ ฒั น า แ ล ว ้ แ ล ะ ก า ล ง ั พ ฒั น า อ ย า ่ ง ท ่ ี ไ ม ่ เ ค ย ค ิ ด ม า ก ่ อ น 
  สาหรับวาระที่ 2 น้ี จะเป็นการพิจารณานัยสาคญั ของสิ่งเหล่าน้ีท้งั หมด ผูแ้ นะนาท่านแรกคือ ศาสตราจารย์ ดร. ฟรีดริช วลิ เฮล์ม กราฟ แห่งมหาวิทยาลยั ลุดวกิ -แมกซิมิเลียนส์ เขาบอกวา่ คนเยอรมนั รุ่น หลงั สงครามโลกคร้ังที่สองตอ้ งศึกษาประสบการณ์ในสมยั นาซีและอาชญากรรมไร้มนุษยธรรมของพวกเขา และตอ้ งต้งั คาถามวา่ เหตุใดชาวเยอรมนั จานวนมาก และศาสนจกั รท้งั สองจึงยอมรับ หรือให้การสนบั สนุน ล ทั ธ ิ ต ่ อ ต า้ น ย ิ ว อ ย ่ า ง แ ข ็ ง ข นั ด ว้ ย ค ว า ม ร อ บ ค อ บ อ า จ ก ล ่ า ว ไ ด ว้ ่ า เ ป ็ น ค ว า ม ล ม้ เ ห ล ว ข อ ง ม น ุ ษ ย ช า ต ิ แ ต ่ ก ็ เ ป ็ น ความล้มเหลวของศาสนาด้วยเช่นกันเพราะตามปกติแล้วศาสนาตอ้ งสร้างความเป็นปึกแผ่นแต่ความ ล้มเหลวครังน้ีแสดงให้เห็นว่าศาสนาก็อาจกลายเป็นพลงั ทาลายลา้ งในสังคมเช่นกัน เพราะจะไม่มีการ ประนีประนอมกนั ระหว่างองค์ประกอบและอุดมการณ์ที่แตกต่างกนั ภายในมนุษยชาติ จะตอ้ งเกิดความ ขดั แยง้ ทางศีลธรรม ความแตกต่างและความแตกแยกในโลกเสมอ แต่จากที่ศาสตราจารยก์ ราฟกล่าวไว้ เหตุผลต่างหากที่สามารถนาเราสู่จริยธรรมสากล ไม่ใช่ความศรัทธาในศาสนา 
  ผแู้ นะนาท่านท่ีสอง ท่านศรี ศรี ระวี แชงการ์ แห่งมลู นิธิศิลปะของการใชช้ ีวติ ท่านเสนอวา่ หลกั การ นบั รวมทุกศาสนาและการยอมรับความแตกต่างของมหาตมะคานธี ทาให้คนต่อสู้ร่วมกนั เพื่อการยุติลทั ธิ อาณานิคมในเอเชีย ซ่ึงเป็นความทา้ ทายท่ียุง่ ยากมากท่ีสุดเรื่องหน่ึงในศตวรรษท่ี 20 อยา่ งไรก็ดีความขดั แยง้ ระหวา่งศาสนาบนอนุทวปี อินเดียยงัคงเป็นปัญหาสาคญั เขาไดเ้นน้ ย้าวา่การส่งเสริมสันติภาพดว้ยการศึกษา และการให้ความสนใจต่อสันติภาพและความสุขภายในใจมากข้ึน การส่งเสริมชุมชนปลอดการใช้ความ รุนแรง นอกเหนือจากเร่ืองอ่ืนๆ คือสิ่งสาคญั ต่อการหลีกเลี่ยงความผดิ พลาดของศตวรรษที่ผา่ นมา 
ฯพณฯ ดร. อบั เดล ซาลาม อลั มาจาลี นาเสนอรายงานซ่ึงเป็ นการพูดถึงบทบาทของผูน้ าในการแกไ้ ขความ ขดั แยง้ และการสร้างการประนีประนอมและสนั ติภาพโดยการอา้ งถึงนกั ปราชญช์ าวอาหรับโบราณท่านหน่ึง ที่วา่ อารยธรรมล่มสลายเมื่อผนู้ ากลายเป็นผทู้ ี่เอาแต่ความคิดของตนเป็นใหญ่สิ่งสาคญั สูงสุดคือการเคารพ ต่อผูท้ ี่มีความแตกต่างจากตวั เรา นอกจากน้ีเขายงั เน้นความสาคญั ของการเปิ ดโอกาสให้คนหนุ่มสาว “ได้ สัมผสั ” กบั ค่านิยมที่แตกต่างดว้ ย 

ประเด็นต่อไปน้ีไดจ้ ากการอภิปรายท่ีดาเนินในลาดบั ถดั มา ชาวเอเชียตะวนั ออกที่ไม่ใช่พวกที่เชื่อว่ามีพระ เจา้ องคเ์ ดียว เห็นดว้ ยวา่ การนบั รวมทุกศาสนาและขนั ติธรรมในภูมิภาคของตนช่วยใหห้ ลีกเลี่ยงความขดั แยง้ ได้ถึงกระน้ันสงครามระหว่างกลุ่มทางศาสนาและชาติพนั ธุ์ก็เป็นหลักฐานเด่นชัดในโลกตะวนั ออก เช่นเดียวกบั ในตะวนั ตกนกั บวชในศาสนาพุทธนิกายของญี่ปุ่นยอมรับและรู้สึกเสียใจที่สถาบนั ทางศาสนา ของตนมีส่วนในการสนบั สนุนสงครามโลกคร้ังที่สอง ซ่ึงเป็นประสบการณ์ท่ีเขาหวงั วา่ จะไม่เกิดข้ึนซ้าอีก และสะทอ้ นถึงประเด็นที่ศาสตราจารย์ ดร.กราฟ วา่ ไว้ 
  เกิดคาถามเก่ียวกบั การที่ แนวคิดเชิงสัจนิยมที่เนน้ การปฏิบตั ิของฮอบส์ (โทมสั ฮอบส์ นกั ปรัชญา ชาวองั กฤษ สานกั คิดสัจนิยม) โจมตีแนวคิดจิตนิยมของคานต์ (เอ็มมานูเอล คานต์ นกั ปรัชญาชาวเยอรมนั สานกั คิดจิตนิยม) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในตะวนั ตกเรื่องน้ีคือความทา้ ทายที่เคยและยงั คงไดร้ ับการสารวจ โดยไดร้ ับความสาเร็จดว้ ยกระบวนการประชาธิปไตย อยา่ งไรก็ดี ยงั คงมีส่วนอ่ืนๆของโลก โดยเฉพาะอยา่ ง ยิงท่ีอยู่ภายใตศ้ าสนาอิสลาม ท่ีความทา้ ทายของการรวมการปกครองแบบประชาธิปไตยเข้ากับอานาจ อธิปไตยของพระเจา้ และการเช่ือฟังต่อประเพณีทางศาสนา ยงั ไม่ไดร้ ับการจดั การอยา่ งน่าพอใจ 
  ดว้ ยเหตุที่ความสาคญั คือความทา้ ทายของความสมั พนั ธ์ร่วมกนั ระหวา่ งการพฒั นาทางเศรษฐกิจกบั คุณภาพชีวิตของมนุษย์ ในทานองเดียวกัน การเพิ่มข้ึนของผูอ้ พยพ ท้งั ที่เป็ นผลของความล้มเหลวทาง เ ศ ร ษ ฐ ก ิ จ แ ล ะ ก า ร เ ม ื อ ง ท า ใ ห เ ้ ก ิ ด ค ว า ม ร ู ้ ส ึ ก ต ่ อ ต า ้ น ผ อู ้ พ ย พ ใ น ต ะ ว นั ต ก จ ึ ง ก ล า ย เ ป ็ น ป ั ญ ห า ท า ้ ท า ย ใ น ป ร ะ เ ท ศ เจา้ บา้ น นอกจากน้ียงั มีความทา้ ทายท่ีสาคญั อีกประการหน่ึงคือปัญหาประชากรมากเกิน โลกตอ้ งเผชิญกบั ความจริงท่ีวา่ มีประชากรถึง 9 พนั ลา้ นคน และนยั สาคญั ของมนั ต่ออนาคตของชีวติ บนโลกของเรา 
  มีการสรุปไวว้่าในขณะน้ียงัไม่มีตวัอย่างของสังคมฆราวาสแทๆ้ แต่ก็มีรัฐฆราวาสที่มีการยอมรับ หลกั แห่งกฎหมายอย่างแทจ้ ริง หลกั แห่งกฎหมายน้ีเองที่ประกนั ความต่อเนื่องขององค์ประกอบบางอย่าง ตามแนวคิดของคานต์ แต่ดว้ ยเหตุที่มีความแตกต่างในการแสดงออกและความปรารถนาของผูค้ นและ วฒั นธรรม พึงหลีกเล่ียงวิธีแกไ้ ขปัญหาแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่ควรเป็นวิธีท่ีหลายฝ่ายมีส่วนร่วม แลว้ ก็ตอ้ งทา ความเขา้ ใจดว้ ยว่าเหตุใดศาสนาท่ียึดมนั่ ในหลกั การพ้ืนฐานแบบสุดโต่งจึงสามารถสร้างสายใยทางสังคม อยา่ งเหนียวแน่นจึงดึงดูดผคู้ นยงิ่ นกั เห็นไดช้ ดั วา่ รัฐฆราวาส(ทางโลก)ก็ไดร้ ับประโยชน์จากมิติทางศาสนา เช่นเดียวกับท่ีสังคมศาสนา(ทางธรรม)ได้ประโยชน์จากเป้าหมายของค่านิยมแบบฆราวาส(ทางโลก) บางอยา่ งเช่นกนั 

 

การจัดลาดับความสาคัญของการประนีประนอมสาหรับศาสนจักร 
ข้อคิดเห็นจากเยอรมนี 
 

ผ้แู นะนาท่านที่ 1: ศาสตราจารย์ ดร. ฟรีดริช วลิ เฮล์ม กราฟ 
ศาสตราจารย์ด้านเทววทิ ยาระบบและจริยศาสตร์ 
 
เทววิทยา คือแนวคิดที่สะท้อนถึงประสบการณ์ชีวิตของนักเทววิทยา ท้งั น้ีเทววิทยา ศาสนศึกษา และ ชีวประวตั ิต่างโอบอุม้ และมีปฏิสัมพนั ธ์กนั จนแยกไม่ออกในหลากหลายลกั ษณะ ผลงานการศึกษาศาสนา ของผมเองก็ไดร้ ับอิทธิพลจากเหตุการณ์ทางประวตั ิศาสตร์บางอยา่ งเช่นกนั ผมเกิดในเยอรมนีตะวนั ตกเมื่อเดือนธนั วาคม ปี 1948 จึงเป็นกลุ่มพลเมืองเยอรมนั รุ่นแรกที่เกิดในสหพนั ธ์สาธารณรัฐ ผมเติบโตในรัฐใน ระบอบประชาธิปไตยแห่งน้ี 
  คนรุ่นผมท่ีมีความสนใจทางการเมืองและมีความอ่อนไหวทางความคิดมองวา่ ตวั เองกาลงั เผชิญกบั ความทา้ ทายอยา่ งหน่ึง นนั่ คือการพิจารณาแนวคิดลทั ธิสังคมนิยมแห่งชาติกบั อาชญากรรมที่น่าสะพรึงของ มนั พวกเขาตอ้งหาคาตอบว่าเหตุใดระบอบประชาธิปไตยแรกของเยอรมนีคือสาธารณรัฐไวมาร์ที่ก่อต้งั ข้ึนในปี 1919 จึงล่มสลายและทาใหก้ ารทดลองของนาซีเกี่ยวกบั รัฐเผดจ็ การเบด็ เสร็จต่อตา้ นแนวคิดเสรีนิยม เกิดข้ึนไดจ้ ริงดว้ ยเหตุน้ีผมจึงเริ่มตน้ ศึกษาทฤษฎีการเมืองแบบแองโกลแซกแซน(แบบที่สืบทอดหรือมีเช้ือ สายมาจากองั กฤษ) โดยเฉพาะทฤษฎีการเมืองแนวเสรีนิยมต้งั แต่อายุยงั นอ้ ย โดยสนใจในเงื่อนไขการทา หนา้ ท่ีของประชาธิปไตยระบบรัฐสภาเป็นพิเศษ และพยายามหาเหตุผลสนบั สนุนขอ้ อา้ งเรื่องเสรีภาพส่วน บุคคลโดยเปรียบเทียบกบั รัฐและสังคม 
  ตอนอายุสิบเกา้ผมเขา้ร่วมในโครงการนกัเรียนแลกเปลี่ยนญี่ปุ่น-เยอรมนั และใชเ้วลาเดินทางทวั่ ประเทศญ่ีปุ่นหลายสัปดาห์รวมท้งั เขา้ ศึกษาในกรุงโตเกียวอยรู่ ะยะหน่ึงมนั ทาใหผ้ มตระหนกั วา่ วฒั นธรรม ประเทศของผมช่างไร้เดียงสาเพียงใด ประสบการณ์คร้ังน้ีกระตุน้ ให้ผมศึกษาความสัมพนั ธ์ระหวา่ งตริสต์ ศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิกายโปรเตสแตนต์ กบั ศาสนาอื่นๆต้งั แต่วยั เยาว์ โดยท่ีความสนใจหลกั ๆ ยงั คง เป็นเร่ืองเสรีภาพส่วนบุคคลเช่นเดิม ผมเริ่มสารวจตรวจสอบประเพณีเทววิทยา ซ่ึงส่งเสริมเสรีภาพส่วน บุคคลและเอ้ืออานวยต่อการอยรู่ ่วมกนั โดยสันติระหวา่ งผคู้ นซ่ึงมีภูมิหลงั และความเชื่อทางศาสนาแตกต่าง กนั 
  ตอนเป็นนกั ศึกษา ผมไดข้ อโอนยา้ ยจากมหาวิทยาลยั ทูบิงเงน เพื่อไปเรียนที่มหาวิทยาลยั มิวนิค ที่นี่ ผมไดพ้ บกบั ศาสตราจารยท์ ้งั ในสาขาปรัชญาและเทววทิ ยา ซ่ึงทาใหผ้ มไดร้ ู้จกั กบั โลกแห่งแนวคิดใหม่ที่น่า หลงใหลอย่างแรกเลยคือ“วฒั นธรรมแบบโปรเตสแตนต์”ซ่ึงเป็นแนวคิดเสรีนิยมแบบเยอรมนั ผมเริ่ม ศึกษางานของเฮเกลและชไลเออมาเคอร์,โทรเอลตซ์และฮาร์นัคและที่สาคญั คือคานต์สาหรับผมแล้ว ปรัชญาเชิงวิพากษ์ของคานต์ คือรูปแบบของทฤษฎีแนวเสรีนิยมที่เคร่งครัดมีการพินิจพิเคราะห์และมี ความสาคญั ท่ีสุด ในแง่หน่ึง ผมมองตวั เองในฐานะนกั คิดสานกั คานตแ์ นวโปรเตสแตนต์ สิ่งที่ผมเรียนรู้จาก คานตค์ ือ การแบ่งแยกตวั เอง ขนั ติธรรม และการต้งั คาถามคากล่าวอา้ งความเป็นจริงท่ีไม่มีเหตุผลดว้ ยความ สงสยั อยา่ งต่อเนื่อง 

ภารกิจของคนรุ่นผมคือการพจิ ารณาลทั ธิเผด็จการทางการเมืองแบบเบ็ดเสร็จสมยั ใหม่ และความหวงั ในเชิง อุดมการณ์ของมนั รวมท้งัการต้งัคาถามว่าเหตุใดจึงมีคนในเยอรมนีจานวนมากและโดยเฉพาะอย่างยิ่งศา สนจกั รท้งั สองนิกาย จึงยอมรับหรือใหก้ ารสนบั สนุนลทั ธิต่อตา้ นยวิ และการแบ่งแยง่ เช้ือชาติของลทั ธิสังคม นิยมแห่งชาติ น่ีคือสิ่งท่ีมีความสาคญั สาหรับผมอยา่ งมาก ผมคงไม่อ่านรายงานของผมใหค้ ุณฟัง แต่อยากจะ ขอแสดงความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกบั การอภิปรายที่เราทาในเชา้ น้ี ประเด็นแรกเลยคือเร่ืองศาสนา ศาสนาเป็น ปรากฏการณ์ท่ีทาให้เกิดความรู้สึกสองฝักสองฝ่ายอย่างสูง และนี่คือความเป็นจริงของประเพณีทางศาสนา ของมนุษยชาติ ศาสนาสามารถสร้างความเป็นน้าหน่ึงใจเดียวในหมู่ชน ช่วยให้ความอ่อนแอพ้ืนฐานของเรา และความจาเป็นข้นั พ้ืนฐานของคนยากจนและคนที่ไม่มีความสาคญั (หรือพวกคนชายขอบ)เขม้ แข็งข้ึนได้ ช่วยให้เรามีความเขา้ ใจกนั และกนั ท่ีกวา้ งไกลกว่าเส้นคนั่ ของความเป็นชาติ ชนช้ัน ชาติพนั ธุ์ ฯลฯ ช่วย ส่งเสริมสานึกแห่งความอ่อนนอ้ มถ่อมตน 
  ในอีกแง่หน่ึง ศาสนาก็อาจเป็นพลงั ทางสังคมซ่ึงมีความรุนแรงมากๆ และมีอานาจทาลายลา้ งอยา่ ง สุดข้วั สามารถทาใหเ้ กิดความเกลียดชงั และการกีดกนั ผทู้ ่ีไม่มี “ความเชื่อมนั่ ศรัทธาอยา่ งแรงกลา้ เหมือนเรา” หรือเชื่อในพระเจา้ องค์อ่ืน นี่คือเรื่องจริงของประเพณีทางศาสนาท้งั หลาย ดงั จะเห็นได้ว่ามีการใช้ความ รุนแรงอยา่ งมากมายในประวตั ิศาสตร์ของตริสต์ศาสนา เช่นเดียวกบั การใช้ความรุนแรงในประวตั ิศาสตร์ ของศาสนาพุทธเป็นตน้ รวมท้งั การใช้ความรุนแรงในศาสนาใหม่ในเอเชียตะวนั ออกหลงั ยุคสมยั ใหม่ เช่น ลทั ธิโอมชินริเกียวในญี่ปุ่น ซ่ึงหมายความวา่ เราควรคุยกนั เรื่องศาสนาโดยใชว้ ิจารณญาณมากข้ึน ในแบบที่ เตม็ไปดว้ยความสงสัยเหมือนที่เราทาตอนเชา้

ประเด็นท่ีสองของผมคือคาว่า“จริยธรรมสากล”คาว่าเวลเตกอีค(weltekeke) หรือคอสโมโปลิติชอีค (cosmopolitshe eke) ถูกนามาใช้ในวาทกรรมยุคแห่งแสงสว่างทางปัญญาในเยอรมนีและองั กฤษสมยั ศตวรรษท่ี 18 บา้ งก็เรียกมนั ว่า “คอสโมโปลิแตน อีโธส” (cosmopolitan ethos) หรือเรียกว่า “ลกั ษณะ พ้ืนฐานท่ีมีร่วมกนั ในศกั ด์ิศรีแห่งความเป็นมนุษย์และสิทธิมนุษยชนข้นั พ้ืนฐาน”นกั ปรัชญายุคแสงสวา่ ง ทางปัญญาเช่นจอห์นล็อคและเอ็มมานูเอลคานต์มกั เน้นย้าในประเด็นท่ีว่าสิ่งสาคญั อนั ดบั แรกที่เป็น สากลและเป็นจริยธรรมสาหรับทุกคน คือความพยายามซ่ึงไม่มีลกั ษณะเฉพาะเจาะจงอย่างที่พบเห็นใน เหตุผลเท่าน้นั มนั คือเหตุผลไม่ใช่ศาสนา 
 
  นนั่ หมายความว่าในความคิดของนกั ปรัชญาและนกั เทววิทยาในยุคแห่งแสงสว่างทางปัญญาแลว้ เช่ือวา่ ในแง่หน่ึง มีความตึงเครียดลึกๆ ระหวา่ งเหตุผลและจริยธรรมสากล และประเพณีทางศาสนาซ่ึงแมจ้ ะ มีความหลากหลายแต่ก็มีลกั ษณะเฉพาะเจาะจง ตามภาษาที่คานตใ์ ช้ เป็นรูปแบบของจริยธรรมที่มีลกั ษณะ เฉพาะเจาะจงฝังลึกอยใู่ นศาสนา หรือ จริยธรรมของผอู้ ื่น จริยธรรมทางศาสนามีพ้นื ฐานจากการท่ีมนุษยต์ อ้ ง พ่ึงพิงพระเจา้ พระผูท้ รงสร้างท่ียิ่งใหญ่ ส่วนจริยธรรมที่มีเหตุผลมีพ้ืนฐานจากความเป็นอิสระและการ กาหนดการตดั สินใจดว้ ยตวั เอง ซ่ึงตรงกนั ขา้ มกบั การอยใู่ ตก้ ารควบคุมของศาสนา 

  นายกรัฐมนตรีเฟรเซอร์พูดถึง“จริยธรรมสากลซ่ึงเป็นที่ยอมรับโดยศาสนาสาคญั ของโลก”เมื่อเชา้ น้ี ซ่ึงผมเองก็รู้สึกสงสัยอย่างมาก ผมคงต้องบอกว่า องค์ประกอบในประเพณีทางศาสนาหลายอย่าง มี ลกั ษณะตรงขา้ มกบั แนวคิดเรื่องสิทธิมนุษยชนซ่ึงเป็นส่วนสาคญั ของจริยธรรมสากลลองดูกรณีของเยอรมนั เป็นตวั อย่าง นิกายของเยอรมนั เรียนรู้ท่ีจะยอมรับแนวคิดเรื่องสิทธิมนุษยชนค่อนขา้ งชา้ มาก เพิ่งจะยอมรับ ก นั ใ น ช ่ ว ง ท ศ ว ร ร ษ 5 0 น ้ ี เ อ ง เ พ ร า ะ ม ี ผ ู ต้ ่ อ ต า้ น ว า ท ก ร ร ม เ ร ื ่ อ ง ส ิ ท ธ ิ ม น ุ ษ ย ช น ไ ม ่ ว ่ า จ ะ เ ป ็ น แ บ บ ไ ห น อ ย ่ า ง รุนแรง นับแต่ยุคแห่งแสงสว่างทางปัญญาจนถึงศตวรรษท่ี 19 ในทศวรรษ 20 และอื่นๆ นับว่าเป็น กระบวนการท่ีชา้ มากๆ ผมเชื่อวา่ พวกเราบางคนมีทศั นะเกี่ยวกบั ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งศาสนาและจริยธรรม ท่ีสอดคลอ้ งกนั มากไปหน่อยเราน่าจะทศั นะที่หลากหลายและแตกต่างกนั เป็นความแตกต่างที่ไม่ไดเ้กิดข้ึน แค่ภายในเท่าน้นั แต่เป็นความแตกต่างระหวา่ งศาสนาและชุมชนต่างๆดว้ ย 
 

ผมขออนุญาตกล่าวปิดทา้ ยสาหรับนกั เทววทิ ยาคริสเตียนแลว้ การประนีประนอมขนั ติธรรมจริยธรรมโลก หรือจริยธรรมสากล คือกรอบความคิดทางกีฏวิทยา เสมอมา การรับรู้เรื่องความแตกต่างข้นั พ้ืนฐานระหวา่ ง ตอนน้ีกบั ตอนน้นั ระหวา่ งชีวติ น้ีกบั ชีวติ หนา้ โลกของอาณาจกั ร เป็นอุปสรรคต่อการทาให้การสนทนาเร่ือง การประนีประนอมทางศาสนาขนั ติธรรมและอื่นๆเป็นเรื่องของอุดมการณ์และถูกทาให้เป็นเคร่ืองมือทาง การเมือง แต่ที่นี่ในโลกน้ี ไม่มีวนั เกิดการประนีประนอมโดยสมบูรณ์แน่นอน และจะมีความขดั แยง้ ทาง ศีลธรรมมากมาย ที่น่ีจะมีความแตกต่าง ความแตกแยก การแบ่งแยก และความขดั แยง้ เสมอ ใครก็ตามที่ พยายามแสวงหาสังคมแบบท่ีมีจริยธรรมสากลในทุกแง่มุมอยา่ งแทจ้ ริง เท่ากบั ปฏิเสธองคป์ ระกอบของชีวิต และเสรีภาพส่วนบุคคลในการดารงชีวิตแตกต่างจากผูอ้ ่ืน การมีเสรีภาพมากข้ึนต้องมาพร้อมกับความ หลากหลายและบ่อยคร้ังคือการมีความขดั แยง้ มากข้ึน 

ประธาน วรานิทสก:ี้ ผมขอกล่าวอะไรสักหน่อย ถา้ เป็นเรื่องของขนั ติธรรมและขนั ติธรรมแลว้ เกอเธ กวีชาว เยอรมนัผมู้ีชื่อเสียงเคยเขียนถึงขนัติธรรมวา่อยา่งดีก็ทาไดแ้ค่ระดบัปานกลางเท่าน้นักล่าวคือถา้ไม่สามารถ ทาให้กลายเป็นการยอมรับไดก้ ็ไม่ถือว่ามีความคืบหน้ามากนกั เราตอ้ งระลึกถึงเรื่องน้ีไวเ้สมอประการที่ สอง ผมเห็นดว้ ยกบั ท่ีนายกรัฐมนตรีเฟรเซอร์และท่านอ่ืนๆ ไดพ้ ดู ไวว้ า่ เราตอ้ งไม่ปิ ดตาตวั เองจากการรับรู้วา่ จากประวตั ิศาสตร์ท่ีผา่ นมา ศาสนาไม่ใช่สาเหตุหลกั และเหตุผลสาคญั ของการต่อสู้ ววิ าท สงคราม ฯลฯ
  ตวั อยา่ งหน่ึงคือกรณีของไอร์แลนด์ พวกคาธอลิกไอริชไม่ไดต้ ่อสู้กบั โปรเตสแตนตอ์ งั กฤษ เพราะ องั กฤษเป็นพวกโปรเตสแตนต์ แต่สู้เพราะมนั เป็นสิ่งที่ถูกยดั เยียดให้ โดยผูม้ ีอานาจในลอนดอนซ่ึงเป็น ภูมิภาคที่พฒั นาแลว้ ในขณะที่คาธอลิกไอริชยงั ยากจน ดงั น้นั มนั จึงเป็นเหตุผลที่ดีพอของการไม่ญาติดีต่อ กนั นอกจากน้นั ผนู้ าทางการเมืองไดร้ ับเลือกต้งั โดยคนหลายกลุ่ม ถา้ ผนู้ ายอมรับสิ่งท่ีกลุ่มตอ้ งการจะไดย้ ิน และอยากได้ถา้ผนู้ าในไอร์แลนดเ์หนือเริ่มเดินสายกลางมากข้ึนก็พอจะมีโอกาสเกิดสันติภาพได้ลองนึกถึง ผนู้ าทางศาสนาอยา่ ง เอียน เพรสลีย์ ซ่ึงมีความแขง็ กร้าวและมีท่าทีเป็ นปฏิปักษ์อย่างมากดูสิ พอเขาลงจาก ตาแหน่งไดไ้ ม่นาน พวกเขาก็หาวธิ ีและหนทางเพื่อการอยรู่ ่วมกนั ได้ 
  ประเด็นที่สามของผมอาจจะฟังดูเหมือนคาถามอยู่สักหน่อยผพู้ ูดในช่วงบ่ายน้ีน่าจะพูดถึงมนั นะ เวลาเราพูดถึงศรัทธาของโลก ความไวว้ างใจ ฯลฯ ผมมกั สงสัยว่าเราจะพูดถึงประเด็นท่ีเกี่ยวกบั ความไม่ เสมอภาคทางเพศในศาสนาและประเทศต่างๆ อยา่ งไร ท่ีผมเอ่ยถึงเรื่องน้ีไม่ใช่เพราะเรามีผพู้ ูดจากอินเดียใน บ่ายน้ี เรายนิ ดีท่ีพวกท่านมาร่วมดว้ ย แต่เราต้งั คาถามน้ีกบั พวกท่านทุกคน
  ดร. กราฟ คุณบอกวา่ กระบวนการเรียนรู้ของพวกเราชา้ มาก แลว้ กระบวนการน้ีมนั จบลงดว้ ยการ เป็นอเทวนิยมใช่ไหม? 

ศาสตราจารย์ ดร. กราฟ: เปล่าเลย ผมไม่ไดพ้ ดู เช่นน้นั ผมคงพดู ถึงไดแ้ ค่สังคมยโุ รปเท่าน้นั และอาจเพิ่มเติม เก่ียวกบั สหรัฐอเมริกาอีกสักสองประโยค สถานการณ์ทางศาสนาในสังคมยโุ รปส่วนใหญ่มีความซับซ้อน อยา่งยิง่ คุณไดเ้ห็นท้งัแนวโนม้ ของการเป็นสังคมแบบฆราวาสพบเจอพวกอเทวนิยมที่กา้วร้าวโดยเฉพาะ อยา่ งยงิ่ ในสหราชอาณาจกั รและบางส่วนของฝรั่งเศสพบเจอคริสตศ์ าสนาที่เอนเอียงไปทางปีกขวามีความ กา้ วร้าวเป็นพวกหวั อนุรักษน์ ิยมในบางส่วนของนิกายโปรเตสแตนตย์ ุโรปและคาธอลิกยุโรปพบเจอชน ช้นั กลางผเู้ คร่งศาสนาเขา้ โบสถ์ฟังธรรม ซ่ึงหมายความวา่ เขาเขา้ ใจวา่ ตวั เองคือคริสเตียน ผมไม่คิดวา่ ยุโรป เป็นทวีปของพวกอเทวนิยมหรอกนะ แต่กรณีของโปแลนด์มันแตกต่างออกไป คุณจะได้เห็นความ หลากหลายพบเจอสถานการณ์ท่ีแตกต่างในเยอรมนีตะวนั ออกคุณไม่สามารถเปรียบเทียบมนั กบั เยอรมนี ตอนใต้และอ่ืนๆ ไดเ้ลย


  ผมไม่คิดว่าคุณจะสามารถแบ่งแยกศาสนาและการเมืองออกจากกนั ศาสนาและการเมืองไม่มีทาง แยกจากกนั ไดใ้ นยโุ รป เพราะลทั ธิชาตินิยมในยโุ รปท้งั มวล ลว้ นถูกปลูกฝังอยใู่ นแนวคิดทางเทววิทยาและ ประเพณีทางศาสนา เช่น ชาติที่ศกั ด์ิสิทธ์ิ โปแลนด์ท่ีศกั ด์ิสิทธ์ิ เป็นตน้ ตอ้ งมีการใช้ภาษาท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั ศาสนาเสมอ แต่คุณสามารถแบ่งแยกสถาบนั ทางศาสนา องคก์ ร และรัฐได้ เช่น การแบ่งศาสนจกั รและรัฐ ออกจากกนั แต่นนั่ มนั คนละเรื่องกนั 

 


การยอมรับความแตกต่าง 
 

ผ้แู นะนาท่านที่ 2: ท่านศรี ศรี ระวี แชงการ์ 
มูลนิธิศิลปะของการใช้ชีวติ (อนิ เดีย) 

รียนทุกท่านผมขอเริ่มตน้ ดว้ ยการพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดข้ึนในญ่ีปุ่นตอนท่ีประธานาธิบดีนิกสันไปประชุม กบั ผนู้ าทางศาสนาที่นนั่ ทางดา้ นขวาของเขาคือพระในศาสนาพุทธ ส่วนทางซ้ายคือพระในนิกายชินโต นิก สันหนั ไปถามพระนิกายชินโตว่า“มีคนนบั ถือชินโตในญ่ีปุ่นเท่าไร?”พระชินโตตอบวา่ “80เปอร์เซ็นต์” จากน้ันนิกสันก็ถามพระสงฆ์ศาสนาพุทธว่า “แลว้ มีชาวพุทธในญี่ปุ่นสักเท่าไร?” พระสงฆ์ตอบว่า “80 เปอร์เซ็นต”์นิกสนัถึงกบัอ้ึงไปเลยเขาถามวา่“มนัจะเป็นไปไดย้งัไง?”พระชินโตและพระสงฆศ์าสนาพุทธ มองหนา้ กนั ยมิ้ ๆ “ไม่มีเส้นแบ่งอยา่ งชดั เจนในศาสนาของเรา ชาวพุทธเคารพต่อศาสนาชินโต และศาสนา ชินโตก็เคารพต่อศาสนาพุทธเช่นกนั ” 
  เร่ืองของนิกสนั อาจฟังดูเหมือนความเป็นจริงที่ไกลตวั มากๆ สาหรับหลายคน แต่มุมมองเช่นน้นั คือ สิ่งท่ีพึงปรารถนาอยา่ งยงิ่ แมว้ า่ คนๆหน่ึงจะมาจากครอบครัวท่ีนบั ถือฮินดูท่ีเคร่งครัด แต่ไม่มีใครมาห้ามเขา หรือเธอไปเขา้ โบสถห์ รือมสั ยิดได้ ท่ีจริง พ่อแม่ของเราเคยพาเราไปเยี่ยมเยือนสถานที่เคารพของศาสนาอ่ืน ดว้ ยซ้าไป ตอ้ งขอบคุณต่อ มหาตมะคานธีและประเพณีของการอยรู่ ่วมกนั โดยสันติระหว่างศาสนาต่างๆ ที่ ฝังรากลึกแมแ้ ต่ศาสนายดู ายยงั เจริญรุ่งเรืองในอินเดียหลายร้อยปี จริงๆแลว้ อินเดียเป็นประเทศเดียวในโลก ที่ชาวยวิ ไม่เคยถูกข่มเหง

  อาจารยอ์ ายุ117ปีของผมเป็นคนใกลช้ ิดกบั มหาตมะคานธีเล่าว่ามหาตมะคานธีมกั จะพูดวา่ “เรา ควรจะฝันและก็ควรจะลงมือทางานในทนั ที”ความฝันของคานธีคือการนบั รวมทุกกลุ่มคน(Inclusiveness) ทุกวนั เขาจะท่องอายตั (Ayat) จากคมั ภีร์กุรอาน บทบญั ญตั ิจากไบเบิล และ โศลก สองสามบท จากคมั ภีร์ ภควตั คีตาและพระสูตรจากพระไตรปิฏกของศาสนาพุทธหลักปรัชญาของคานธีช่วยจุดประกาย ประสบการณ์ของการเปล่ียนผา่ นของศตวรรษท่ี 20 โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ ในเอเชียใต้ มนั ดึงคนจากทุกศาสนา ให้เข้าร่วมขบวนการเดียวกันเพ่ือยุติลทั ธิอาณานิคม ซ่ึงเป็นความทา้ ทายท่ียากเย็นที่สุดอย่างหน่ึงของ ศตวรรษที่ 20
  ปัจจุบนั แมแ้ ต่ศาสนาท่ีมีความสงบสนั ติอยา่ ง ฮินดู และ พุทธ ก็ยงั ไดร้ ับผลกระทบจากลทั ธิสุดโต่ง พวกเราเองก็สูญเสียความสามารถในการยอมรับความแตกต่างเช่นกนั เราควรจะนาเอาแนวปฏิบตั ิของคานธี มาจุดประกายคนของเราเพ่ือให้มองหาความกลมเกลียวในความหลากหลาย เพ่ือร่วมฉลองเทศกาลสาคญั ดว้ ยกนั และเพื่อเรียนรู้จากศาสนาของกนั และกนั ถา้ เด็กคนหน่ึงไดร้ ับการเล้ียงดูโดยมีความเขา้ ใจเกี่ยวกบั ศาสนาต่างๆ เขาหรือเธอก็ไม่มีวนั เติบโตดว้ ยความเชื่อวา่ “มีแต่ศาสนาของฉนั เท่าน้นั ที่จะพาฉันไปสวรรค์ ได”้ หรือ “คนอ่ืนตอ้ งตกนรกกนั หมด” วสิ ัยทศั นท์ ี่กวา้ งข้ึนทาใหท้ ุกอยา่ งแตกต่างไป 
  ศตวรรษที่ 20 เป็นช่วงท่ีมีการแข่งขนั กนั ดา้ นอาวุธอยา่ งรุนแรง และน่าเสียดายท่ีเรายงั คงใชจ้ ่ายเงิน เพ่ือสะสมอาวุธยุทธภณั ฑ์เป็นจานวนมากทุกประเทศต่างก็ทุ่มเงินกอ้ นโตเพ่ืองบประมาณการป้องกนั ถา้ รัฐบาลต่างๆเจียดงบเพื่อการป้องกนั ประเทศไปใช้เพื่อให้การศึกษาคนหนุ่มสาวเกี่ยวกบั สันติภาพและ การศึกษาระหวา่ งวฒั นธรรมสกั 0.1เปอร์เซ็นต์โลกก็คงเป็นที่ๆอยแู่ ลว้ มีความสุขมากข้ึนชุมชนทางศาสนา เองก็สามารถแสดงบทบาทสาคญั ในการปลูกฝังสานึกแห่งความกล้าหาญและความหวงั เพื่ออนาคต และ ส ่ ง เ ส ร ิ ม ใ ห เ ้ ก ิ ด ก า ร ย อ ม ร ั บ ใ น ศ ร ั ท ธ า ร ่ ว ม ก นั ไ ด ้ ต อ้ ง ม ี ก า ร ส ่ ง เ ส ร ิ ม ก า ร ศ ึ ก ษ า ส ั น ต ิ ภ า พ อ ย า่ ง จ ร ิ ง จ งั 

ศตวรรษท่ีผา่ นมาเตม็ ไปดว้ ยการก่อจลาจล การกดดนั ทางศาสนา และผคู้ นตอ้ งสูญเสียบา้ นเรือนเพราะความ ขดั แยง้ และภยั พิบตั ิทางธรรมชาติ มีความพยายามสร้างสันติภาพภาพนอกเช่นกนั แต่เห็นไดช้ ดั วา่ มนั ยงั ไม่ พอเม่ือพิจารณาในระดบั ของมนุษย์จะพบวา่ ความเครียดเป็นสาเหตุของความผิดพลาดในโลกปัจจุบนั ของ เราหลายอยา่ ง เรากาลงั ทาใหส้ งั คมของเรามีความสุขมากข้ึนอยา่ งน้นั หรือ? หรือวา่ สังคมของเรามนั น่าหดหู่ มากข้ึนกนั แน่? องคก์ ารอนามยั โลกไดป้ ระกาศวา่ สาเหตุแห่งการเสียชีวิตใหญ่สุดในศตวรรษน้ีไดแ้ ก่ ภาวะ ซึมเศร้าและความเจบ็ ป่วยทางจิตสถิติแสดงให้เห็นว่ามีคุณครูโรงเรียนที่มีภาวะซึมเศร้าถึง40เปอร์เซ็นต์ ถา้ ครูซึมเศร้า แลว้ เขาจะถ่ายทอดอะไรใหเ้ ดก็ นกั เรียนได?้ ดงั นนั เราจึงตอ้ งพูดคุยเรื่องสันติภาพและความสุข ในใจกนั 

  มีหลกั ฐานท่ีแสดงวา่ ความสุขกบั ความมงั่ คงั่ ไม่ไดม้ ีสดั ส่วนสมดุลกนั เลย เช่นมีการประมาณกนั วา่ มี ประชากรของยุโรปท่ีอย่ใู นภาวะซึมเศร้าถึง 38 เปอร์เซ็นต์ ซ่ึงเป็ นจานวนที่ไม่ได้แตกต่างจากประเทศที่ พฒั นาแลว้ รายอื่นๆ ในทางกลบั กนั สัดส่วนความสุขของชาวสลมั ในอินเดียกลบั สูงกวา่ ของประเทศพฒั นา แลว้ หลายแห่งอยา่ งมาก ดงั น้นั ในศตวรรษที่ 21 จึงตอ้ งให้ความสนใจต่อขอ้ เท็จจริงที่แสนประหลาดน้ี เพ่ือ การเรียนรู้จากศตวรรษที่ 20 อยา่ งแทจ้ ริง
  นอกจากความเครียด การขาดวิสัยทศั น์เก่ียวกบั ชีวิตที่กวา้ งไกล และการขาดความเขา้ ใจแลว้ การ ขาดการสื่อสารน่ีแหละที่นาไปสู่การใชค้ วามรุนแรงในสังคม ศตวรรษที่ 20 สอนเราวา่ การส่ือสารล่มเมื่อไร ความขดั แยง้ จะผุดข้ึนมาทนั ที ด้วยเหตุน้ี สังคมปัจจุบนั จึงตอ้ งมุ่งท่ีจะส่งเสริมการส่ือสารที่ปลอดการใช้ ความรุนแรงต้งั แต่ยงั เดก็ ๆ 


ตรงจุดน้ีผมขอย้าประเด็นสาคญั ที่ท่านประธานไดห้ ยิบยกข้ึนมาพูดก่อนหนาน้ีนนั่ คือความไม่เสมอภาค ทางเพศ ซ่ึงเป็นส่วนสาคญั ของหลกั การ การนบั รวมทุกกลุ่มคน ในหลายๆประเทศ รวมท้งั อินเดีย การทา แทง้ ของสตรีคือขอ้ กงั วลที่สาคญั เพราะพ่อแม่ฝ่ายเจา้ สาวเป็นฝ่ายท่ีตอ้ งรับภาระค่าใช้จ่ายในการจดั งาน แต่งงานท่ีสูงข้ึน ส่วนฝ่ายชายก็คาดหวงั ว่าภรรยาจะทาให้ตนร่ารวย แต่ความไม่เสมอภาคทางเพศก็ใช่วา่ จะ เป็นบรรทดั ฐานเสมอไป หลายคร้ังท่ีผหู้ ญิงไดร้ ับความสาคญั กว่าผูช้ าย เช่น ในการจ่าหนา้ บตั รเชิญจะตอ้ ง เขียนว่าเรียนนาง& นายไม่ใช่นายและนางท่ีอินเดียมีรัฐอยู่สองรัฐที่มีระบบสังคมแบบมาตาธิปไตย (ผหู้ ญิงเป็นใหญ่)คือรัฐเกรละและรัฐตรีปุระท่ีนี่ผชู้ ายแต่งเขา้ บา้ นฝ่ายหญิงส่วนทรัพยส์ มบตั ิถ่ายทอดผา่ น ทางลูกสาว จริงๆแลว้ ชายและหญิงต่างก็มีความทดั เทียมกนั ในอินเดียโบราณ แต่ในช่วงยุคกลาง อานาจของ ผหู้ญิงถูกแยง่ชิงไปอยา่งชา้ๆดงัน้นัจึงควรดึงความเสมอภาคในยคุแรกกลบัมาอีกคร้ัง
  เม่ือพิจารณาการเมืองของอินเดียรอบที่แลว้ จะพบว่าประธานาธิบดีประธานรัฐสภาและหัวหน้า พรรคการเมืองท่ีปกครองประเทศลว้ นเป็นผหู้ ญิงท้งั น้นั รัฐในอินเดียหลายแห่งปกครองโดยผหู้ ญิง พูดไป แลว้ ผมกเ็ ห็นดว้ ยวา่ ในยคุ น้ีมีอะไรใหท้ าอีกเยอะ องคก์ รทางศาสนาและสังคมตอ้ งปรึกษาหารือกนั เรื่องการ คืนพ้ืนที่แก่สตรีอีกครัง ซ่ึงไม่ใช่งานง่ายเลย บางคนอาจเห็นดว้ ย บางคนไม่ แต่ถึงอยา่ งไรก็ตอ้ งทาให้ ความ เสมอภาคทางเพศมีความกา้วหนา้ในศตวรรษที่21นี่คือความรับผดิชอบของนกัคิดและนกัปรัชญาปัจจุบนั 


โดยสรุปแลว้ เราจะตอ้ งดาเนินการเพื่อใหก้ ารศึกษาแก่คนหนุ่มสาวของเรา ผมขอเอ่ยถึงสิ่งท่ีไดแ้ ถลงไวต้ อน แรกคือ ถา้ เด็กทุกคนไดร้ ับการศึกษาเกี่ยวกบั จารีตประเพณีต่างๆของโลก เขาหรือเธอจะเติบโตเป็นคนท่ีมี วสิ ัยทศั นก์ วา้ งข้ึน วสิ ยั ทศั นน์ ้ีมาพร้อมกบั ความสามารถไม่ใช่แค่ขนั ติธรรมเท่าน้นั แต่ยงั สามารถที่จะยอมรับ และยกยอ่ งความแตกต่างของเราดว้ ย เราไดข้ ยบั ออกจากลทั ธิแยกอยโู่ ดดเด่ียวแห่งศตวรรษท่ี 20 เพื่อกา้ วสู่ สงั คมโลกแห่งศตวรรษท่ี 21 และนี่คือช่วงเวลาของการยอมรับในความแตกต่างของเราแลว้ 



การตัดสินใจโดยยดึหลักจริยธรรม: 
สู่ความเป็ นน้าหน่ึงใจเดียวกันภายในอารยธรรมโลก 


รายงานโดย ฯพณฯ ดร. อบั เดล ซาลาม มาจาลี 
อดีตนายกรัฐมนตรีจอร์ แดน 

เราพดูถึง“ศาสนเสวนา”แต่ผมกลบัคิดวา่เราตอ้งถามวา่“เสวนาไปเพื่ออะไร?” 
 
  ผมขอเสนอคาตอบจากนกั ปราชญแ์ ละนกั ประวตั ิศาสตร์ชาวอาหรับผยู้ ิง่ ใหญ่คือ อิบนฺ คาลดุน ซ่ึง ได้ศึกษากรอบความคิดและประวตั ิศาสตร์อารยธรรม และอธิบายว่าเหตุใดมนั จึงเกิดข้ึนและล่มสลาย นอกจากน้ียงั ไดพ้ ฒั นาแนวคิดเรื่องสังคมวิทยา คือ อัมราน (Umran) ก่อนนกั ปราชญช์ าวยโุ รป อัมราน คือ “ความเป็นอยทู่ี่ดีของมนุษยแ์ละการพฒันาของมนุษย”์ นบัวา่เป็นวตัถุประสงคท์ี่เหมาะแก่การต้งัเป้าหมาย สาหรับ ศาสนเสวนา 

อิบนฺ คาลดุน เสนอแนวคิดเร่ือง อะสาบิยาห์ (Asabiyah) ซ่ึงหมายถึง “ความรู้สึกร่วมกนั ของผคู้ นในสังคม” และในการดาเนินรอยตามอะสาบิยาห์ในฐานะท่ีเป็นอุดมการณ์อย่างหน่ึงน้ันผนู้ าจะตอ้ งระบุปัจจยั ทาง จิตวิทยา เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคมซ่ึงมีส่วนต่อการส่งเสริมอารยธรรมของมนุษย์ แน่นอนว่า จุดประสงคแ์ รกของ “การเสวนา” คือการสร้างความเป็นนาหน่ึงใจเดียว เป็นความเป็นนาหน่ึงใจเดียวของ ชาติและภายในอารยธรรมโลกของเราอิบนฺคาลดุนเป็นบิดาของการศึกษาเร่ืองความเป็นผนู้ าเขากล่าวว่า ความเป็นผนู้ าดารงอยใู่ นความสมั พนั ธ์ท่ีมีความเป็นพลวตั ระหวา่ งผนู้ าและผตู้ ามคุณสมบตั ิพ้ืนฐานของการ เป็นผนู้ าท่ีดีในทศั นะของ อิบนฺ คาลดุน ก็คือ เขาหรือเธอตอ้ งเตม็ ใจท่ีจะเคารพผอู้ ่ืน ซ่ึงก็จะทาให้เกิดความ เป็นนาหน่ึงใจเดียวระหวา่ งผนู้ ากบั ผตู้ าม และระหวา่ งสมองกบั ร่างกาย

  แต่ความเป็นผูน้ า กับ การครอบงา น้ันมีความแตกต่าง อารยธรรมล้มเหลวเมื่อผูน้ ากลายเป็นผู้ ครอบงา แน่นอนเรื่องน้ีส่งข่าวสารสาคญั บางอยา่ งถึงผูน้ าโลก โดยเฉพาะประเทศท่ีมีอานาจมากที่สุดของ โ ล ก เ ร า จ า เ ป ็ น ต อ้ ง ส อ น ผ นู ้ า ห น ุ ่ ม ส า ว ใ ห เ ้ ข า้ ใ จ ว า่ ถ า้ เ ข า ท า ต วั เ ป ็ น ผ คู ้ ร อ บ ง า เ ม ื ่ อ ไ ร ก ็ เ ท ่ า ก บั น า ค ว า ม ล ่ ม จ ม ม า สู่สงั คม ชุมชน สถาบนั และถึงที่สุดคืออารยธรรมของเขา ท้งั น้ีไม่ตอ้ งพดู ถึงความล่มจมของตวั เองเลย 

ผนู้ าเรียนรู้จาก ความรู้ ที่ถูก ยัดเยียด จากผสู้ อนไดไ้ ม่มากนกั แต่จะเรียนรู้ไดด้ ว้ ยการ ได้สัมผสั กบั ผอู้ าวุโส และคนในแวดวงเดียวกนั ท้งั ในระนาบเดียวกนั และในแนวต้งั ไดม้ ากกวา่ ผมเชื่อวา่ การศึกษาท่ีดีที่สุดคือการ ปฏิสัมพนั ธ์ทางความคิด ระหวา่ งคนต่างวชิ าชีพ ต่างศาสนา ต่างอารยธรรม และมาจากภาคส่วนของสังคม ต่างกนั น่ีคือพ้นื ฐานของการใชจ้ ริยธรรมประกอบการตดั สินใจของผนู้ าในอนาคต 
  สถาบนั ผนู้ านานาชาติแห่งมหาวิทยาลยั สหประชาชาติ (United Nations University International Leadership Academy) ซ่ึงผมดูแลและให้การสนบั สนุน ไดร้ ับการก่อต้งั เมื่อหลายปี ก่อน เพ่ือเปิ ดโอกาสให้ ผนู้ าหนุ่มสาวท่ีมีศกั ยภาพจากรัฐต่างๆ และจากทุกวงการได้ “สัมผสั ” กบั “ผูอ้ ื่น” ผนู้ าหนุ่มสาว ซ่ึงมีอายุ ระหว่าง 30-40 ปี จะตอ้ งมีปฏิสัมพนั ธ์ต่อกนั รวมท้งั กบั ผูน้ าทางการเมืองประเทศต่างๆที่เลือกไวแ้ ลว้ โดย การไปเยือนประเทศเหล่าน้ันเพื่อพบปะและมีปฏิสัมพนั ธ์กับผูน้ าของประเทศน้ันด้วย เม่ือการเยือน ตามลาดบั สิ้นสุดลงทุกคนจะกลบั มาท่ีฐานเดิมเพ่อื การสรุปสิ่งที่ตนไดเ้ห็นไดฟ้ ังและทศั นะต่อกลุ่มของตน ขอ้ มูลท้งั หมดจะถูกรวบรวมเพื่อจดั ทาเป็นหนงั สืออา้ งอิงเพื่อการเผยแพร่ต่อไป นี่คือวิธีท่ีมนั่ ใจได้ว่าจะ สามารถอุดช่องวา่ งระหวา่ งผนู้ าและผตู้ ามและเป็นสะพานเช่ือมต่อระหวา่ งผนู้ าดว้ ยกนั เองรวมท้งั เป็นการ หวา่ นเมลด็ พนั ธุ์ของการใชห้ ลกั จริยธรรมประกอบการตดั สินใจในความคิดและจิตใจของผนู้ าแห่งอนาคต
  ในศตวรรษที่ 21 น้ี เราดารงชีวิตอยู่ใน “โลกที่ถูกทาให้เป็ นโลกาภิวตั น์” ดังน้ันจึงมนั่ ใจได้ว่า โครงการดงั กล่าวจะช่วยสร้างความเป็ นปึ กแผน่ แก่อารยธรรมโลก การศึกษาของผูน้ าที่กล่าวมาน้ีสามารถ ช่วยใหเ้ อาชนะการละเลยและความลาเอียงท่ีกีดขวางหนทางสู่การทาความเขา้ ใจชีวติ และจารีตประเพณีของ “ผอู้่ืน”น่าเสียดายท่ีโครงการดงักล่าวถูกผนู้าของมหาวิทยาลยัสหประชาชาติยกเลิกไปแลว้เพราะพวกเขา ตอ้ งการฝึกฝนความเป็นผนู้ าแบบเดิมๆ ไม่ใช่แผนการที่ผมเสนอไว้ 


แต่การ “สัมผสั ” ที่ว่าน้ีไม่ใช่การใส่ความคิดของเราให้ผอู้ ื่น มนั หมายถึงการเปิ ดโอกาสให้ผูอ้ ื่นไดเ้ ปิ ดเผย ความคิดของเขาดว้ ยเช่นกนั โดยเริ่มตน้ จากการรับฟัง ผมขออา้ งคาพูดของอดีตวุฒิสมาชิกพรรคเดโมแครต จากรัฐจอร์เจียคือ วิช ฟาวเลอร์ ซ่ึงต่อมาดารงตาแหน่งเอกอคั รราชทูตสหรัฐฯ ประจากรุงริยาด เม่ือหลายปี ก่อนเขาบอกวา่ “ผมชอบใชเ้วลานงั่ ด่ืมชากลางทะเลทรายร่วมกบั ชาวอาหรับยามค่าคืนคร้ังละหลายชวั่ โมง พวกเขาอยากเล่าเรื่องครอบครัวของตวั เอง และก็อยากฟังเร่ืองของคุณดว้ ย เขาจะเล่าใหผ้ มฟังเร่ืองพ่อเล้ียง อูฐ ส่วนผมจะเล่าเรื่องพ่อผมเล้ียงววั ” ซ่ึงถ่ายทอดให้เห็นไดอ้ ย่างงดงามว่า การหาพ้ืนฐานร่วมกนั น้นั ช่วย สร้างหนทางสู่ความเป็นน้าหน่ึงใจเดียวไดอ้ ยา่ งไร 

 

ศาสนาก็มีตวั อยา่ งคลา้ ยๆกนั โมฮมั เหมด็ ตรัสวา่ “จงปฏิบตั ิต่อผอู้ ื่นเช่นเดียวกบั ที่ท่านตอ้ งการให้เขาปฏิบตั ิ ต่อท่าน” พระเยซูตรัสวา่ “จงรักเพ่ือนบา้ นของท่านเหมือนท่ีรักตวั เอง” ศาสนาที่แตกต่างกนั ท้งั สองศาสนา ซ่ึงสอนเร่ืองการมีเจตคติต่อผอู้ ่ีนเหมือนกนั ดงั น้นั จึงควรปฏิบตั ิต่อผนู้ า รัฐบาล บริษทั ประชาชน ฯลฯ เช่นที่ คุณปรารถนาจะไดร้ ับจากผอู้ ื่นเช่นกนั ผมคิดว่าหลกั การเดียวกนั น้ีก็นามาใชก้ บั เร่ืองจริยธรรมไดเ้ช่นกนั เพราะจริยธรรมเป็นสิ่งที่มีอยู่ในทุกศาสนา เวลาที่เราพูดถึงการเสวนาระหว่างศาสนา หรือ ศาสนเสวนา แน่นอนเรายอ่ มหมายถึงการเสวนาในหมู่ผนู้ บั ถือศาสนาต่างๆ แต่จริงๆแลว้ มนั หมายความวา่ อะไร? บางคน น ิ ย า ม ค ว า ม ศ ร ั ท ธ า ว า่ เ ป ็ น “ ค ว า ม เ ช ื ่ อ ใ น ห ล กั ก า ร ห น ่ ึ ง ซ ่ ึ ง ม ี พ ้ ื น ฐ า น จ า ก ค ว า ม เ ช ื ่ อ ม นั ่ ท า ง จ ิ ต ว ิ ญ ญ า ณ ” ส า ห ร ั บ ผมแลว้ ศรัทธาประกอบดว้ ยพิธีกรรม กฎหมาย และค่านิยม 
 
  การเสวนาระหวา่ งผทู้ ี่นบั ถือและความศรัทธาต่างกนั ไม่ควรเป็นเรื่องของพิธีกรรมหรือวา่ เราแต่ละ คนจะมีปฏิสัมพนั ธ์กบั พระเจา้ อย่างไร หรือการสวดมนต์ หรือว่าเขา/เธอไปมสั ยิดหรือโบสถ์คริสต์หรือ โบสถ์ยิวไหม หรือไม่ควรเป็นเรื่องกฎหมายหรือคาสอน เพราะนนั่ คือสิ่งท่ีเป็นสากลและไดร้ ับการยอมรับ กนั ทวั่ ไป แต่ควรเสวนากนั ในเร่ือง “ค่านิยม” เช่นค่านิยมเรื่องความยุติธรรม ความทดั เทียม ความเคารพต่อ สิทธิมนุษยชนและเสรีภาพ นี่คือสาระสาคญั 

  การท่ีให้ความสนใจเร่ืองค่านิยมก็เพ่ือหาพ้ืนฐานร่วมกนั เพ่ือช่วยส่งเสริมความเป็นมนุษย์ไม่ใช่ ทาลายความเป็นมนุษยข์อง“ผอู้่ืน”ดงัน้นัจึงเกิดคาถามวา่จะแกไ้ขความขดัแยง้ระหวา่งการเป็นผนู้าแห่งชาติ และ ผนู้ านานาชาติ ไดอ้ ยา่ งไรในเม่ือผลประโยชน์แห่งชาติมนั ขดั กนั กบั ผลประโยชน์ของโลก โดยส่วนตวั แลว้ ผมไม่คิดวา่ มนั มีความขดั แยง้ อะไรเลย ผมเชื่อวา่ มนั คือความยตุ ิธรรมในตวั บุคคล การใหค้ วามสาคญั ต่อ ผลประโยชน์ส่วนรวมมากกวา่ ผลประโยชน์ส่วนตนจะช่วยใหเ้ราสามารถดารงความเป็นผนู้ าของชาติและ สร้างตานานที่ยงั่ยนื เรื่องแบบเดียวกนั น้ีเกิดข้ึนในระดบั โลกไดเ้ช่นกนั เพราะถึงท่ีสุดแลว้ ผลประโยชน์ของ ชาติก็เป็นสิ่งเดียวกนั กบั ผลประโยชน์ของโลกผนู้ าท่ีตระหนกั ถึงสิ่งน้ีจะเป็นผทู้ ่ีดารงความเป็นผนู้ าไดด้ ีที่สุด
  ลองดูเร่ืองสิทธิมนุษยชนเป็นตัวอย่าง ผมบอกได้เลยว่าเราจาเป็นต้องมีปฏิญญาสากลว่าด้วย จริยธรรม ความพยายามดงั กล่าวจะดึงผูน้ าทางการเมืองและศาสนาให้มาร่วมมือกนั เพ่ือประโยชน์ของ มนุษยชาติ เพื่อช่วยกนั วางรากฐาน “จริยธรรม” สาหรับการตดั สินใจทุกอยา่ ง 

ผมขอสรุปดว้ ยการพดู ถึงผนู้ าท่ีมีความโดดเด่นมากที่สุดท่านหน่ึงแห่งศตวรรษที่20เป็นเพื่อนที่รักยิ่งเป็น ห น ่ ึ ง ใ น ผ กู ้ ่ อ ต ้ งั ส ภ า ป ฏ ิ ส ั ม พ นั ธ ์ เ ข า ค ื อ ฯ พ ณ ฯ เ ฮ ล ม ุ ท ช ม ิ ด ท ์ ใ น ว า ร ะ ค ร บ ร อ บ ว นั เ ก ิ ด ป ี ท ี ่ 9 5 ข อ ง เ ข า บ ุ ร ุ ษ ผ ู ้ ก ล ่ า ว ว า่ “ ผ ทู ้ ี ่ ต อ้ ง ก า ร ไ ป ใ ห ถ้ ึ ง เ ป้ า ห ม า ย ท ี ่ อ ย แ่ ู ส น ไ ก ล ต อ้ ง ค ่ อ ย ๆ ก า้ ว ไ ป ท ี ล ะ เ ล ็ ก ล ะ น อ้ ย ” 

  ผมจะพดู ถึงขอ้ ดีของการมีอายุมากข้ึน และผมจะใชส้ ิ่งท่ีท่านแรบไบ ฮาเบอร์แมน, แรบไบกิตติคุณ ชุมนุมชาวฮิบรูแห่งวอชิงตนั ในกรุงวอชิงตนั ดีซีไดก้ ล่าวไวเ้ม่ือไม่นานมาน้ี 

  • ประการแรกเลยเขากล่าวว่าอายทุี่มากขึน้นามาซึ่งความสงบสุข
  • ●ถ้าคุณโชคดี คุณก็จะได้สิ่งที่คุณต้องการตอนอายุมากขึ้น การต่อสู้สาคัญผ่านพ้นไปแล้ว การ
  • ตัดสินใจกไ็ด้ทาลงไปแล้วคุณไม่ต้องคอยผลักดันดิน้รนต่อสู้อีกแล้ว 
  •  

ผมขอแสดงความเห็นต่างจากฮาเบอร์แมนในการกล่าวถึงเฮลมุทชมิดท์สักหน่อยเพราะทุกวนั น้ีเขาก็ยงั กระตือรือร้นมุ่งมนั่ ในหลกั การของเขา ในวยั 95 ปี เช่นเดียวกบั ตอนที่เขานาประเทศเยอรมนีเมื่อประมาณสี่ ทศวรรษก่อน เฮลมุท คุณยงั คงไดร้ ับความรักและความเคารพจากพวกเรา และจากใครอีกหลายคนทวั่ โลก ผมขอใหค้ ุณ และในวาระครบรอบวนั คลา้ ยวนั เกิดน้ีมีแต่ความสงบสุข ขอพระเจ้าจงอานวยพร 
 

การอภปิราย 

ดร. ชเลนซอก: คาถามเร่ืองความไม่เสมอภาคทางเพศ ไม่เพียงแต่เป็นคาถามของศาสนาและสังคมที่ แตกต่างกนั เท่านัน แต่ยงั เป็นคาถามของที่ประชุมแห่งน้ีด้วย ดงั นันในส่วนน้ีจึงมีเร่ืองที่ต้องทาอีกมาก ขอ้ คิดเห็นอีกอยา่ งหน่ึงเก่ียวขอ้ งกบั สุนทรพจน์ของศาสตราจารย์ กราฟ คือผมไม่อยากให้เกิดความเขา้ ใจผิด ถา้ คนอยา่ งผมและนกั วชิ าการท่านอ่ืนๆในโลก จะคุยกนั เร่ืองจริยธรรมสากล เราไม่ไดพ้ ดู ถึงสวรรคห์ รือนรก หรอกนะ แต่พูดถึงจริยธรรมท่ีมีอยู่ในประเพณีทางจิตวิญญาณและประเพณีทางปรัชญาของโลก เอกสาร ต่างๆ เช่น “ปฏิญญาสู่จริยธรรมโลก” โดยสภาศาสนา คือเอกสารท่ีว่าดว้ ยความทา้ ทายเฉพาะในยุคสมยั เรา และบอกวา่ เรามีศกั ยภาพในการแกป้ ัญหา ถา้ เราหมนัเตือนตวั เองเกี่ยวกบั ประเพณีทางจริยธรรมและบญั ญตั ิ ทางจริยธรรมของเราอยเู่สมอมนั ไม่ใช่เอกสารไร้เดียงสาที่บอกวา่เราสามารถสร้างสวรรคบ์ นดินแต่มนั บอก ว่าเรามีพนั ธะกรณี ถา้ เราเชื่อ เราก็มีพนั ธะกรณีต่อการยาเตือนตวั เองภายในศกั ยภาพตามประเพณีของเรา และเราก็จะเชิญชวนทุกคน ทงั ผทู้ ี่นบั ถือและไม่นบั ถือศาสนาใหท้ าแบบเดียวกนั 

ศาสตราจารย์ ชาง: ในส่วนของเจตคติต่อศาสนานนั ผมขอบอกว่ารูปแบบความเชื่อโดยทวัไปของจีนก็ คลา้ ยๆกบั ของญี่ปุ่น คือเป็นพุทธ 80 เปอร์เซ็นต์ นบั ถือลทั ธิขงจื๊อ 80 เปอร์เซ็นต์ และลทั ธิเต๋า 80 เปอร์เซ็นต์ เพราะในใจของชาวจีนทุกคนนนั ไม่ว่าจะมีการศึกษาหรือไม่มีชายหรือหญิงศาสนาและความเช่ือทงัสาม ต่างก็รวมอยใู่ นใจดวงเดียวกนั ในบา้ นเรือนหลงั เดียวกนั ลูกๆ อาจเป็นคริสเตียน แต่พ่อแม่ยงั คงนบั ถือพุทธ และลทั ธิเต๋ามีใหเ้ห็นบ่อยไป 
  ประเดน็ ที่สองคือการหยบิ ยกคาพดู ของกวเีกอเธของท่านประธาน“หน่ึงคือขนั ติธรรมแต่ขนั ต่อไป คือการยอมรับ” ผมคิดวา่ ขนั ต่อไปคือความเคารพ ไม่ใช่แค่ยอมรับแต่ตอ้ งเคารพดว้ ย แต่ผมคงไม่ไปไกลถึง คาพูดท่ีว่า “การยอมรับความแตกต่าง” แต่ถา้ มีความแตกต่าง ก็ปล่อยมนั ไวต้ รงนนั จงยอมรับและเคารพ ความแตกต่างในศาสนาต่างๆ
  ประเด็นท่ีสามของผมคือ เราไดเ้ ห็นผลประโยชน์ส่วนตน ของชนเผ่า พวกพอ้ ง ผลประโยชน์ของ ชาติ ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แฝงมาในรูปของความแตกต่างทางศาสนา ผมจะเล่าตวั อยา่ งของผมให้ฟัง มณฑลท่ีผมเกิดคงจะตอ้ งตกเป็นของญ่ีปุ่นตลอดกาลถ้าหากว่าองั กฤษและฝรังเศสไม่เขา้ มาแทรกแซงใน สงครามระหวา่ งจีนและญ่ีป่ ุนเม่ือปี 1894 แต่องั กฤษซ่ึงเป็ นประเทศนบั ถือนิกายโปรเตสแตนต์ และฝรังเศส ซ่ึงเป็นคาธอลิกบงั คบั ญ่ีปุ่นซ่ึงนบั ถือชินโตใหเ้อาไปเฉพาะไตห้ วนั เท่านนั ปัจจุบนั ทุกคนมองดูไครเมียซ่ึง สมยั ศตวรรษท่ี 19 คือประเทศออร์โธดอกซ์ ท่ีพยายามจะยดึ ครองประเทศมุสลิม ฝรังเศสและองั กฤษก็เขา้ ไป แทรกแซง จนรัสเซียตอ้ งถอนกาลงั ออกไป เร่ืองทงั หมดน้ีบอกผมว่าเราตอ้ งไม่ให้ความสนใจต่อรูปแบบ ความเชื่อทางศาสนา และคิดวา่ มนั มีความแตกต่างฝังลึกอยใู่ นตวั มนุษยใ์ หม้ ากนกั 


  อย่างแรกเลยเราคือมนุษย์แล้วเราก็ถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มก้อนข้ึนอยู่กบั ว่าเราเติบโตมาในจารีต ประเพณีทางสังคมและวฒั นธรรมแบบไหน ผมเคารพและหวงั ว่าเราจะสามารถรวมความแตกต่างน้ีได้ ท้งั หมด ทว่าดว้ ยเหตุผลบางประการ สุดทา้ ยเราก็ตอ้ งแสวงหาการเสวนาแบบน้ี แต่ตอ้ งไม่ลืมว่าศาสนา เหล่าน้ีไม่ไดม้ ีความขดั แยง้ กนั โดยกาเนิด ผูค้ นพูดถึงศาสนาแห่งสันติภาพ ในสมยั ของพระเจา้ อโศกแห่ง อินเดีย พระองคม์ ีชยั เหนือดินแดนที่กวา้ งใหญ่ และเปลี่ยนทุกคนใหห้ นั มานบั ถือศาสนาพุทธ

ประธาน วรานิทสก:ี้ คุณแม่ของผมเป็ นโปรเตสแตนต์ คุณพ่อผมเป็ นคาธอลิก เมื่อท่านแต่งงานกนั ก็ต่างคน ต่างนับถือศาสนาของตน พอผมเกิด พ่อแม่ตดั สินใจให้ผมเข้าพิธีแบ๊บติสของโปรเตสแตนต์ เมื่อเกิด สงครามโลกคร้ังที่สอง พ่อผมตอ้ งเขา้ ร่วมกองทพั เยอรมนั ในปี 1942 เราไม่ไดข้ ่าวคราวจากพ่อนานถึง 9 เดือน ส่วนแม่ก็ไดแ้ ต่ตาหนิตวั เอง คิดว่าพ่อตายแลว้ และท่านสมควรถูกตาหนิ เพราะแม่ไม่ยอมให้ลูกๆเขา้ พธิ ีแบบ๊ ติสของคาธอลิก แต่โชคดีที่พอ่ รอดและกลบั มาในปี 1945 แม่บอกพ่อวา่ “ฉนั สัญญากบั พระเจา้ วา่ ถา้ คุณกลบั มาจากสงคราม ฉนั จะใหล้ ูกๆเขา้ พิธีแบบ๊ ติสของคาธอลิก” ผมจึงเป็นคนออสเตรียไม่ก่ีคนที่เป็นท้งั คาธอลิกและโปรเตสแตนต์ขอรวบรัดเรื่องใหส้้ันลงแลว้กนั พ่อตอบวา่“เหลวไหลท้งัเพ”และปล่อยมนัไว้ อยา่ งน้นั แหละ! 

ท่านโอตานิผ้ทู รงเกยี รต: ในฐานะคนญ่ีปุ่นผมขอแสดงความเห็นเก่ียวกบั ท่านศรีศรีระวีแชงการ์ซ่ึงพูดถึง เจตคติของญ่ีป่ ุนต่อศาสนา เขาบอกว่าคนญี่ป่ ุนเป็ นชาวพุทธ 80 เปอร์เซ็นต์ และชินโต 80 เปอร์เซ็นต์ ซ่ึง โดยรวมก็ใช่ น่ีคือความเป็นจริงของชีวิตในญ่ีปุ่น แมจ้ ะเป็นเรื่องท่ีเขา้ ใจยากสาหรับผทู้ ี่เชื่อว่ามีพระเจา้ องค์ เดียวแต่นิกายของผม(นิกายดินแดนบริสุทธ์ิ)แตกต่างจากศาสนาพุทธของคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่คือนิกายของ เรานบั ถือองคพ์ ระอมิตาพุทธเจา้ เพียงองคเ์ ดียว ดงั น้นั เราจึงไม่ไปศาลเจา้ ของชินโต แมจ้ ะไม่ไดข้ ดั แยง้ หรือ ต่อตา้นลทั ธิชินโตก็ตามในบรรดาประเพณีของญี่ปุ่นท้งัหลายถือวา่เราเป็นศาสนาแห่งสนั ติภาพ
  เม่ือพดู ถึงเร่ืองน้ีแลว้ ผมขออา้ งถึงประเดน็ เกี่ยวกบั สิ่งท่ีศาสตราจารยก์ ราฟนาเสนอไว้ คือเรื่องจุดยืน ของศาสนาต่อความชัว่ ร้ายของสงครามโลกคร้ังท่ีสอง ผมยอมรับดว้ ยความเสียใจว่าศาสนาในญี่ปุ่นแทบ ท้งั หมด ใหก้ ารสนบั สนุนนโยบายของรัฐบาลญ่ีป่ ุน มีบางส่วนที่เฉยๆ และเราก็สนบั สนุนการทาสงครามกบั ประเทศเพื่อนบา้ นและฝ่ายสัมพนั ธมิตรหลงั สงครามโลกคร้ังท่ีสองศาสนาของญี่ปุ่นส่วนใหญ่รวมท้งั ของ เราดว้ ย จึงเพิ่งตระหนกั ถึงความผิดพลาดท่ียอมรับไม่ไดข้ องเรา แมจ้ ะตอ้ งใชเ้ วลา 40-50 ปี ก็ตาม และเราก็ รู้สึกสานึกผดิ อยลู่ ึกๆ เราต้งั ใจแลว้ วา่ จะไม่ยอมทาผิดพลาดแบบเดิม และตอนน้ีเราอยรู่ ะหวา่ งกาลงั ศึกษาวา่ จะช่วยสร้างสนั ติภาพในโลกไดอ้ ยา่ งไร 

ประธาน วรานิทสกี้: ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยวา่ ในขณะที่เส้นโคง้ ของอารยธรรมและการบูรณาการกาลงั ขยบั สูงข้ึน เส้นโคง้ ท่ีแสดงถึงความเป็นน้าหน่ึงใจเดียวกลบั ตกต่า ในประเทศยุโรปส่วนใหญ่ ความเป็นน้า หน่ึงใจเดียวจะขยบั ข้ึนถา้ เป็นเร่ืองเก่ียวกบั ผอู้ พยพ ผลู้ ้ีภยั เป็นตน้ ผนู้ าทางการเมืองส่วนใหญ่ก็เช่นกนั ถา้ มนั เก่ียวขอ้ งกบั โอกาสในการรณรงคห์ าเสียง ก็มกั จะเอ่ยอย่างเศร้าๆว่า “ลาก่อนนะพวกคนจน พวกที่มาจาก ต่างประเทศท้งั หลาย” 

ศาสตราจารย์ไซคาล:ภาพลกั ษณ์หน่ึงที่เกิดข้ึนในโลกอาหรับคือการไร้เอกภาพและความเป็นปึกแผน่ ซ่ึง เป็นอะไรท่ีน่าราคาญใจเป็นอยา่ งยิง่ ผมขอกลบั ไปที่คาถาม “บทเรียนจากศตวรรษที่ 20 ต่อยคุ สมยั ปัจจุบนั ” ค า ถ า ม ข อ ง ผ ม ท ่ ี ม ี ต ่ อ ด ร . ก ร า ฟ ค ื อ เ ร า ไ ด เ ้ ห ็ น แ ล ว้ ว า่ ศ ต ว ร ร ษ ท ่ ี 2 0 เ ป ็ น ศ ต ว ร ร ษ ท ี ่ ม ี ก า ร ผ ส ม ผ ส า น ก นั ร ะ ห ว า่ ง ศาสนากบั การเมือง แต่ถึงกระน้นั เราก็ยงั ไดเ้ ห็นความสัมพนั ธ์เชิงตอบโตอ้ ยา่ งใกลช้ ิดระหวา่ งท้งั สอง แมแ้ ต่ ในสังคมที่อา้ งวา่ เป็นสังคมแบบฆราวาส เช่น สหรัฐอเมริกาและประเทศยโุ รปบางประเทศ คุณคิดวา่ เร่ืองน้ี ท า ใ ห เ ้ ก ิ ด ค ว า ม ต ึ ง เ ค ร ี ย ด อ ย า ่ ง ร ุ น แ ร ง ร ะ ห ว า ่ ง อ า น า จ อ ธ ิ ป ไ ต ย ข อ ง พ ร ะ เ จ า ้ แ ล ะ อ า น า จ อ ธ ิ ป ไ ต ย ข อ ง ค น อ ย า ่ ง น ้ นั หรือ? สิ่งที่เรามีก็คือ ความศกั ด์ิสิทธ์ิของประชาชน นนั่ แหละคือสิ่งสาคญั สูงสุด 
  แต่ถา้ คุณดึงศาสนาเขา้ มา ถึงตอนน้นั อานาจอธิปไตยของพระเจา้ ก็จะมีความสาคญั ข้ึนมา เพราะเรามี สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านที่มีผูน้ าสูงสุดเป็นตวั แทนอานาจอธิปไตยของพระเจา้ และมีประธานาธิบดี และรัฐสภาที่มาจากการเลือกต้งั ตามมาตรฐานสากลเป็นตวั แทนแห่งอานาจอธิปไตยของประชาชนตราบใด ที่ยงั มีความสัมพนั ธ์ระหว่างสองสิ่ง มนั ก็สามารถทางานได้ เช่นในกรณีของอิหร่าน แล้วนนั่ คือหน่ึงใน บทเรียนของศตวรรษท่ี 20 ซ่ึงมีการผสมผสานระหว่างศาสนาและการเมือง ท่ีเราพบว่ามีความขดั แยง้ ระหวา่ งกรอบความคิดเร่ืองอานาจอธิปไตยของพระเจา้ และอานาจอธิปไตยของประชาชน และเป็นสิงท่ีเรา ตอ้ งแกไ้ ขใช่ไหม
  บทเรียนที่สองที่เราตอ้ งใหค้ วามสนใจคือ คุณตอ้ งการจะส่งเสริมทศั นะเกี่ยวกบั โลกตามแนวคิดของ คานต์ ซ่ึงไดแ้ ก่หมู่บา้ นโลกจริงๆหรือ? เมื่อใดก็ตามที่เราพยายามส่งเสริมทศั นะของคานต์ เรามกั จะลม้ เหลว เสมอ และตอ้ งเผชิญกบั ความเป็นจริงตามแนวคิดของฮอบส์ ซ่ึงยงั คงมีอิทธิพลไม่เพียงแต่การเมืองโลก เท่าน้นั แต่ยงั รวมถึงนโยบายของชาติทวั่ โลกดว้ ย นนั่ คือบทเรียนสาคญั อีกบทหน่ึง ท่ีเราเรียนรู้จากศตวรรษท่ี 20 แลว้ โอกาสของการกา้ วออกจากแนวคิดของฮอบส์ สู่ระเบียบโลกตามแนวคิดของคานต์ ที่ซ่ึงเราสามารถ ส่งเสริมกรอบความคิดเรื่องความเป็นน้าหน่ึงใจเดียวและกรอบความคิดเรื่องจริยธรรมเป็นอยา่ งไรบา้ ง? 

ดร. โคชรู : ผมขอแสดงความเห็นต่อความเชื่อเกี่ยวกบั อานาจอธิปไตยของพระเจา้ และอานาจอธิปไตยของ มนุษย์ และถา้ เราใส่วาทกรรมทางปรัชญาในบริบทของการพฒั นาสงั คมและการเมืองในโลกอิสลาม เราก็จะ เห็นวา่ อิสลามเป็นศาสนาที่กาลงั เติบโตและมีบทบาทสาคญั มากข้ึนในสังคมปัจจุบนั เม่ือเทียบกบั 50ปีก่อน อ ิ ส ล า ม ก า ล งั ม ี อ า น า จ ม า ก ข ้ ึ น จ น ม ี ผ ล ต ่ อ ช ี ว ิ ต ท า ง ส ั ง ค ม แ ล ะ ก า ร เ ม ื อ ง แ ต ่ พ ึ ง พ ิ จ า ร ณ า ด ว้ ย ว ่ า ศ า ส น า น ้ นั ถ ึ ง อย่างไรก็ยงั ถูกกาหนดเง่ือนไขโดยเจตจานงของมนุษย์ ดงั น้ันการหาจุดสมดุลระหว่างแหล่งที่มาแห่ง ความชอบธรรมของอานาจอธิปไตยท้งั สอง ในขณะที่อิสลามกา้ วไปขา้ งหนา้ เจตจานงของประชาชนก็จะ เขา้ มา และนี่คือวธิ ีรวมท้งั สองสิ่งเขา้ ดว้ ยกนั 
  เรื่องน้ีนาไปสู่ประเด็นของประชาธิปไตยและศาสนาท่ีใหญ่ข้ึน ถา้ ศาสนากาลงั กา้ วไปขา้ งหนา้ และ กาลงั ขยายขอบเขต มนั ก็ควรถูกกาหนดเงื่อนไขดว้ ยกฎเกณฑป์ ระชาธิปไตย ประชาธิปไตยนามาซ่ึงเจตจานง ของประชาชน ส่วนอิสลามนามาซ่ึงอานาจอธิปไตยของพระเจา้ และการรวมสองสิ่งเขา้ ดว้ ยกนั น้ีเองที่เป็ น ประเด็นความทา้ทายในโลกอิสลามปัจจุบนั ทางหน่ึงมนั อาจนาไปสู่การเป็นเผด็จการทางศาสนาถา้เป็นแค่ อานาจอธิปไตยของพระเจา้ โดยไม่เกี่ยวขอ้ งกบั เจตจานงของมนุษย์และมนั ก็จะกลายเป็นสังคมแบบฆราวาส ถา้ ผูป้ กครองตอ้ งการผลกั ดนั อิสลามออกจากสังคม เราได้เห็นสิ่งน้ีเกิดข้ึนในประเทศอิสลาม และส่งผล ตรงกนั ขา้ มในแบบท่ีมีการใชค้ วามรุนแรงมากข้ึน จะสร้างอานาจอธิปไตยของมนุษยแ์ ละของพระเจา้ ใหเ้ กิด ผลสาเร็จไดอ้ ยา่ งไร ยงั คงเป็ นความทา้ ทายอยา่ งหน่ึง 

ศาสตราจารย์ แฮนสัน: ผมขอพดู ถึงประเด็นซ่ึงเคยพดู คุยกนั ในการจดั ศาสนเสวนาของสภาปฏิสัมพนั ธ์คร้ัง ก่อน แต่กลบั มาปรากฏอีกคร้ัง อย่างแรกคือ มีการจากดั จานวนของประเด็นที่เราสามารถใส่ในจริยธรรม สากลไหม และก็อย่างที่ ดร.ชเลนซอกว่าไว้ บางอย่างก็ไม่มีใส่ไวใ้ นส่วนของความรับผิดชอบของมนุษย์ อย่างเช่นประเด็นการทาแทง้ และ การคุมกาเนิด ดงั ท่ีกล่าวไวก้ ่อนหน้าน้ีโดยท่านศรี ศรี ระวี แชงการ์ เก่ียวกบั ความเสมอภาคทางเพศ ทาให้ผมเขียนรายการคาถามซ่ึงอาจมีปัญหาในการใส่รวมไวด้ ว้ ยกนั ดงั น้ี ความเสมอภาคทางเพศการคุมกาเนิดและการทาแทง้ สิทธิเรื่องรักร่วมเพศการผสมเทียมมนุษย์และการ ประหารชีวิต มีเร่ืองบางอย่างท่ีเราคงซุกไวใ้ ตพ้ รมไม่ไดจ้ ริง เราตอ้ งเคารพต่อทศั นะของผูอ้ ื่น หรือเราควร เสวนากนั เพื่อพยายามแกไ้ ขปัญหาดงั กล่าว 
  เร่ืองที่สองคือ การศึกษาสาหรับกลุ่มชาติพนั ธุ์ มีการอภิปรายในสหรัฐฯ เกี่ยวกับการสร้าง ลกั ษณะเฉพาะของบุคคลและในขณะท่ีโดยประเพณีแล้วมนั เป็นขอ้ กงั วลของศาสนามนั ก็ถูกอภิปรายใน บริบทของฆราวาสในฐานะที่เป็นความรับผดิ ชอบหน่ึงของสังคมมากข้ึนและมีเสียงเรียกร้องให้มีการสร้าง คุณลักษณะของบุคคลในช้ันเรียนของโรงเรียนของรัฐฆราวาส และการตระหนักถึงความจาเป็นของ การศึกษาเรื่องศีลธรรมเพิม่ ข้ึนเช่นกนั 

ประธานาธิบดี วาสซิลอิ :ู ช่ือวาระ “บทเรียนจากศตวรรษที่ 20 ต่อยุคสมยั ปัจจุบนั ” และบทเรียนหน่ึงที่เราไม่ เคยลืมคือ ความสัมพนั ธ์ร่วมกันระหว่างการพฒั นาทางเศรษฐกิจและวิกฤติการณ์ และความเคารพต่อ จริยธรรม ความเป็นน้าหน่ึงใจเดียว และอื่นๆ ตวั อย่างเช่น เราตอ้ งไม่ลืมว่า วิกฤติทางเศรษฐกิจในช่วง ทศวรรษ 30 ทาใหล้ ทั ธิต่อตา้ นยวิ ลทั ธินาซี และอื่นๆ เพมิ่ ข้ึนอยา่ งมาก เพราะพวกเขาตอ้ งการหาขอ้ แกต้ วั ต่อ ปัญหาต่างๆท่ีเกิดข้ึนนนั่ เอง
  แ ล ว้ ต อ น น ้ ี ก ็ เ ป ็ น เ ร ่ ื อ ง ก า ร ต ่ อ ต า้ น ผ อู ้ พ ย พ ไ ม ่ ว ่ า จ ะ ผ ิ ว ด า ผ วิ ข า ว ห ร ื อ ผ ิ ว เ ห ล ื อ ง ข ้ ึ น อ ย ่ ู ก บั ป ร ะ เ ท ศ ท ่ ี เราอาศยั เป็นเพราะการกล่าวโทษใครสักคนเป็นเรื่องง่ายท่ีสุดสาหรับนกั การเมือง และวิธีแกป้ ัญหาน้ีที่ง่าย ท่ีสุดก็คือ “ปัญหาคือพวกต่างชาติ ผอู้ พยพนนั่ ไง” แทนที่จะมองแง่มุมที่ดีของการอพยพ เพราะฉะน้นั ผมจึง ไม่รู้วา่ เราจะสามารถแกไ้ ขมนั ไดไ้ หม แต่การช้ีใหเ้ ห็นถึงความสัมพนั ธ์ระหวา่ งการพฒั นาทางเศรษฐกิจและ จริยธรรมน้นั เป็นสิ่งสาคญั มาก คุณไม่มีวนั แกไ้ ขปัญหาไดด้ ว้ ยการกล่าวโทษผอู้ ่ืน การฟาดฟันกบั ผูอ้ พยพ และชาวยวิ การต่อสู้กบั มุสลิมหรือคริสเตียนที่คลงั่ ศาสนา ไม่ไดช้ ่วยแกป้ ัญหาของประเทศแต่อยา่ งใด 
 
นายกรัฐมนตรีเครเตียง:ผมน่าจะเป็นคนพดู เรื่องน้ีนะเพราะในแคนาดาศาสนาไม่ใช่ประเด็นปัญหาเลยไม่ มีใครรู้เร่ืองการเมืองหรือศาสนาของทุกคนหรอก มนั ไม่ใช่เรื่องสาคญั มนั เคยเป็นเรื่องสาคญั มากๆ มีการ แบ่งพรรคการเมืองไปตามศาสนา แต่ทุกวนั น้ีเราไม่มีปัญหาและเราไม่ไดม้ ีปัญหาใดๆกบั ผูอ้ พยพเช่นกนั เพราะไม่มีพรรคการเมืองในแคนาดาเพื่อประเด็นดงั กล่าว ผมไม่รู้จกั นกั การเมืองคนไหนที่ต่อตา้ นเร่ืองการ อพยพเลย น่าจะเป็นเพราะประเทศเราถูกสร้างข้ึนจากผอู้ พยพ ปัจจุบนั คนแคนาดารุ่นที่หน่ึง รุ่นท่ีสอง และ ร ุ ่ น ท ี ่ ส า ม ส ื บ เ ช ้ ื อ ส า ย จ า ก ผ อู ้ พ ย พ ถ ึ ง 5 0 เ ป อ ร ์ เ ซ ็ น ต ์ เ พ ร า ะ ฉ ะ น ้ นั ผ ทู ้ ี ่ ม า ใ ห ม ่ ใ น ช ่ ว ง 5 0 - 6 0 ป ี ท ่ ี ผ า่ น ม า จ ึ ง เ ป ็ น ผ ู ้ อพยพท้งั หมด
  และเม่ือพิจารณาในเชิงของการเมืองแลว้ ผมยอมรับวา่ ผอู้ พยพทาให้ประชากรเพิ่มข้ึนประมาณหน่ึง เปอร์เซ็นต์ และผมคงโดนวจิ ารณ์แน่ถา้ ไม่มีคนหน่ึงเปอร์เซ็นตน์ ้ี หลกั การก็อยทู่ ่ีองคป์ ระกอบเชิงบวกของผู้ อพยพไม่ใช่องค์ประกอบเชิงลบ เราตอ้ งการประชากร เราไม่มีการสืบพนั ธุ์มากเหมือนแต่ก่อน และเรา ตอ้ งการผอู้ พยพเขา้ มาช่วยใหม้ นั เติบโตข้ึน ผอู้ พยพท่ีมาถึงแคนาดาคือผบู้ ริโภคนบั ต้งั แต่วนั แรก บางคร้ังก็ เป็นผูม้ ีการศึกษา มาเริ่มต้นอาชีพการงานกันใหม่เลยทีเดียว ทุกวนั น้ีเรามีสังคมท่ีส่งเสริมการมีหลาย วฒั นธรรมเราบอกผอู้ พยพวา่ จงภมู ิใจในสิ่งที่คุณเป็นและเราก็ไดเ้ริ่มให้การศึกษาดว้ ยภาษาถิ่นของพวกเขา แลว้ดว้ย 
  น่ีคือประสบการณ์ของสังคมท่ีเห็นคุณค่าของขนั ติธรรมและการยอมรับคือสิ่งท่ีมีความสาคญั ยิ่ง สาหรับผมแลว้ ผมมีปัญหาเสมอมาเพราะผมเป็นพวกพูดภาษาฝรั่งเศสและไม่เคยเรียนภาษาองักฤษเป็น เร่ืองเป็นราว ผมเคยพูดติดตลกว่า ผมเป็นพวกที่พูดภาษาฝรั่งเศสซ่ึงพยายามรักษาสาเนียงฝรั่งเศสใน ภาษาองั กฤษตอนที่ผมเป็นสมาชิกรัฐสภาผมพดู ภาษาองั กฤษไม่ไดเ้ลยสักคาแต่คนก็ยอมรับความแตกต่าง และผมก็ไดเ้ป็นนายกรัฐมนตรีเพราะฉะน้นั ขนั ติธรรมจึงเป็นสิ่งสาคญั มากแต่ขนั ติธรรมก็ตอ้ งอาศยั ความรู้ ดว้ ย เราตอ้ งรู้วา่ คนอื่นเป็นอะไรก่อน แลว้ การยอมรับจึงตามมา การเสวนาจึงเป็นสิ่งสาคญั เสมอ เช่นเดียวกบั การศึกษาซ่ึงสาคญั เช่นกนั 

ปัจจุบนั เราอาศยั อยใู่ นสังคมที่แตกต่าง การส่ือสารทุกวนั น้ีไม่เหมือนแต่ก่อน วยั รุ่นทุกคนในโลกน้ีไม่คุยกนั อีกแลว้ พวกเขามวั แต่สนใจเจา้ เคร่ืองมือเล็กๆ และนนั่ น่าจะเป็นโอกาสที่ดี สาหรับการทาให้คนเขา้ ใจกนั และกนั มากข้ึน ปัจจุบนั นกั เรียนสื่อสารกบั นกั เรียนในประเทศอ่ืน ผา่ นเทคโนโลยีใหม่ ซ่ึงผมทาไม่เป็น เรา สามารถให้การศึกษาแก่ทุกคนในโลกน้ีโดยท่ีศาสนาหรือสีผวิ ไม่ไดท้ าให้เกิดความแตกต่าง เราทุกคนเป็น มนุษย์และเราตอ้ งยอมรับความจริงขอ้ น้ี สักวนั หน่ึงผมหวงั วา่ เราจะสามารถพดู ไดว้ า่ “พระเจา้ เธอช่างเป็น คนดีจริงๆ” เรามกั จะใช้ช่ือที่บ่งบอกความเป็นเพศชาย แต่คาว่า เธอ น่าจะเป็นผหู้ ญิง สักวนั หน่ึงเราจะตอ้ ง ประสบกบั มนั แต่ตอนน้ีผมยงั ไม่พร้อมท่ีจะไปถึงจุดนนั

นายกรัฐมนตรีเฟรเซอร์: เร่ืองท่ีคุณเล่าเกี่ยวกบั แคนาดาท้งั หมด เป็นคาบรรยายภาพของออสเตรเลียช่วงก่อน ปี1990ได้เป็นอย่างดีตอนน้ันเราเป็นสังคมเปิดและออสเตรเลียก็ถูกสร้างโดยผูอ้พยพเช่นกนั ช่วงหลงั สงครามเวียดนามเรารับผูอ้ พยพจากอินโดจีนเป็นหม่ืนๆคนเช่นเดียวกับแคนาดาแต่ออสเตรเลียเป็น บทเรียนท่ีไม่น่าพอใจในส่วนของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดข้ึน 
  เรามีรัฐบาลซ่ึงสมควรถูกโจมตี พวกเขาคอยมองหาประเด็นอะไรสักอย่างเสมอ แลว้ ก็เกิดกรณีเรือ ของนอร์เวยช์ ่วยเหลือผอู้ พยพประมาณ 200 คนจากเรือท่ีกาลงั จมแต่กลบั ถูกปฏิเสธไม่ให้ข้ึนฝั่งออสเตรเลีย รัฐบาลซ่ึงจะตอ้ งถูกโจมตีส่งเรือยามฝั่งติดอาวธุ พร้อม เพือ่ ใหแ้ น่ใจวา่ กปั ตนั ของเรือลาดงั กล่าวจะไม่แล่นเขา้ มาท่ีออสเตรเลียภาพเหตุการณ์ดงั กล่าวแพร่หลายไปทวั่ โลกตารวจนายหน่ึงก็ทางานน้ีได้ไม่จาเป็นตอ้ งใช้ ทหารของกองทพั มาเฝ้าระวงั ไม่ให้เรือนอร์เวยแ์ ล่นมาที่ออสเตรเลียแต่เพราะเรื่องน้ีเองท่ีทาให้รัฐบาลชนะ การเลือกต้งั 
  ผมเขียนในภายหลงั วา่ รัฐบาลไดท้ าสิ่งเลวร้ายที่สุดของมนุษยเ์ รา แลว้ ผมก็ไดร้ ับจดหมายจานวนมาก บอกวา่ “คุณกลา้ ดียงั ไงมาวา่ รัฐบาลทาสิ่งเลวร้ายที่สุด ในเมื่อเป็นคร้ังแรกท่ีเราไดร้ ัฐบาลซ่ึงเป็นตวั แทนของ ฉนั ”และคาวา่ “ฉนั ”ก็คือใครบางคนที่มีทิฐิมานะใจแคบและเชื่อวา่คนท่ีแตกต่างคือคนไม่ดีความแตกต่าง น้นั อาจเป็นศาสนาหรือสีผิวก็ได้พรรคฝ่ายคา้ นสมยั น้นั สามารถโจมตีในประเด็นน้ีได้แต่กลบั ไม่กลา้ ลุก ข้ึนมาจดั การ เพราะคิดวา่ ตนจะสามารถแข่งขนั ในการเลือกต้งั ไดถ้ า้ เขา้ ถึงพวกรากหญา้ นบั แต่น้นั มา พรรค การเมืองใหญ่ท้งั สองในออสเตรเลียก็ยงิ่ ลงลึกไปเรื่อยๆ มีคนออสเตรเลียเป็นแสนๆคน ท่ีรู้สึกละอายต่อสิ่งท่ี รัฐบาลไดท้ าลงไปในนามของตน รวมท้งั สิ่งที่พรรคฝ่ายคา้ นทาในนามของตนเช่นกนั เพราะฉะน้นั เราก็ เหมือนคุณคือไดเ้ปิดรับและคอยต้งั รับเท่าน้นั 
  ผมยงั จาสุนทรพจน์ท่ีผมกล่าวในปี 1980 ได้ ตอนน้นั ผมพูดออกไปโดยไม่คิดวา่ การต่อสู้กบั ความ ลาเอียงและทิฐิมานะน้นั มีชยั แลว้ แต่ผมไดเ้ รียนรู้ในภายหลงั วา่ คุณตอ้ งการแค่นกั การเมืองซ่ึงจะใชท้ ศั นะที่ ไม่ถูกต้องในการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ เท่าน้ัน และถ้าสังคมของคุณไม่เข้าใจคนจากศรีลังกา หรือ อฟั กานิสถานหรืออิรักก็เป็นการง่ายที่รัฐมนตรีในคณะรัฐบาลจะพดู ในสิ่งซ่ึงจะทาให้คนจานวนมากที่มีจิต สาธารณะ เช่ือวา่ นี่คือคนท่ีต่าชา้ และไม่สมควรไดร้ ับการปฏิบตั ิเหมือนคนทวัไป นนัคือสิงที่เกิดข้ึน เป็นคา บรรยายที่ถูกตอ้ ง ซ่ึงน่าจะประเมินความเสียหายท่ีเกิดข้ึนต่าเกินไป แลว้ คุณจะทาใหน้ กั การเมืองประพฤติตน ดีข้ึนได้อย่างไร? มนั ไม่ใช่แค่ความเคารพระหว่างนักการเมืองด้วยกนั เท่านัน แต่ยงั เป็นความเคารพต่อ ประชาชนดว้ ยเช่นกนั และในประเทศของผม ผมไม่สามารถช้ีตวั ผนู้ าซ่ึงกาลงั พยายามโอบอุม้ ภารกิจนนั ได้ เลย 


ตอนแรกผมอยากจะพดู แทรก เพราะศาสตราจารยแ์ ฮนสันพดู ต้งั แต่ตน้ วา่ มีองคป์ ระกอบบางอยา่ ง ท่ีไม่ไดถ้ ูก ใส่ไวใ้ นปฏิญญาอย่างจงใจ แต่ผมคิดว่าตอนน้นั เราเช่ือว่าในขณะน้ัน และผมยงั เช่ือว่าร่างปฏิญญาน้ันมี เน้ือหาเพียงพอแล้ว มีการแสดงค่านิยมทางจริยธรรรมซ่ึงตอนน้ีเราหวงั และยงั คงหวงั ว่าทุกศาสนาจะ สามารถยอมรับ เพื่อช่วยให้ผูค้ นเขา้ ใจว่ามนั มีสันติภาพระหว่างศาสนาไดจ้ ริง มีสิ่งที่มีอย่รู ่วมกนั ภายใน ศาสนาเหล่าน้นั ท่ีคนของศาสนาหน่ึงไม่จาเป็นตอ้ งกลวั คนในศาสนาอื่นปราศจากพวกคลงั่ ศาสนาที่มีอยทู่ ุก ศาสนา ไม่มีศตั รูต่อสันติภาพและความกา้ วหนา้ 
  ในช่วงเวลาท่ีผา่ นมา ศาสนาคือสาเหตุแห่งปัญหา และในปัจจุบนั หลายคนก็ยงั คิดวา่ ศาสนาอิสลาม ทาใหเ้ กิดปัญหาส่วนใหญ่ แต่มนั ก็จะผา่ นไป แลว้ ก็จะมีคนอื่นในอนาคต แต่ประเด็นที่ถูกกีดกนั คือประเด็น ทางสังคมซ่ึงจริงๆแลว้ ไม่ได้มีผลกระทบต่อความสัมพนั ธ์ระหว่างศาสนาท้งั หมด หรือระหว่างประเทศ ตราบใดท่ีคุณไม่พยายามทาให้คนในอีกศาสนาหน่ึงทาแบบเดียวกับคุณ หรือคนในอีกประเทศหนี่งทา เหมือนคนในประเทศของคุณ สิ่งสาคญั ก็คือตอ้ งเนน้ ย้าวา่ “ค่านิยมสาคญั ซ่ึงจะช่วยให้ศาสนาและประเทศ ต่างๆ ดาเนินชีวิตและดารงอยรู่ ่วมกนั โดยสันติ มีความกลมเกลียวและความร่วมมือคืออะไร? นนั่ คือเหตุผล ว่าทาไมค่านิยมบางอย่าง ซ่ึงหลายคนมองว่าสาคญั จึงถูกตดั ออกไป ผมมนั่ ใจสิ่งที่ใส่ไวม้ ีมากพอท่ีจะช้ี หนทางสู่โลกที่มีสนั ติภาพและความเจริญรุ่งเรืองมากกวา่ โลกท่ีเราอาศยั อยทู่ ุกวนั น้ี 

แรบไบดร.โรเซน: เราอยู่ในโลกที่แสนสับสนอลหม่านส่วนหน่ึงเป็นเพราะสื่อทาให้เรารับรู้สิ่งท่ีกาลงั เกิดข้ึนไดใ้ นทุกที่ และส่วนหน่ึงเพราะมีขอ้ มูลลน้ เกินและการแสดงความคิดเห็นเพิ่มข้ึน จริงๆแลว้ เรากีด กนั ความคิดเห็นของผอู้ ่ืนดว้ ยซ้าไป เพราะเราจะล็อกอินเขา้ ไปอ่านบล็อกและช่องสถานีที่มีแนวคิดตรงกนั กบัความคิดเดิมของเราเท่าน้นั อีกท้งัยงัมีกระบวนการแสนมหศัจรรยเ์กิดข้ึนในโลกท่ีเราอาศยัอยดู่ว้ย 
  อ เ ม ร ิ ก า ไ ด ร้ ั บ ก า ร ย อ ม ร ั บ ว า่ เ ป ็ น บ า้ น ส า ห ร ั บ ผ อู ้ พ ย พ เ ป ็ น ส ั ง ค ม ข อ ง ผ อู ้ พ ย พ เ ส ม อ ม า แ ต ่ ถ ึ ง ก ร ะ น ้ นั ก ็ ยงัมีเรื่องราวน่าสนใจเกิดข้ึนในสังคมอเมริกนั กล่าวคือก่อนที่จะเกิดสงครามโลกคร้ังท่ีสองและเหตุการณ์ หลงั จากน้นั มีการต้งั ขอ้ จากดั อยา่ งเคร่งครัดวา่ ใครจะอพยพมาอยสู่ หรัฐอเมริกาไดบ้ า้ ง เดิมที ผอู้ พยพท่ีมาถึง อเมริกาก็เพียงแค่ปรับตวั ให้เขา้ กบั ชีวิตแบบอเมริกนั เท่าน้นั เช่นตอ้ งเรียนภาษาองั กฤษ เพราะไม่มีทางเลือก อ่ืน สิ่งท่ีเกิดข้ึนในระยะหลงั คือมีปัญหาใหญ่เกิดข้ึนคือ “การอพยพเขา้ เมืองอยา่ งผิดกฎหมาย” โดยส่วนใหญ่ เป็นชาวละตินเป็นการอพยพของชาวคาธอลิกจากอเมริกากลางและอเมริกาใต้แต่จากเดิมที่ผอู้ พยพแค่ตอ้ ง เรียนรู้ภาษา ปัจจุบนั ถ้าคุณมองดูทีวีอเมริกนั จะพบว่ามีช่องสเปน 50 ช่อง เพราะฉะน้ันจึงไม่ตอ้ งเรียน ภาษาองั กฤษเพอ่ื ใหเ้ป็นส่วนหน่ึงของสงั คมอเมริกนั อีกแลว้ 
  ส่วนโมเดลของยุโรปก็คือ ผูอ้ พยพถือเป็นพลเมืองช้ันสอง เมื่อมีการอพยพของชาวยิวจากยุโรป ตะวนั ออกคร้ังใหญ่ในศตวรรษท่ี 19 นอกจากจะไม่ไดร้ ับการตอ้ นรับจากพลเมืองที่พูดภาษาองั กฤษส่วน ใหญ่แลว้ ยงั ไม่เป็นที่ตอ้ นรับของชาวยวิ ที่พดู ภาษาองั กฤษส่วนใหญ่เช่นกนั เพราะไม่ตอ้ งการผอู้ พยพมาใหม่ ท่ียากจนเขา้ มาคุกคามฐานะท่ีสุขสบายของตน เวลาอยใู่ นสังคม คุณจะพยายามปกป้ องตวั ตนของคุณ ซ่ึงคุณ ก ็ ค ง จ ะ ค า ด ห ว งั ว ่ า ม นั ต อ้ ง เ ป ็ น อ ย ่ า ง น ้ นั อ ย ่ แู ล ว้ เ ช ่ น เ ด ี ย ว ก บั ผ ม ซ ่ ึ ง เ ต ิ บ โ ต ข ้ ึ น ม า ใ น ช ่ ว ง ท ศ ว ร ร ษ 5 0 เ ช ่ น ก นั ตอ้ งใชเ้วลาหลายชวั่ อายคุ นกวา่ ที่ชาวยวิ จะเริ่มมีความรู้สึกสบายใจกบั การเป็นยิวในสังคมยุโรป(น่าเสียดาย ท่ีตอนน้ีมนั กลบั กนั แต่นนั่ เป็นอีกประเด็นหน่ึง) 

ผมยงั จาการอภิปรายเมื่อ 30 ปี ก่อน ท่ีผมอภิปรายร่วมกบั ผอู้ พยพชาวมุสลิมซ่ึงเขา้ มาอยใู่ นองั กฤษรุ่นแรก ผม พดู กบั พวกเขาวา่ “อยา่ ทาตามแบบชาวยิวนะ อยา่ ปกปิ ดอตั ลกั ษณ์ตวั เอง จงภูมิใจในอตั ลกั ษณ์ของตวั เอง จง ยนืยนัในอตัลกัษณ์ของคุณ”แต่บนแผน่ดินใหญ่เช่นในฝรั่งเศสเบลเยยีมรวมท้งัองักฤษเองดว้ยคล่ืนของผู้ อพยพที่เขา้ มา ถูกส่งต่อไปอยตู่ ามชายขอบ ไปอย่ตู ามเมืองอุตสาหกรรมเก่าแก่ที่เส่ือมโทรม หรือย่านชาน เมืองซ่ึงเป็นท่ีตอ้ งการอยอู่ าศยั นอ้ ยกวา่ เป็นที่ๆหางานไม่ไดง้ ่ายๆ 
  แล้วจู่ๆเราก็เผชิญกบั ปัญหาท่ีเกิดจากสองปัจจยั คือ ปัญหาทางเศรษฐกิจ และวิธีการจดั การกับ วฒั นธรรมท่ีมีอยู่มากมาย แลว้ วธิ ีแกไ้ ขล่ะคืออะไร? เราไดพ้ ยายามบงั คบั ให้ผอู้ พยพปรับตวั เขา้ กบั ประเทศ ของเราหรือยงั ? หรือคุณปล่อยใหเ้ ขาทาอยา่ งที่เคย? และถา้ มี ไดอ้ อกคาสงั่ ที่น่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงตวั ตน ของประเทศเจา้บา้นไหม? 

นี่คือปัญหาท่ีเรากาลงั พยายามแกไ้ ขอยู่ในตอนน้ี คนๆหน่ึงจะรู้สึกเหมือนอยู่บา้ นตวั เองในสังคมหน่ึงได้ อย่างไร ถ้าคนๆน้ันยงั หาเงินได้ไม่พอกิน ถ้าเขายงั รู้สึกต่าต้อย ไม่เป็นท่ีต้องการ ไม่มีค่า? และใน ขณะเดียวกนั เราก็ไดเ้ห็นวา่ภายในสังคมของเราวตัถุนิยมและบริโภคนิยมไปไกลเกินกวา่ที่เคยจินตนาการ ไวใ้ นอดีต เป็นสังคมที่คนๆหน่ึงจะมีค่าก็ต่อเม่ือมีเงิน มีงานทา มีรถยนต์ขบั เท่าน้นั ดงั น้นั ประชาชน (มนั ไม่ใช่แค่คาถามเรื่องผอู้พยพเท่าน้นั แต่ยงัเป็นคาถามของคนรุ่นเก่าซ่ึงยงัไม่มีสิ่งท่ีตนควรจะมี)จึงรู้สึกผดิท่ี ผดิทาง 
  มนัเป็นปัญหาที่ไม่ใช่แค่เร่ืองศาสนาเท่าน้นัแต่เป็นปัญหาทางเศรษฐกิจและการเมืองเราตอ้งเริ่มตน้ การเปล่ียนแปลงเจตคติของผูท้ ี่ปกครองสังคม เพราะอย่างท่ีเราได้ยินมาท้งั วนั ว่าอารมณ์ในขณะน้ีก็คือ การเมืองเป็นเร่ืองของเกม อานาจ การฉอ้ ราษฎร์บงั หลวง และพดู ตรงๆเลยเป็นการให้ผอู้ ื่นไม่เหลือความเป็น มนุษยไ์ ม่วา่ มนั จะเป็นอะไรก็ตามเป็นคนซ่ึงเป็นฝ่ายตรงขา้ มกบั เราถา้ เราไม่เริ่มตน้ จดั การกบั ประเด็นเหล่าน้ี เราก็คงไม่คืบหนา้ ไปไหน
  สองประเด็นที่ว่า เป็นประเด็นของการฝึกฝนความเป็นผูน้ าซ่ึงมีความสาคญั ผมคิดว่าเราต้อง พจิ ารณากนั อยา่ งจริงจงั มากๆและความเป็นไปไดข้ องการจดั ต้งั ภาควิชาฝึกฝนความเป็นผนู้ ารวมท้งั จดั การ สัมมนาสาหรับคนท่ีจะมาเป็นผนู้ าของคนรุ่นต่อไปผมอยากจะเตือนให้นึกถึงสิ่งท่ีเกิดข้ึนในจริยธรรมทาง ธุรกิจ เพราะมนั ไม่ใช่หวั ขอ้ ที่ใครๆ อภิปรายกนั ในมหาวทิ ยาลยั ตอนท่ีผมโตแลว้ ไม่มีมหาวทิ ยาลยั ใหญ่ๆที่ ไหนมีภาควิชาและการอภิปรายในประเด็นดงั กล่าวเลย แมแ้ ต่ตอนน้ี จริยธรรมทางธุรกิจยงั เป็นอะไรท่ีตอ้ ง เขา้ไปจดัการกบัมนั เพราะฉะน้นัเร่ืองความเป็นผนู้าและการยืนยนัในคุณค่าที่สถาบนัแห่งน้ีถูกก่อต้งัข้ึนมา เพอ่ื ส่งเสริมจึงเป็นแก่นของการอภิปรายของเรา 

นายกรัฐมนตรีบาดาวี: ผมขอพูดส้ันๆ ผมอยากเน้นความสาคญั ของการสร้างระเบียบโลกที่ทาให้เกิด เสถียรภาพในนานาชาติเป็นที่ๆความมนั่ คงของมนุษยแ์ ละการสร้างสันติภาพน่าจะกลายเป็นบรรทดั ฐาน สิ่งสาคญั ก็คือคุณมีประเทศและหลกั การสาหรับประชาชนทุกคนที่อยใู่ นประเทศน้นั ๆ และคนอื่นสามารถ ปฏิบตั ิตามคนอเมริกนั ยโุ รปจีนและญี่ปุ่นต่างก็มีความคิดแตกต่างกนั แต่คุณไม่สามารถบอกอีกฝ่ายหน่ึงให้ ทาตามคุณความมนั่ คงของมนุษยแ์ ละการสร้างสันติภาพอาจกลายเป็นบรรทดั ฐานการบอกวา่ “คุณตอ้ งทา ตามแบบฉนั ”น้นั มนั ผดิ 

นายกรัฐมนตรีชมิดท์:ผมขอแสดงความเห็นเพิ่มเติมซ่ึงไม่ใช่ส่วนสาคญั ของการอภิปรายวนั น้ีแต่คาถามก็ คือ“สิ่งท่ีเราเรียนรู้จากศตวรรษท่ี20คืออะไร?”สิ่งหน่ึงท่ีไม่มีการพูดถึงซ่ึงมีความสาคญั ต่อผลลพั ธ์ของ ศตวรรษท่ี20ก็คือเม่ือ115ปีก่อนคือในปี 1900คือหรือ14ปีก่อนเกิดสงครามโลกคร้ังที่สองมีประชากร บนโลกประมาณ1.6พนั ลา้ นคนแต่115ปีใหห้ ลงั เรามีประชากรกวา่ 7พนั ลา้ นคนผมยงั จาตอนท่ีไนจีเรียมี ประชากร 120 ลา้ นคนได้ ท่านโอลู โอบาซานโจ บอกผมวา่ ตอนน้ีมีกวา่ 180 ลา้ นคนแลว้ และอีกไม่นานก็ จะเป็ น 200 กว่าลา้ นคน นกั ประชากรศาสตร์บอกเราว่าในอีก 35 ปี ขา้ งหนา้ เราจะมีมนุษยบ์ นโลกน้ีกว่า 9 พนัลา้นคน 

อย่างไรก็ดีมีประเทศท่ีดาเนินมาตรการเพื่อจากดัจานวนของเด็กเกิดใหม่อยู่แค่สองประเทศเท่าน้นั คือจีน กบั อินเดียความพยายามของรัฐบาลอินเดียน้นั ลม้ เหลวโดยสิ้นเชิงจนถึงกบั ยอมแพ้ส่วนความพยายามของ จีนไดผ้ ลบางส่วน ไม่เคยมีการใชน้ โยบายลูกคนเดียวอยา่ งทวั่ ถึงท้งั ประเทศ แต่ก็พอจะช่วยยบั ย้งั การเติบโต ของประชากรจีนได้คาถามที่ผูฟ้ ังในกลุ่มน้ีควรพิจารณาก็คือคาถามที่วา่ “เป็นไปไดไ้ หมที่เราจะดารงชีวิต ตามปกติในโลกท่ีมีมนุษยก์ วา่ 9 พนั ลา้ นคน ท้งั ที่เมื่อ 100 ปี ก่อนยงั มีคนแค่หน่ึงในสามของ 9 พนั ลา้ นคนอยู่ เลย?” หรือเราตอ้ งเรียนรู้บางอยา่ งจากรัฐบาลจีน? ผมรู้วา่ ผนู้ าจีนยคุ ปัจจุบนั กาลงั พิจารณาวา่ จะยบั ย้งั การใช้ นโยบายลูกคนเดียวดีไหม พวกเขารู้วา่ ดีวา่ ประชากรจีนจะไม่เพิ่มข้ึนนานกวา่ ช่วงกลางศตวรรษที่ 21 แต่ไม่ วา่ รัฐบาลจีนจะทาอะไรก็ตาม โลกส่วนที่เหลือจะทาอะไร? 
 
หรือสิ่งที่ไดพ้ ดู ไปในกลุ่มวนั น้ีเกี่ยวกบั การอพยพ เราไดพ้ ยายามท่ีจะยบั ย้งั ไม่ใหเ้ กิดการอพยพเพิ่มข้ึนจริงๆ หรือยงั?และใครคือผูท้่ีกาลงัเติบโต?พอถึงช่วงกลางศตวรรษท่ี21ผมู้ีสิทธิลงคะแนนชาวอเมริกนั ตามที่ ท่านโรเซนว่าไว้ คือผูท้ ่ีพดู ภาษาสเปนในสหรัฐอเมริกา และลูกๆของพวกเขา และหลานๆที่ยงั ไม่เกิดของ พวกเขา รวมท้งั ชาวอเมริกนั เช้ือสายแอฟริกนั จะกลายเป็นชนกลุ่มใหญ่ของผูม้ ีสิทธิลงคะแนนเลือกต้งั อเมริกนั พวกเขามีความคิดและเป้าหมายอย่างอ่ืนซ่ึงไม่ใช่การควบคุมโลกการสร้างสันติภาพในโลกพวก เขาจะร้องขอสวสั ดิการทางสังคม พวกเขาจะร้องขอรัฐสวสั ดิการ และในอีก 35 ปี ขา้ งหน้า รัฐบาลจีนก็จะ จ ดั ต ้ งั ร ั ฐ ส ว สั ด ิ ก า ร ใ น จ ี น ซ ่ ึ ง เ ม ่ ื อ เ อ า ส อ ง เ ร ่ ื อ ง น ้ ี ม า ร ว ม ก นั ก ็ ส า ม า ร ถ เ ป ล ี ่ ย น แ ป ล ง โ ล ก ไ ด เ ้ ล ย แ ต ่ ค า ถ า ม แ ท จ้ ร ิ ง ก็คือเราสามารถเล้ียงดูมนุษย์ 9 พนั ล้านคนบนโลกน้ีได้ไหม? และศาสนาอะไรท่ีเราสามารถทาให้มี ความชอบธรรม หรือมีศาสนาใดห้ามสิงใดไม่ให้เขา้ มาแทรกแซงไดไ้ หม? มนั คือคาถามท่ีลึกซ้ึงมากๆใน ความคิดของผมและผมเองก็ไม่มีคาตอบผมแค่อยากแสดงความเห็นเพมิเติมในเรื่องน้ีเท่านนั 

ดร. อลั ซาเลม: ศาสนาถูกนามาใชเ้ ป็นเคร่ืองมือในอฟั กานิสถาน และเราก็เห็นผลลพั ธ์ของมนั แลว้ ศาสนา คือเคร่ืองมือท่ีอนั ตรายมากๆ เหตุใดความคิดของการจดั ใหผ้ นู้ าทางศาสนากบั ผนู้ าทางการเมืองมานงั่ คุยกนั จึงเป็นสิ่งท่ีดี? เราตอ้ งการเก็บพวกเขาไวใ้ นมสั ยิดและโบสถ์ และไม่ต้องการให้พวกเขาออกมาสู่ชีวิต สาธารณะ และรัฐบาลใดๆก็ตามท่ีใชศ้ าสนาถือว่าเป็นอนั ตรายมากๆ เช่นในอฟั กานิสถาน เราน้นั แตกต่าง จากคริสเตียน และพยายามหาเครื่องมืออยา่ งอื่นเพื่อการบรรลุสันติภาพ ซ่ึงเป็นการหาหนทางที่เป็นพ้ืนฐาน เป็นความเขา้ ใจข้นั พ้ืนฐานอยา่ งแทจ้ ริง

ดร. เมตตานันโท: กรุงเทพมหานครประสบกับน้าท่วมคร้ังใหญ่ แต่มีบางเขตในกทม. ที่ไดร้ ับความ เดือดร้อนนอ้ ยกวา่ ซ่ึงประกอบดว้ ยชุมชนสามชุมชนดว้ ยกนั คือ ชุมชนคาธอลิก มุสลิม และพุทธ พวกเขาอยู่ ร่วมกนั และมีประเพณีของการไปมาหาสู่และช่วยเหลือกนั และกนั ในการแกไ้ ขปัญหาต่างๆ อยา่ งรวดเร็วมา นานกวา่ 200 ปี แลว้ นี่คือตวั อยา่ งหน่ึงที่แสดงใหเ้ ห็นวา่ ความแตกต่างทางศาสนา สามารถสร้างความเขม้ แข็ง ในสังคมและสร้างความกลมเกลียวในยามที่เกิดปัญหา และทาให้เรามีพลงั และความหวงั มากข้ึน วา่ เราคือ สมาชิกของเผ่าพนั ธุ์มนุษยท์ ี่เป็นหน่ึงเดียว ที่ประเทศไทยเราฝึกคนหนุ่มสาวให้ทาการตดั สินใจโดยมีหลกั ศีลธรรมมากข้ึน โดยเราจะใช้บตั รประจาตวั ประชาชนซ่ึงเชื่อมต่อกบั คอมพิวเตอร์ เพื่อให้คะแนนต่อการ ให้บริการทางสังคมทุกอย่าง และให้เครดิตทางสังคมดว้ ย การทางานบริการต่างๆ นอกเหนือจากการศึกษา ทาให้พวกเขาไดร้ ับเครดิตหรือคะแนน เพื่อประกอบการพิจารณาความเหมาะสมในการขอทุนการศึกษา เป็นตน้ เม่ือคนหนุ่มสาวเติบโตข้ึนมากบั ความเช่ือน้ี พวกเขาก็จะเป็นผทู้ ่ีมีศีลธรรม

ศาสตราจารย์ ดร. กราฟ: มีประเด็นท่ียากจะหาขอ้ สรุปไดอ้ ยมู่ ากมายเหลือเกิน ผมขอเริ่มตน้ ดว้ ยคาถามที่ ศาสตราจารยไ์ ซคาลซ่ึงพดู ในนามของสังคมแบบฆราวาสไดต้ ้งั ไว้สังคมส่วนใหญ่เป็นสังคมที่ผสมผสาน ประกอบดว้ยคนท่ีนบัถือศาสนาอยา่งเคร่งครัดและไม่เคร่งครัดบางคนเป็นพวกอเทวนิยม(ไม่เช่ือวา่พระเจา้ มีจริง)ที่ค่อนขา้งกา้วร้าวเป็นตน้ แต่แน่นอนเรามีโมเดลแบบรัฐฆราวาสและผมก็อยากจะแสดงให้เห็นถึง ความแตกต่าง สงั คมยโุ รปหรือสงั คมตะวนั ตกส่วนใหญ่ยึดมนัอยกู่ บั แนวคิดเร่ืองรัฐแบบฆราวาส คนเราอาจ มีความเขา้ใจทางศีลธรรมต่างกนั บางคนเป็นพวกสนบั สนุนการทาแทง้ บา้งก็ต่อตา้นการแต่งงานของพวก เกย์ แต่เราก็สามารถอยกู่ บั เรื่องนนั ได้ตราบใดที่หลกั การหน่ึงยงั เป็นที่ยอมรับนนัคือหลกั นิติธรรม(ruleof law หรือหลกั แห่งกฎหมาย) การท่ีสมาชิกในสังคมทุกคนเห็นพอ้ งกบั หลกั นิติธรรมอยา่ งแทจ้ ริงคือสิงสาคญั 

ประเด็นที่สองของผม คุณพูดถึงโมเดล(แนวคิด)ของคานต์และฮอบส์ ในแง่หน่ึง เราทุกคนดาเนินรอยตาม โมเดลของฮอบส์ ลองดูลทั ธิทุนนิยมโลกเป็ นตวั อย่าง มนั เต็มไปดว้ ยการแข่งขนั ไม่ใช่แค่ผูป้ ระกอบการ แข่งขนั กนั เท่าน้นั แต่สังคมยงั แข่งขนั กนั ดว้ ย เป็นตน้ มีการแข่งขนั และการต่อสู้เกิดข้ึนมากมายในรัฐแบบ ฆราวาส ในอีกแง่หน่ึง ขณะท่ีเรายึดมนั่ ตามแนวคิดแบบรัฐฆราวาส เราก็ใชโ้ มเดลหรือองค์ประกอบของ คานตใ์ นการแข่งขนั เช่นกนั โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ในความแตกต่างระหวา่ งบรรทดั ฐานทางกฎหมายกบั บรรทดั ฐานทางศีลธรรม เรามีบรรทดั ฐานท่ีแตกต่างกนั ได้ ตราบใดท่ีเรายอมรับหลกั แห่งนิติธรรม 
 
ประเด็นท่ีสามคืออิสลามไม่สามารถเผชิญหนา้ กบั ความทนั สมยั ผมคิดวา่ เป็นความเขา้ ใจผิดโดยสิ้นเชิงผม ขออา้ งถึงสิ่งที่ ชมูเอล โนอาห์ ไอเซนสแตดท์ นกั สังคมวิทยาชาวอิสราเอลพูดถึงความทนั สมยั หลายอย่าง ญ่ีปุ่นก็เป็นสังคมสมยั ใหม่ สหรัฐอเมริกาเป็นสังคมสมยั ใหม่ แต่ก็เป็นสังคมที่ต่างกนั ถา้ คุณไปท่ีตะวนั ออก กลางคุณจะไดพ้ บกบั สงั คมสมยั ใหม่ ไดเ้ ห็นสถาปัตยกรรม ไดน้ งั่ สายการบินของเขา แต่แน่นอนในบางส่วน ม นั ก ็ เ ป ็ น โ ม เ ด ล ท ่ ี แ ต ก ต ่ า ง จ า ก ร ั ฐ ฆ ร า ว า ส อ ย า่ ง ม า ก ซ ่ ึ ง ไ ด ก้ ล า ย เ ป ็ น ส ิ ่ ง ส า ค ญั ใ น ย โุ ร ป ห ล งั ป ี 1 9 4 5 เ ป ็ น ต น้ ม า
  ผมไม่คิดวา่ คุณจะสามารถปกครองสังคมพหุนิยมดว้ ยแนวคิดเรื่องอานาจอธิปไตยของพระเจา้ ใน ฐานะท่ีเป็ นหลกั การพ้นื ฐานของรัฐธรรมนูญทางการเมืองของคุณ แต่ผมตอ้ งการท่ีจะบอกวา่ น่ีไม่ใช่หวั ขอ้ ท่ี อยภู่ ายในวาทกรรมของอิสลามหรือมุสลิม แต่คุณจะพบเห็นมนั อยใู่ นสหรัฐอเมริกา มีนกั วชิ าการหนุ่มสาว ชาวอเมริกนั จานวนมากที่เห็นดว้ ยกบั ความคิดเรื่องปรัชญาการเมืองของลีโอ สเตราส์ ดงั น้นั จึงมีเรื่องราวท่ี น่าอศั จรรยใ์ หม่ๆ โดยคนบางคนเกี่ยวกบั การบูรณาการสังคมสมยั ใหม่ไม่ใช่ดว้ ยโมเดลเสรีนิยม แต่โดย โมเดลทางศาสนาแนวเทวาธิปไตย(พระเจา้เป็นผปู้กครองสูงสุด) 

ประเดน็ สุดทา้ ยของผมคือ บทเรียนจากศตวรรษท่ี 20 ถา้ คุณตอ้ งการหาบทเรียนจากศตวรรษท่ี 20 พวกเราแต่ ละคนต่างก็มีประสบการณ์ของตวั เองโดยเฉพาะ ผมบอกคุณแลว้ วา่ ประสบการณ์ของผมก็คือ เด็กเยอรมนั ที่ เกิดภายใตร้ ่มเงาของสงครามโลกคร้ังที่สองของประเทศที่ปกครองในระบบสังคมนิยมแห่งชาติ บทเรียนจาก ศตวรรษที่ 20 ของผมคือ ผมตอ้ งการทาความเขา้ ใจพฒั นาการบางอยา่ งใหด้ ีข้ึน ดงั น้นั ผมจึงใชเ้ วลาทาตวั เป็ น นกั ประวตั ิศาสตร์ศึกษาเรื่องการเกิดลทั ธิฟาสซิสต์ ไปตามศูนยต์ ่างๆ ศึกษาเหตุการณ์ช่วงกลางทศวรรษ 20 ไปตามมหาวิทยาลัยในยุโรป คุณจะไม่ค่อยพบเจอนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงโดดเด่นซ่ึงมีความเช่ือใน ประชาธิปไตยระบบรัฐสภามากนกั ที่มหาวิทยาในองั กฤษพอมีอยบู่ า้ ง แต่นกั ปราชญใ์ นยโุ รปส่วนใหญ่เชื่อ ในโมเดลอื่นพวกน้ีเช่ือในลทั ธิฟาสซิสต์หรือไม่ก็เช่ือในลทั ธิคอมมิวนิสต์อย่างแรงกลา้ คุณไม่มีทางเจอ นกั ปราชญท์ ่ีสนบั สนุนประชาธิปไตยเสรีนิยมแน่นอน 
  แต่ผมไม่มองลทั ธิสุดโต่งทางศาสนาว่าเป็นแบบเดียวกบั เผด็จการทางการเมืองอย่างที่เราเห็นใน ศตวรรษท่ี 20 แต่เราก็ตอ้ งมาทาความเขา้ ใจกนั อยู่ดีว่าเหตุใดแนวคิดสุดโต่งน้ีจึงดึงดูดผคู้ นในทุกศาสนายิ่ง นักศาสนาที่เคร่งครัดมีความสาคญั ในตลาดอเมริกันมากกว่าศาสนานิกายท่ีค่อนข้างผ่อนคลายอย่าง โปรเตสแตนต์เป็นอีกพวกท่ีเติบโตไม่ใช่พวกท่ีเราส่วนใหญ่ชื่นชอบเท่าไรคุณจะเห็นพฒั นาการแบบ เดียวกนั น้ีในสังคมมุสลิมบางแห่ง และผมคิดว่าภารกิจสาคญั คือการทาความเขา้ ใจว่าเหตุใดจึงเกิดศาสนา แบบน้ีซ่ึงมีพลงัในการผูกมดัและสร้างสายใยทางสังคมอย่างเหนียวแน่นจึงดึงดูดคนยิ่งนกั แน่นอนเป็น เร่ืองท่ีเก่ียวขอ้ งกบั โครงสร้างอานาจการเมือง เกี่ยวขอ้ งกบั เศรษฐกิจหลายอยา่ งดว้ ยกนั ลองดูคนหนุ่มสาวที่ ยากจนในสังคมแอฟริกาเหนือสิ ผมเข้าใจเลยว่าทาไมพวกเขาจึงมีแนวโน้มท่ีจะเชื่อว่าทางเดียวในการ แกป้ ัญหาของพวกเขาอยทู่ ี่ศาสนาแบบน้ี 


3. ความดีงามของขันติธรรม 

ประธานวาระโดยฯพณฯโอลเูซกนุ โอบาซานโจ 
อดีตประธานาธิบดีไนจีเรีย 

เราสามารถสอนเร่ืองความดีงามของขนั ติธรรม โดยขนั ติธรรมหมายถึงความเคารพเชิงบวก ไม่ใช่การ ยอมรับแบบไม่เต็มใจ ได้อย่างไร? เราจะสามารถตอบสนองต่อความทา้ ทายของการเอาใจใส่ในศาสนา วฒั นธรรม และอตั ลกั ษณ์ทางอารยธรรมของเรา แต่ก็เคารพต่อสิงที่กล่าวมาของคนอ่ืนและชาติอื่นเช่นกนั ได้ ไหม? 


  วาระที่3น้ีมีผแู้นะนาสามท่านดว้ยกนั โดยเป็นการอภิปรายในสามคาถามท่านแรบไบดร.เจเรมี โรเซน เป็ นผูแ้ นะนาวาระแรก โดยเป็ นแสดงความคารวะต่อนกั คิดชาวเวียนนาผูย้ ิ่งใหญ่ เขาช้ีให้เห็นว่า ถอ้ ยคามีความหมายไดห้ ลายอยา่ งและมีความแตกต่างกนั เพียงเล็กนอ้ ย และมีการเปล่ียนแปลงการใชง้ านได้ เมื่อเวลาผา่ นไป คาวา่ ขนั ติธรรมถือเป็นตวั อยา่ งท่ีดี มีบ่อยคร้ังที่มนั ถูกใชเ้ ป็นของขวญั ที่ผมู้ ีอานาจมอบแด่ผู้ ท่ีดอ้ ยกว่า ถ้าจะบอกว่าการที่บางคนเคารพศาสนาอ่ืนก็จริง แต่มกั มองว่าอีกฝ่ ายหน่ึงมีสถานะต่ากว่า คือ ความหมายของคาวา่ ขนั ติธรรม อยา่ งที่เราเขา้ ใจในปัจจุบนั น่าเศร้าที่หลายส่วนของโลกน้ีมีศาสนาหน่ึงซ่ึง อา้ งตนว่ามีสถานะเหนือกว่า อีกท้งั ยงั ก่อกวนศาสนาและนิกายอ่ืนภายในศาสนาต่างๆดว้ ย แมแ้ ต่ภายใน ประเพณีทางศาสนาเองยงั เป็นหน่ึงในปัญหาหนกั หนาสาหสั ที่สุดในยุคสมยั ของเรา ถา้ คาว่า “ขนั ติธรรม” หมายถึงอะไรที่มนั มากกวา่ การมีส่วนร่วมแต่ไม่มีอานาจในการตดั สินใจ ดงั น้นั จึงมีสถานภาพเสมอกนั และ ใหค้ วามเคารพต่อประเพณีทางอุดมการณ์หรือทางศาสนาอื่นอยา่ งแทจ้ ริง และการขาดขนั ติธรรมนี่เองเราจึง ไดเ้ห็นท้งั ศาสนาและการเมืองเป็นสาเหตุของความเกลียดชงั และความขดั แยง้ ในโลกปัจจุบนั อยา่ งมาก
  ผแู้ นะนาท่านที่สอง ดร. อารีฟ ซามฮารี นาเสนอการรับรู้เรื่องขนั ติธรรมของอิสลาม มนั คือหลกั การ พ้ืนฐานซ่ึงมีผลผกู มดั ทางศีลธรรม คมั ภีร์กุรอานช้ีว่าความเชื่อในศาสนาใดๆ ก็คือสิ่งท่ีเป็นความสนใจของ คนๆหน่ึง และประณามการลบหลู่ดูหมิ่นศาสนาหรือความเชื่อของผอู้ ื่น พึงสังเกตดว้ ยวา่ ทุกศาสนาลว้ นสอน ถึงความดีงามของขนั ติธรรม เขาเสนอวา่ ตอ้ งใชม้ นั เป็นพ้ืนฐานทางจริยธรรมเพื่อการเคารพต่อผอู้ ื่นและชาติ อื่น แต่น่าเสียดายท่ีปัญหาของมนุษยห์ ลายอยา่ งเกิดจากคนที่นบั ถือศาสนา เนื่องจากความเขา้ ใจผิดในความ เชื่อของตน ซ่ึงไม่เพียงแต่มีผลต่อผูน้ บั ถือเท่าน้นั แต่ยงั รวมถึงสังคมท้งั มวลด้วย และอาจทาให้เกิดความ ขดั แยง้ ระหวา่ งรัฐต่างๆ มีบ่อยคร้ังท่ีผลประโยชน์ซ่ึงไม่เก่ียวกบั ศาสนากลบั ถูกทาให้ดูเหมือนเป็นเรื่องทาง ศาสนา 
  ผแู้ นะนาท่านที่สามคือ ศาสตราจารย์ ดร. พอล เอ็ม ซูเลห์เนอร์ ไดน้ าเสนอแบบปากเปล่าเพิ่มเติม จากรายงานท่ีเขาไดน้ าเสนอไปแลว้ โดยในการนาเสนอปากเปล่าน้ีเขาไดว้ ิเคราะห์วา่ เหตุใดสมาชิกศาสนา บางคนจึงมีแนวโน้มของการใช้ความรุนแรง ท้งั ท่ีศาสนาส่วนใหญ่ยืนหยดั เพื่อสันติภาพ ความยุติธรรม ความเห็นอกเห็นใจและความเมตตา สาเหตุท่ีทาให้บางศาสนามีแนวโน้มชอบใช้ความรุนแรง ขณะที่บาง ศาสนาเน้นสันติน้นั เกิดจากบุคลิกภาพของบุคคลไม่ใช่ศาสนาแต่อย่างใดจากการศึกษาลทั ธิเผด็จการใน ยโุ รปของเขา ดร. ซูเลห์เนอร์สรุปวา่ มนั ฝังลึกอยใู่ นความวติ กกงั วล เป้ าหมายแทจ้ ริงของจริยธรรมน้นั คือการ ป้ องกนั มิให้ผูอ้ ่ืนตอ้ งทุกข์ทรมาน และศาสนาสาคญั ซ่ึงตงั อยู่บนพ้ืนฐานของความเห็นอกเห็นใจอยู่แล้ว สามารถร่วมมือเพื่อสร้างจกั รวาลที่มีความยุติธรรมและมีสันติภาพได้ รายงานของเขาพูดถึงข้อตกลง สนัติภาพช่วงศตวรรษท่ี15-16ในยโุรปและววิฒันาการทางประวตัิศาสตร์หลงัจากนนั เขาสรุปวา่ยุโรปร่วม สมยั ไม่ไดถ้ ูกทาใหเ้ป็นระบบแบบฆราวาสแต่มีลกั ษณะเป็นพหุนิยมมากกวา่ 


  รายงานของอดีตนายกรัฐมนตรี ยาสุโอะ ฟกู ดุ ะ ไดอ้ ภิปรายไวว้ า่ สังคมแบบพหุเทวนิยม (ลทั ธิท่ีเช่ือ ว่ามีพระเจา้ หลายองค์)ของเอเชียและระบบค่านิยมแบบพหุนิยมของสังคมดงั กล่าว น่าจะมีขนั ติธรรมต่อ ระบบคา่ นิยมอ่ืนและความเช่ือท่ีแตกต่างมากกวา่ โดยเขาเสนอใหใ้ ชค้ วามเห็นอกเห็นใจ ความอ่อนไหวทาง วฒั นธรรมต่อผอู้ ่ืนและการสร้างความไวว้ างใจเป็นพ้ืนฐานของจริยธรรมร่วมกนั 

  ศาสตราจารยโ์ ทมสั แอกซ์เวิร์ทธี อภิปรายไวใ้ นรายงานของเขา คือ “ขนั ติธรรม: คุณความดีที่ถูกตี ค่าต่ากว่าความเป็นจริงในยุคแห่งฆราวาสของเรา”(Tolerance: An Underappreciated Virtue in Our Sectarian Age) วา่ ขนั ติธรรมคือเจตคติของบุคคลหรือความดีงามท่ีฝังรากลึกอยใู่ นความอ่อนนอ้ มถ่อมตน และขนั ติธรรมคือชุดของแนวปฏิบตั ิหรือขอ้ ตกลงท่ีช่วยใหเ้ กิดการเลือกที่จะไม่เขา้ แทรกแซงวฒั นธรรมของ ผอู้ ื่น 

ทุกคนเห็นพอ้ งว่าขนั ติธรรมยงั ไม่เพียงพอต่อการที่จะทาให้โลกน้ีมีความเป็นธรรมและสันติภาพมากข้ึน เพราะการยอมรับการตอบแทนและความเคารพต่อผทู้ ี่แตกต่างจากเราก็มีความสาคญั ไม่แพก้ นั บางคนเสริม ว่า พหุนิยม การปฏิสัมพนั ธ์ และ ความเข้าใจ ก็เป็นสิ่งท่ีจาเป็นต้องมีเช่นกัน ขณะที่บางคนเรียกร้อง ป ร ะ ช า ธ ิ ป ไ ต ย เ ส ร ี ภ า พ ศ กั ด ์ ิ ศ ร ี แ ล ะ ค ว า ม ไ ว ว้ า ง ใ จ พ ว ก ค ร ิ ส เ ต ี ย น ส า ย อ อ ร ์ โ ธ ด อ ก ซ ์ ถ า ม ว า่ เ ห ต ุ ใ ด จ ึ ง ไ ม ่ เ น น้ ย้าและโฆษณาชวนเชื่อเรื่องความรัก เพราะมนั ยืนหยดั เพื่อการยอมรับ ความเป็นน้าหน่ึงใจเดียว ศกั ด์ิศรี เสรีภาพและการปรับตวัเขา้หากนั แต่น่าเสียดายเราแทบไม่เคยเห็นวา่มีการนาค่านิยมเหล่าน้ีมาปฏิบตัิเลย 

หรือวา่ ศาสนาลม้ เหลว? ศาสนาท่ีปราศจากการทาใหม้ ีการพฒั นาจิตวญิ ญาณก็ไม่สามารถนามาซ่ึงขนั ติธรรม และความมีมนุษยธรรมที่น่าจะมีอยา่ งนอ้ ยท่ีสุดก็คือ การพร่าสอนค่านิยมของขนั ติธรรมในเจตคติส่วนตวั ของเรา แต่ท้งั หลายท้งั ปวงน้ีข้ึนอยู่กบั ศีลธรรมและความเป็ นผูน้ าที่เป็ นแบบอย่าง ไม่ว่าจะเป็ นผูน้ าทาง การเมือง ศาสนา หรือชุมชนก็ตาม 


ความหมายของถ้อยคาทเี่ปลี่ยนไป 

ผ้แู นะนาท่านที่ 1: แรบไบ ดร. เจเรมี โรเซน 
แรบไบแห่งชุมชนชาวยวิ เชื้อสายเปอร์เซียแห่งแมนฮัตตัน 
อดีตอาจารย์ใหญ่วทิยาลยัคาร์เมล,ออ็กซ์ฟอร์ด 
 
นบั เป็นเกียรติอยา่ งยิง่ ท่ีไดม้ า ณ ท่ีแห่งน้ี ในนครที่ ลุดวกิ วติ เกนสไตน์ หน่ึงในท่ีปรึกษาทางปัญญาของผม ถือกาเนิดวติ เกนสไตนค์ ือนกั ปรัชญาที่ทาใหเ้ราคิดถึงความหมายของถอ้ ยคาเขาแสดงให้เห็นเราเห็นวิธีการ เรียนรู้เรื่องการใชถ้ อ้ ยคา ไม่ใช่ความหมายโดยเฉพาะของมนั ความหมายของคาก็คือการใชค้ านนั่ เอง เราอาจ ไม่สามารถหานิยามความหมายของวธิ ีการใชค้ าวา่ “เกม” (การแข่งขนั ) ท่ีทุกฝ่ ายยอมรับเสมอไป เช่น หมาก รุก คือ เกม ใช่ไหม หรือวา่ เป็นการชกมวย หรือการพายเรือ? แต่เราก็เรียนรู้การใช้คาไดจ้ ากประสบการณ์ และการลองผิดลองถูก ในความเป็นจริง เราใชค้ าในแบบที่แตกต่างกนั ไป และเราจาเป็นตอ้ งแน่ใจว่าเรา กาลงั ใชค้ าในแบบเดียวกนั หากวา่ เราตอ้ งการสื่อสารอยา่ งมีประสิทธิภาพขนั ติธรรมนบั เป็นตวั อยา่ งที่ดีฝ่าย ที่เป็นผใู้ หม้ กั คิดวา่ ตวั เองกาลงั ช่วยเหลือ(มีบุญคุณ) ส่วนผรู้ ับมกั รู้สึกไม่พอใจท่ีตอ้ งเป็นฝ่ายกม้ หวั ให้ 
  บุคคลสาคญั อีกคนหน่ึงซ่ึงเป็นชาวเวียนนาโดยกาเนิดคือริชาร์ดเกิบเนอร์ซ่ึงบรรยายและเขียน หนงั สือเกี่ยวกบั ลทั ธิจกั รวรรดินิยมคาวา่ “ลทั ธิจกั รวรรดินิยม”เปล่ียนจากการเป็นคาที่สูงส่งแสดงถึงหลกั นิติธรรมและระเบียบของอาณาจกั รท่ียงิ่ ใหญ่ค่อยๆกลายเป็นคาที่เราเหยียดหยามอย่างช้าๆถึงตอนน้ีมนั หมายถึงผปู้ กครองท่ีเอารัดเอาเปรียบไร้ความรู้สึก ต้งั ตนข้ึนมาปกครองเหยอื่ ที่ไม่เตม็ ใจ 
  ในทานองเดียวกนั คาวา่ มนุษยนิยมเดิมทีถูกใชเ้พ่ือเป็นการปฏิเสธพระเจา้ จากน้นั มนั ก็กลายเป็น แนวคิดท่ีมนุษยส์ ามารถใชเ้ พ่ือควบคุมชะตาของตวั เอง เรามกั คิดวา่ มนั หมายถึงความเอาใจใส่ มนุษยธรรม ความห่วงใยในตวั มนุษยผ์ อู้ ื่น แต่ปัจจุบนั มีแนวทางท่ีแตกต่างกนั สองประการ และการแบ่งข้วั ระหวา่ ง การ เอาใจใส่ในวถิ ีทางสงั คมแบบฆราวาส กบั การเอาใจใส่ดว้ ยอะไรก็ตามที่เราหมายถึงพระเจา้ ดงั ที่ แดเนียล ซี เดนเนต ไดแ้ สดงไวใ้ นงานเขียนเกี่ยวกบั “ความคิดของพระเจา้ ” (The Idea of God) วา่ ถา้ คุณขอให้คนกลุ่ม ใดก็ตามนิยามความหมายพระเจา้ ของเขา หรือชื่ออะไรตามแต่ท่ีพวกเขาเรียก คุณจะพบวา่ มีคาอธิบายและคา นิยามสารพดั จนไม่น่าเช่ือ 

ถึงกระน้นั สิ่งที่แนวคิดท้งั สอง คือ มนุษยนิยม และ พวกนิยมพระเจา้ มีร่วมกนั ก็คือโดยหลกั การแลว้ ท้งั สอง ฝ่ายเห็นพอ้ งวา่ เพ่ือผลประโยชน์สูงสุด เราจึงตอ้ งเป็นมนุษยท์ ่ีมีความเอาใจใส่และคิดถึงผอู้ ื่นมากท่ีสุดเท่าที่ เราจะทาแก่ผอู้ ่ืนได้ เห็นพอ้ งว่าความปรารถนาท่ีจะดาเนินรอยตามขอ้ เรียกร้องสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นพระเจา้ พระพุทธเจา้ หรือเป็นแนวคิดแบบฆราวาสลว้ นๆ ถา้ เราคือสิ่งท่ีพระเจา้ ทรงสร้าง และถึงแมว้ า่ เราจะคิดวา่ เรา เป็นแค่ผลิตผลของวิวฒั นาการ เราก็ยงั มีหลกั มนุษยธรรมน้ีร่วมกนั การประพฤติตนในลกั ษณะท่ีเป็นการ ปฏิเสธหลกั มนุษยธรรมถือเป็นอาชญากรรมใหญ่สุดเท่าที่เราซ่ึงเป็นมนุษยค์ นหน่ึงจะทาได้ 
 
  ในหนงั สือของเขา คือ “I and Thou” (ฉัน กบั เธอ) ของ มาร์ติน บูเบอร์ นกั ปรัชญาเช้ือสายยิว- เยอรมนั ผูม้ ีชื่อเสียง เขาไดแ้ ยกแยะระหว่างบุรุษสรรพนาม “Thou” (ธาว แปลว่า คุณ, เธอ) กบั คาท่ีไม่ใช่ บุรุษสรรพนาม “Thee” (ธี แปลว่า คุณ, เธอ) ที่เป็นกรรม เป็นความแตกต่างที่คุณพบเห็นไดใ้ นภาษายุโรป ส่วนใหญ่ แมว้ า่ ในภาษาองั กฤษจะไม่มีการใชก้ นั แลว้ และใชแ้ ต่คาวา่ “you” (ยู แปลวา่ คุณ, เธอ) ตลอด บู เบอร์ พรรณนาถึงความสัมพนั ธ์อนั ดีงามกบั พระเจา้ วา่ เป็ นความสัมพนั ธ์ของ “I Thou” (ฉนั เธอ) ไม่ใช่ใน ลกั ษณะท่ีไม่ใช่บุรุษสรรพนาม “I Thee” (ฉนั เธอ) ในทานองเดียวกนั ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งมนุษยก์ ็สามารถ ทาใหเ้ป็น “thou” (ธาว) หรือ “ye” (ยีแปลวา่ คุณ, เธอ ที่เป็นพหูพจน์) ซ่ึงเป็นปฏิสัมพนั ธ์ส่วนบุคคลที่ไม่ใช่ แบบบุรุษสรรพนาม ซ่ึงเป็นแก่นของมนุษยธรรม และ สูงสุดคือ แก่นของศาสนา ไม่วา่ ความสัมพนั ธ์น้นั จะ เป็นกบั พระเจา้ องคอ์ ลั เลาะห์พระพทุ ธเจา้ หรือกบั มนุษยค์ นอื่นก็ตาม 


เรามีความไดเ้ปรียบแต่ถึงกระน้ันเราก็แบกรับภาระของการดารงชีวิตในสังคมท่ีมีการเปลี่ยนแปลงอย่าง รวดเร็วเช่นกนั ทุกอยา่ งยอ่ มมีวฏั จกั ร และวฏั จกั รตอ้ งใชเ้ วลา เช่นกระบวนการของการปฏิวตั ิฝรั่งเศสตอ้ งใช้ เวลาถึง 100 ปี จนกระทงั่ มนั ถูกแสดงออกมาและมีเสถียรภาพ (บา้ งก็วา่ ยงั ไม่มี!) คุณอาจโตแ้ ยง้ วา่ การปฏิวตั ิ อเมริกายงั คงมีววิ ฒั นาการถึงทุกวนั น้ีนบั แต่เจตนาแรกเป็นตน้ มา รัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นลายลกั ษณ์อกั ษรของ องั กฤษ ก็ถูกแทนท่ีโดยกฎหมายของยโุ รป เราไดป้ ระจกั ษถ์ ึงเหตุการณ์ที่เกิดข้ึนอยา่ งรวดเร็วและน่าตื่นเตน้ มาก และเราไม่แน่ใจเช่นกนั วา่ จะมุ่งไปขา้ งหนา้ อยา่ งไร 

  เราปล่อยเรื่องมนุษยธรรมใหอ้ ยใู่ นมือนกั การเมือง จริงอยวู่ า่ มีนกั การเมืองบางคนที่น่าท่ึงมากๆ เรา ไดเ้ ห็นพวกเขานงั่ อยู่ในห้องน้ี เพราะฉะน้นั ผมจึงตอ้ งระมดั ระวงั ไม่ให้เป็นการให้ร้ายนกั การเมืองท้งั หมด แต่พอเราดูกระบวนการทางการเมืองทวั่ โลกแลว้ ให้รู้สึกทอ้ ใจเหมือนอยา่ งที่เราไดย้ ินทุกวนั น้ี ผมเองก็รู้สึก ทอ้ ใจมากเวลาท่ีมองดูตะวนั ออกกลาง และผมไดเ้ ห็นสิ่งที่นกั การเมืองทุกประเภททุกแนวทางกาลงั ทาอยใู่ น ท่ีใดก็ตามที่เรามองไป แลว้ ก็ไดเ้ ห็นวา่ มนั ซับซ้อนและคาดไม่ถึงมากข้ึนเร่ือยๆ มนั คือสัญลกั ษณ์ของความ สับสนในปัจจุบนัไปแลว้ 
  ในศตวรรษที่ 19 ในยุโรปตะวนั ออก ซ่ึงเป็ นที่ๆ ชาวยิวส่วนใหญ่อาศยั อยู่ มีความรู้สึกอยา่ งที่ แรบ ไบอิสราเอลซาแลนเทอร์บอกวา่ คนเลื่อมใสในศาสนาแต่ไม่เคยคิดเกี่ยวกบั มนั พวกเขาเพียงแต่ทาสิ่งที่ตอ้ ง ทาตามพิธีกรรมเท่าน้นั แต่ดารงชีวิตทางธรรมแบบแยกกนั พวกเขาไม่ไดเ้ช่ือมต่อถึงกนั ไม่ไดค้ิดวา่ตวัเอง ควรจะประพฤติตนกบั ผอู้ ่ืนอยา่ งไร และผมคงตอ้ งบอกวา่ มนั คือความทา้ ทายใหญ่สุดต่อความเชื่อทางศาสนา ของผมจนถึงทุกวนั น้ีมนั ไมใช่เทววทิ ยาแต่เป็นพฤติกรรมของผนู้ าทางศาสนาและการหมกหมุ่นอยกู่ บั ท่าที ที่กาหนดไวต้ ายตวั ไม่ใช่เงื่อนไขของมนุษยแ์ ต่อยา่ งใด
  อิสราเอล ซาแลนเทอร์ จึงตดั สินใจเริ่มกระบวนการชื่อ “มูซาร์” (Musar) ซ่ึงหมายความวา่ “การสั่ง สอนศีลธรรม” แต่ส่ือความหมายถึง การสร้างวินัยทางศีลธรรมด้วยตวั เอง เป้ าหมายเพื่อดึงสานึกแห่ง มนุษยธรรมและความรับผดิ ชอบที่ยงิ่ ใหญ่กลบั สู่ชีวติ ทางธรรมอีกคร้ังท้งั น้ีเขาไดเ้ลือกหนงั สือที่เขียนข้ึนใน สมยัศตวรรษท่ี18โดยบุรุษลึกลบัช่ือโมเสสลูแซตโตซ่ึงอาศยัอยใู่นอิตาลีเป็นตาราหลกัลูแซตโตเป็นคนมี พรสวรรคท์ ่ีจริงๆแลว้ เกือบถูกทาบรรพาชะนียกรรมโดยองคก์ รศาสนา ดว้ ยเหตุท่ีทาตวั ลึกลบั เกินไป เขาได้ เขียนหนงั สือเล่มเล็กๆ เล่มน้ีซ่ึงมีช่ือวา่ “เส้นทางแห่งความถูกตอ้ ง” (The Paths of the Righteous) ซ่ึงพดู ถึง การทาตวั เป็นคนดี ในส่วนของบทนาเขากล่าวไวว้ า่ “ผมไม่ไดพ้ ูดถึงอะไรที่ใหม่เลย ผมไม่ไดพ้ ูดถึงสิ่งใดที่ ท่านยงั ไม่รู้จกั แต่อยา่ งใด แต่ผมขอบอกท่านวา่ ท่านตอ้ งเริ่มตน้ ทุกวนั ดว้ ยการอ่านหนงั สือสักหน่ึงบท ดว้ ย การทบทวนบทเรียนง่ายๆเหล่าน้นั ซ่ึงเราทุกคนรู้จกั เกี่ยวกบั สิ่งท่ีเราควรทาแต่เราส่วนใหญ่กลบั มีปัญหา เวลาปฏิบตั ิจริงเหลือเกิน” 

วาระน้ีวา่ ดว้ ยเร่ืองของขนั ติธรรม และเราก็ไดพ้ ดู ถึงความหมายของมนั และพูดวา่ มีการใชค้ ากนั ผดิ ๆอยา่ งไร บา้ ง ขนั ติธรรมอย่างท่ีผมปรารถนา ไม่ใช่ในแบบที่มนั ถูกนามาใช้ “ผม ผซู้ ่ึงมีอานาจและความชอบธรรม ผมขอมอบสิทธิในการดารงชีวติ ในประเทศของผมแก่คุณ ในฐานะพลเมืองช้นั สอง” หรือ “ผม ขอมอบสิทธิ ของการเป็ นผูอ้ พยพแก่คุณ และจงทางานสกปรกทงั หลาย แต่อย่าไดห้ วงั ความเสมอภาคเด็ดขาด” แต่ควร เป็นการยอมรับและเคารพความแตกต่างทุกประเภท มนั คือการยอมรับและความรักในมนุษยชาติทัง หลายหลาก มนั คือ “การอยกู่ นั ไปและใชช้ ีวติ ในแบบของตน” 


เราจาเป็นตอ้ งวิเคราะห์และคิดเกี่ยวกบั ถอ้ ยคาที่เราพูดและวธิ ีการใชถ้ อ้ ยคาเหล่าน้นั และตอ้ งถามตวั เองว่า เราต้องการให้มนั มีความหมายจริงๆหรือไม่ และการท่ีใช้ถ้อยคาเช่นน้ันเราหมายความว่าอะไร นัน่ คือ พ้นื ฐานท่ีเราสามารถสร้างอนาคตข้ึนมาได้และการปรึกษาหารือของเราก็สามารถสร้างไดเ้ช่นกนั 

แถลงการณ์เกย่ีวกบัเป้าหมายและเจตจานง 
 

นาเสนอรายงานโดย แรบไบ ดร. เจเรมี โรเซน 
นิวยอร์ก เดือนมกราคม ปี 2014 

มกั มีการกล่าวกนั วา่ การรักมนุษยชาติ ง่ายกวา่ การรักเพื่อนบา้ นของเรา ศาสนาที่ยิ่งใหญ่และขบวนการเพื่อ ม น ุ ษ ย ธ ร ร ม ท ้ งั ห ล า ย เ ม ่ ื อ ส า ม พ นั ป ี ท ี ่ ผ า่ น ม า ต ่ า ง เ ท ศ น า ส ั ่ ง ส อ น เ ร ื ่ อ ง ค ว า ม ร ั ก แ ล ะ ค ว า ม เ ข า้ ใ จ ท ว า่ ก า ร ป ฏ ิ บ ตั ิ ม กั ท า ไ ด ย้ า ก เ ส ม อ แ ล ะ ช ่ า ง ห ่ า ง ไ ก ล จ า ก ท ่ ี อ ุ ด ม ก า ร ณ ์ ว า่ ไ ว ้ บ า ง ท ี อ า จ เ ป ็ น เ พ ร า ะ เ ป ้ า ห ม า ย ท ่ ี ก ว า้ ง เ ก ิ น ไ ป ท า ใ ห ้ ความอยากไปให้ถึงเป้าหมายมนั เจือจางไปเจตคติ(ท่าที)ท่ีมีต่ออุดมการณ์จากภายนอก“ท่ีเป็นคู่แข่งกนั กบั เรา” ของผอู้ ื่น ไม่สามารถสะทอ้ นอุดมการณ์ยิ่งใหญ่ตามหลกั มนุษยธรรม แมแ้ ต่ภายในกนั เอง ก็ยงั มีความ แตกแยกและการแบ่งเป็นนิกายท่ีทาให้เกิดการนองเลือดมากกว่าความขดั แยง้ กบั ภายนอกเสียอีก สิ่งที่คอย ยบั ย้งั เราจากการหลีกเล่ียงความมีอคติและการใชค้ วามรุนแรงกบั ผทู้ ่ีเราไม่เห็นดว้ ยมีอะไรบา้ ง? มนั คือความ บกพร่องในส่วนของเราเองใช่ไหม? หรือมนั คือผลลพั ธ์ของการกาหนดเงื่อนไขทางวฒั นธรรม? 
  หลงั เกิดความหายนะดา้ นมนุษยธรรมคร้ังใหญ่ในสงครามโลกคร้ังที่สอง เราก็หันมาหากนั และ ตดั สินใจวา่ จะตอ้ งไม่ใหเ้ ร่ืองน้ีเกิดข้ึน “ไม่มีอีกแลว้ ” ทวา่ อาชญากรรมท่ีเราก่อกบั ผอู้ ื่นยงั คงดาเนินต่อไป ไม่ ว่าจะเป็นที่กัมพูชายูโกสลาเวียรวนั ดาการต่อสู้ภายในประเทศอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันทาให้เกิด โศกนาฏกรรมในอิรักเลบานอนซีเรียซูดานแคชเมียร์และแอฟริกากลางเป็นตน้ และในความขดั แยง้ งั หลายน้ี ลว้ นมีมหาอานาจของโลกเขา้ ไปถือหางอยใู่ นความเป็ นปฏิปักษท์ ี่ยืดเย้อื สหประชาชาติถูกก่อตงั ดว้ ยความหวงั อนั สูงส่ง แต่กลบั ไม่สามารถทาไดต้ ามคาสัญญา เตม็ ไปดว้ ยผลประโยชน์ทางการเมืองไม่ใช่ ผลประโยชน์ทางจริยธรรม มีอะไรท่ีเราพอจะทาเพ่ือเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ดงั กล่าวไหม? น่ีคือประเด็น ทางศีลธรรมสาคญั ท่ีสุด ซ่ึงเรากาลงั เผชิญในปัจจุบนั เราดีแต่ใชส้ านวนซาซากน่าเบ่ือ เขียนแถลงการณ์ทาง ศีลธรรมท่ียงิใหญ่ แต่ในทางปฏิบตั ิจริงแลว้ แยม่ าก และการประชุมครังน้ีตอ้ งการท่ีจะเผชิญหนา้ กบั ความทา้ ทายดงั กล่าว 


สิ่งที่ผมทาเป็นประเพณีอย่างแรกเลยคือการกาหนด หลกั การ “จงรักพระเจา้ ของท่าน” (ดิวเทอโรโนมี 6.5) เป้าหมายของจกั รวาลท่ียงิ่ ใหญ่สามารถเป็นอะไรไดม้ ากกวา่ สิ่งที่เราควรแสวงหาเพ่ือใหไ้ ดม้ า“ImitatoDei” (อิมมิทาโตเดอี)หรือการเลียนแบบพระเจา้ กล่าวคือเราควรทาให้ความสัมพนั ธ์ที่เป็นความรักคือเป้าหมาย สูงสุดของการเป็นมนุษยข์ องเรา แต่การรักพระเจา้ ดูเหมือนจะทาไดง้ ่ายกว่าการรักมนุษยค์ นอ่ืน ลองถามคู่ สมรสที่ลม้ เหลวคู่ไหนๆดูสิวา่ การให้อภยั มนั ยากเพียงใด ศาสนายดู ายก็เป็นศาสนาแรกที่บญั ชาว่า “จงรัก เพื่อนบา้นของท่าน”(เลวีติคสั 19.18)เมื่อประมาณ2500ปีก่อนและถึงแมว้่าศาสนาโลกส่วนใหญ่จะนา แนวคิดน้ีไปใช้ แต่ดูเหมือนว่าเรายงั คงห่างไกลจากการบรรลุเป้ าหมายดงั กล่าวเช่นที่เคยเป็ นแต่ก่อน เรา กาลงั จะบอกว่ามีแต่การแทรกแซงของสวรรค์เท่าน้นั ที่ทาให้มนั เกิดข้ึนไดอ้ ย่างน้นั หรือ? หรือเราสามารถ บอกไดว้ า่ เราเองก็มีพนั ธะกรณีใหต้ อ้ งพยายามต่อไปเช่นกนั ? 

  ในการโตแ้ ยง้ ซ่ึงเกิดข้ึนต้งั แต่มีแถลงการณ์แรกๆ มีการต้งั คาถามว่าเราควรจดั ลาดบั ความสาคญั ตรงไหนพระเจา้ หรือมนุษย?์ น่ีคือประเด็นท่ีแรบไบผยู้ ึดถือคมั ภีร์ทลั มุดตอ้ งเผชิญเมื่อสองพนั ปีก่อนโดย หลกั การแลว้ พระเจา้ ยอ่ มยงิ่ ใหญ่กวา่ มนุษย์ แต่ในทางปฏิบตั ิคมั ภีร์ไบเบิลสอนวา่ อบั ราฮมั สามารถปล่อยให้ พระเจา้ รอก่อนได้ ในระหวา่ งที่เขาตอ้ งไปจดั การกบั ความเร่งด่วนของผเู้ ดินทาง (เจเนซิส 18.3) 
  ในสมยั โรมนั มีการโตแ้ ยง้ ซ่ึงมีการบนั ทึกไวใ้ นมิดราช (หนงั สืออธิบายหนงั สือเบณจบรรณหรือ คมั ภีร์ห้าเล่มแรกของชาวยิว) (แรบบาห์ เจน 24.7) ในส่วนท่ีเกี่ยวกับการจดั ลาดบั ความสาคญั ชุมชนที่ ใกลช้ ิดของเรา หรือ มนุษยชาติ เรื่องน้ีแรบไบ อคิวาห์ ประกาศว่าการรักเพื่อนบา้ นของคุณคือหลกั การ พ้ืนฐานของกฎหมายไบเบิล ดงั น้นั จึงควรมีความสาคญั สูงสุด ซ่ึงตรงกนั ขา้ มกบั เบน อะซาย ที่แยง้ วา่ มนุษย์ ทุกคนคือลูกของพระเจา้ และสืบสายมาจากแหล่งเดียวกนั ดงั น้นั คนทวั่ ไปจึงควรมีความสาคญั กว่าใครคน หน่ึงโดยเฉพาะ และมีการโตแ้ ยง้ กนั อีกวา่ “คนจนในเมืองของคุณมีความสาคญั สูงสุด” (ทีบี บีเอม็ 21เอ) แต่ “คุณตอ้ งเล้ียงปากทอ้ งคนจนของทุกชาติ จึงจะสามารถเพมิสันติภาพในโลกได”้ (ทีบี เกตติน 61 เอ) การต่อสู้ เพื่อตอบสนองความตอ้ งการที่ใหญ่กวา่ ของมนุษยชาติกาจดั แนวโนม้ โดยธรรมชาติของการเป็นผูป้ กป้อง ชุมชนของคนๆหน่ึง และคนๆน้ีคงจะคิดแลว้ วา่ ขอ้ สรุปมนั ชดั เจนจนไม่เหลือคาถามใดๆเลย 

ผมเคยทางานในดา้ นศาสนสัมพนั ธ์และความสัมพนั ธ์ระหว่างชุมชนแบบไม่แทรกแซงนานเกือบห้าสิบปี โดยเริ่มตน้ ท่ีโรดีเซียใตใ้ นปี 1966 สิ่งที่โดดเด่นอยใู่ นความทรงจาของผมหลงั จากช่วงเวลาน้นั มีอยสู่ องอยา่ ง ดว้ ยกนั คือผมพบวา่ ตวั เองมีอะไรร่วมกนั กบั แนวคิดท่ีช่วยส่งเสริมสันพนั ธภาพระหว่างศาสนาที่เป็นสากล และมีความอ่อนไหวต่อศาสนาอ่ืนมากกว่าที่มีต่อพวกคลงั่ ศาสนาในศาสนาของผมเอง แต่ผมก็ยงั ไม่ได้ คน้ พบวิธีใชค้ วามสัมพนั ธ์เหล่าน้นั เพื่อช่วยให้บรรลุเป้าหมายที่เราทุกคนปรารถนาส่วนหน่ึงเป็นเพราะผม เชื่อวา่ เราส่วนใหญ่ไม่สามารถยบั ย้งั ตวั เองจากความคิดสุดโต่งวา่ มนั ยงั มีหนทางอยา่ งอื่นไดส้ าเร็จ ในทานอง เดียวกนั ในส่วนของตวั ผมน้นั ผมไม่สามารถเขา้ ถึงมวลชน เพื่อโนม้ นา้ วพวกเขาวา่ การใชค้ วามรุนแรงหรือ ความลาเอียง ไม่ใช่วธิ ีแกป้ ัญหาของพวกเขาหรือของโลกแต่อยา่ งใด 
  ถา้ หากวา่ เราสามารถใชพ้ ลงั งานท่ีเราใชเ้ พื่อโจมตีผอู้ ่ืน (ท้งั ที่อยภู่ ายในและภายนอกศาสนา) มาใช้ เพื่อรักและเยยี วยาแทนก็คงดี แต่จะทาอยา่ งไร? มนั ทาใหผ้ มนึกถึงชาวยิวผลู้ ึกลบั ที่มีชื่อเสียงสมยั ศตวรรษที่ 19ท่านหน่ึงคือท่านแรบไบนคั แมนแห่งเบรสโลว์ซ่ึงเคยกล่าวไวว้ ่า“ตอนที่ผมเริ่มชีวิตการเป็นครูผมมี ความคิดอยากเปล่ียนแปลงโลก แต่แลว้ ก็พบว่าผมไม่สามารถเปลี่ยนโลกได้ จึงพยายามเปลี่ยนแปลงเมือง ของตวั เองแทน หลงั จากน้นั ไม่นานก็เริ่มเห็นว่าผมไม่สามารถเปลี่ยนเมืองผมได้ จึงพยายามเปล่ียนแปลง ครอบครัวผมแทน ซ่ึงก็ลม้ เหลวอีก แลว้ ผมก็ตระหนกั วา่ คนเดียวท่ีผมเปล่ียนแปลงไดก้ ็คือตวั ผมเอง!” 
  คิดไดเ้ช่นน้ีแลว้จึงรู้สึกสบายใจแต่ก็เศร้าใจดว้ยเช่นกนั เราทาไดแ้ค่น้ีใช่ไหม?แต่ถา้เราพิจารณาวา่ ในช่วงเวลาของมนุษยชาติน้นั มีสิ่งดีงามที่เกิดจากบุคคลซ่ึงไดอ้ ุทิศตนเพื่อเป็นตวั อยา่ งของความดีและความ มีมนุษยธรรม แมว้ า่ การกระทาของเขาจะไม่ส่งผลในระดบั โลกอยา่ งท่ีเขาหวงั ไวก้ ็ตาม 

เรา ผซู้ ่ึงไดร้ ับเกียรติใหเ้ ขา้ ร่วมในการประชุมคร้ังน้ี ไม่สามารถทาอะไรมากกวา่ การพยายามรักกนั ให้มากข้ึน และ ทาใหโ้ ลกของเราเป็นสถานท่ีๆดีข้ึน แมว้ า่ ขอ้ สรุปของเราจะเป็นไดแ้ ค่การแสดงความหวงั เท่าน้นั ก็ตาม และถึงแมจ้ ะไม่เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมหรือโดยทนั ที แต่ก็อยา่ งที่ท่านฮิลเลลผูย้ งิ่ ใหญ่วา่ ไวเ้มื่อสองพนั ปี ก่อนคือ แมก้ ารทาภารกิจให้เสร็จสินจะไม่ใช่การทาเพ่ือตวั ท่านเอง แต่ก็ใช่ว่าท่านจะเป็นอิสระจากขอ้ ผกู มดั ของการพยายามทาภารกิจดงั กล่าว” (มิชนา แอวอต 2.16) 

  วธิ ีท่ีเราควรใชเ้พื่อช่วยปรับปรุงโลกน้ีใหด้ ีข้ึนมีอะไรบา้ ง?เป็นวิธีการของพวกนกั บวชนกั การเมือง สังคม หรือวฒั นธรรม? ท้งั หมดล้วนมีขอ้ จากดั ในตวั เอง แต่ก็เป็นกรอบปฏิสัมพนั ธ์และการกระทาของ มนุษยท์ ี่เรามีอยู่ เราไม่สามารถเพิกเฉยหรือผา่ นเลยสิ่งเหล่าน้ี ไม่เช่นน้นั แลว้ ความคิดเห็นของมนุษยก์ ็คงถูก ปล่อยทิง้ ไปไม่มีการพยายามนามาปฏิบตั ิ 
  บางทีเราน่าจะพดู ถึงวาระสองวาระน้ีนนั่ คือโปรแกรมทางศีลธรรมท่ีมีความสมบูรณ์ทางปัญญาซ่ึง แมจ้ ะมีขอ้ จากดั แต่เราทุกคนสามารถสมคั รเขา้ ร่วมได้ ซ่ึงควรจะนาเสนอในส่ือเพ่ือการส่ือสารทุกช่องทาง และวาระที่สาคญั ไม่แพก้ นั ซ่ึงแมจ้ ะดูธรรมดาแต่เป็นข่าวสารที่จูงใจสามารถนามาใชไ้ ดท้ ุกคน“จงรักเพื่อน บา้ นของท่าน” เป็ นคาขวญั ที่ถูกเลือกใชเ้ ม่ือสามพนั ปี ก่อน ตอนผมยงั เป็ นเด็กๆ เราพยายามแทนที่มนั ดว้ ยคา ขวญั “รักกนั ไม่รบกนั ” (make love not war) บางทีเราน่าจะผนั พลงั งานของเราเพื่อการพิจารณาว่า เรา สามารถคิดหาวิธีการที่เหมาะสมกบั ยุคสมยั ของเรา เพ่ือเป็นเสียงเรียกร้องต่ออนาคตของมนุษยชาติท่ีมีแต่ สันติ 

ความดีงามของการอดทนอดกลั้น:
ความท้าทายจากศาสนาและการเคารพต่อผ้อู ื่นและชาติอี่น 

ผ้แู นะนาท่านที่ 2: ดร. อารีฟ ซามฮารี
ขบวนการนะห์ดาตุล อลู ามา (องค์กรมุสลมิ ขนาดใหญ่สุดของโลก) ประเทศอนิ โดนีเซีย 

วนั น้ีผมจะพูดถึงคุณสมบตั ิของขนั ติธรรม ความทา้ ทายจากศาสนาและการเคารพต่อผอู้ ื่น เหตุผลที่ทาให้มี ศาสนาบนโลกใบน้ีคือเพ่ือเสริมสร้างความแข็งแกร่งแก่ค่านิยมและศักด์ิศรีของมนุษยชาติ และเพื่อ ส น บั ส น ุ น ส ั น ต ิ ภ า พ แ ล ะ ค ว า ม ก า ้ ว ห น ้ า ข อ ง โ ล ก ศ า ส น า ม ี ไ ว เ ้ พ ื ่ อ ใ ห ้ ม น ุ ษ ย เ ์ ก ิ ด ก า ร ร ู ้ แ จ ง ้ ไ ม ่ ใ ช ่ ใ น ท า ง ต ร ง ก นั ขา้ม 
 
  แต่ความจริงก็คือ ปัญหาของมนุษยห์ ลายอยา่ งในโลกน้ี มีตน้ ตอจากคนผนู้ บั ถือศาสนา ทวา่ ปัญหาที่ ผนู้ บั ถือศาสนาไดก้ ่อไว้ ก็ไม่ใช่ปัญหาที่เกิดจากศาสนาแต่อย่างใด มนั เกิดข้ึนเพราะศาสนาซ่ึงจริงๆแลว้ มี หลกั คาสอนครบถว้ นบริบรู ณ์น้นั กลบั ไม่ไดถ้ ูกทาความเขา้ ใจและนามาใชแ้ บบครบถว้ นโดยผนู้ บั ถือศาสนา การขาดความเขา้ ใจหลกั คาสอนของศาสนาอยา่ งครบถว้ นบริบูรณ์เช่นน้ี ไม่ไดเ้ กิดข้ึนเพราะผนู้ บั ถือศาสนา ประมวลผลความเขา้ ใจบางส่วน แต่เป็ นเพราะขาดความเขา้ ใจในความสัมพนั ธ์ท่ีเหมาะสมระหวา่ งศาสนา ต่างๆดว้ ย ความเขา้ ใจในศาสนาที่ผดิ พลาดจึงนาไปสู่การนาหลกั การทางศาสนาไปใชอ้ ยา่ งผิดๆ อยา่ งไม่ตอ้ ง สงสยั 

  ความเขา้ ใจผดิ เกี่ยวกบั มรดกทางศาสนา เกิดข้ึนไดใ้ นหลายทางและส่งผลกระทบแตกต่างกนั ไป ถา้ สมาชิกของชุมชนทางศาสนามีความเขา้ ใจพิธีกรรมทางศาสนาและเทววิทยาอยา่ งผิดๆ ความเขา้ ใจผิดน้ีจะ ส่งผลเฉพาะผูน้ บั ถือศาสนาเท่าน้นั แต่ถา้ เป็นความเขา้ ใจศาสนาอย่างผิดๆ ในแง่มุมทางสังคมเม่ือใด ความ เขา้ ใจผิดน้นั ไม่เพียงแต่มีผลต่อตวั ผนู้ บั ถือศาสนาเท่าน้นั แต่ยงั รวมถึงสังคมท้งั มวลดว้ ย ทาใหเ้ กิดความตึง เครียดและความขดั แยง้ ในสังคมดว้ ย ความขดั แยง้ ดงั กล่าวในสังคมอาจนาไปสู่ความขดั แยง้ รูปแบบอื่น ระหวา่ งรัฐต่างๆ ทวั่ โลกได้ 
  ศาสนาของโลกมีความแตกต่างกนั อยา่ งมากในแง่ของหลกั การ ทวา่ ก็มีความเหมือนอยู่หลายอยา่ ง เช่นกนั ความแตกต่างในศาสนาในแง่ของจริยธรรมและพฤติกรรมทางสังคมท่ีศาสนาส่งเสริมคือความหวงั วา่ จะสร้างความกลมเกลียวของมนุษย์ ความยุติธรรม และความเจริญรุ่งเรืองและทาให้มาตรฐานการครอง ชีพของคนไม่ว่าจะเป็นศาสนาใดดีข้ึน ดว้ ยเหตุผลดงั กล่าว เพ่ือให้เกิดความกลมเกลียวและการอย่รู ่วมกนั ระหวา่ งศาสนาต่างๆอยา่ งยงั่ ยนื ก็ไม่ควรยดั เยยี ดสิ่งท่ีไม่สมควรสิ่งที่ถูกบิดเบือนจนดูเหมือนเป็นการต่อตา้ น และทศั นะท่ีทุกฝ่ายไม่มีอยรู่ ่วมกนั การให้ความเคารพต่อเจตจานงดงั กล่าว จะช่วยรับประกนั การอยรู่ ่วมกนั อยา่ งสันติที่ยงั่ ยนื ระหวา่ งศาสนาต่างๆ โดยสมาชิกของชุมชนทางศาสนาท้งั หลายสามารถดารงชีวิตตามหลกั ศาสนาของตน 

นอกจากปัจจยั เร่ืองความเขา้ ใจศาสนาอยา่ งผดิ ๆแลว้ ยงั มีปัจจยั อ่ืนท่ีมีส่วนต่อการเกิดความขดั แยง้ ทางสังคม ระหวา่ งคนต่างศาสนาดว้ ย ผลประโยชน์ที่ไม่เกี่ยวกบั ศาสนาอาจอาศยั หลกั คาสอนและใชศ้ าสนาเป็ นหนทาง ในการบรรลุวตั ถุประสงคท์ ่ีไม่เกี่ยวกบั ศาสนาเช่นกนั 

  ผลประโยชน์อื่นๆท่ีอาจแอบแฝงมากับเป้าหมายทางศาสนาได้แก่ผลประโยชน์ทางการเมือง เศรษฐกิจและวฒั นธรรมผลประโยชน์ที่ไม่เก่ียวกบั ศาสนาเช่นน้ีถูกทาให้ดูเหมือนเป็นเรื่องทางศาสนาอาจ เกิดจากกลุ่มที่ประกาศแรงจงู ใจทางศาสนาของตนในนามของศาสนาหรือแมแ้ ต่อา้ งหลกั การทางศาสนาดว้ ย ซ้าไป หนา้ ที่ของเราในฐานะสมาชิกของชุมชนทางศาสนาคือการนาเสรีภาพมาสู่ผศู้ รัทธาทุกคน เพื่อให้เกิด ความเขา้ ใจในความศรัทธาของตนอยา่ งแทจ้ ริง และลดความเขา้ ใจศาสนาอยา่ งผดิ ๆ ซ่ึงนาไปสู่ความขดั แยง้ ทางสงั คมในหม่ปู ระชาชนของโลกได้ 
  นอกจากน้ีแลว้ เราตอ้ งระมดั ระวงั ในการแยกแยะปัญหา ซ่ึงอาจถูกจดั กลุ่มวา่ เป็นปัญหาทางศาสนา และปัญหาที่ถูกบิดเบือนให้ดูเหมือนปัญหาทางศาสนา หลายคร้ังที่ผลประโยชน์ของผมู้ ีอานาจทางการเมือง ถูกอา้ งวา่ เป็ นประเด็นทางศาสนา ท้งั ท่ีสาระสาคญั ของมนั ช่างห่างไกลกนั เหลือเกิน จะรับมือกบั ความทา้ ทาย น้ีได้ เราตอ้ งระบุว่าอนั ไหนคือปัญหาทางศาสนาจริงๆ และวางมนั ไวเ้ หนือผลประโยชน์อื่นใดท้งั หมด เมื่อ เราวางศาสนาอยเู่หนือผลประโยชนด์ งั กล่าวแลว้ มนั ก็จะทาหนา้ ที่เป็นสัญญาณแห่งความหวงั จากบรรพชน 
  ในทางตรงกันข้าม ถ้าข้อกังวลทางศาสนาที่แท้จริง ถูกกาหนดให้อยู่ภายใต้เงื่อนไขของ ผลประโยชนด์ งั กล่าว ชุมชนทางศาสนาก็จะขาดความกลมเกลียวและเกิดความขดั แยง้ ถาวร ดว้ ยเหตุน้ี ความ กลมเกลียวในหมู่และระหวา่ งผนู้ บั ถือศาสนาต่างๆ จะเกิดข้ึนได้ ก็ตอ้ งเริมตน้ จากภายในชุมชนทางศาสนา ว า ง ก ร อ บ ศ า ส น า เ พ ่ อื เ ป ็ น เ ค ร ื ่ อ ง ม ื อ แ ห ่ ง ส ั น ต ิ ภ า พ แ ล ะ ม ี เ ป ้ า ห ม า ย เ พ ื ่ อ ล ด ค ว า ม ข ดั แ ย ง้ ใ น โ ล ก น ้ ี ด งั น นั ค ุ ณ ค ว า ม ดีของขนั ติธรรมที่ศาสนาทงั หลายไดส้ อนไว้จึงตอ้ งใชเ้ป็นพ้ืนฐานทางจริยรรมของการเคารพต่อผคู้ นและ ชาติอื่น 


ขันติธรรมเงื่อนไขทต่ี ้องมีก่อน 
การรับรู้ศาสนาอ่ืนของศาสนาอิสสามคือหวั ขอ้ การอภิปรายที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งในส่วนท่ีเก่ียวกบั ศาสนเสวนา คาถามในท่ีน้ีคือ ศาสนาอิสลามมีการรับรู้ความเช่ือทางศาสนาอ่ืนอยา่ งไร ก่อนท่ีเราจะอภิปราย เรื่องน้ี ควรที่จะอธิบายหลกั การว่าด้วยขนั ติธรรมของอิสลามต่อผูน้ ับถือศาสนาอ่ืนกันก่อน แน่นอนว่า หลกั การเร่ืองขนั ติธรรมน้ียอ่ มมีประเดน็ เร่ืองเสรีภาพทางศาสนาอยดู่ ว้ ย 
  “ขนั ติธรรม” ในภาษาอาระบิค เรียกว่า ทาซามุฮ์ (tasamuh) ซ่ึงเป็นหลกั การพ้ืนฐานของอิสลาม เช่นเดียวกบั หลกั การอื่นๆ เช่น การอานวยพร (rahmat –ระฮ์มตั ), ปัญญา (hikmat – ฮิกมตั ), คุณธรรม สาธารณะ(มสั ลาฮตั อลั -อุมมะฮ)์ และความยตุ ิธรรม(adl อดั ล)หลกั การของอิสลามดงั กล่าวถือวา่ เป็น หลกั สากลและเป็นเร่ืองของความแน่นอน (คาฮ์อิญตั ) หมายความวา่ ชาวมุสลิมจะตอ้ งปฏิบตั ิตามหลกั การ ดงั กล่าวไม่วา่ พวกเขาจะอยทู่ ่ีไหน เม่ือไร และมีภูมิหลงั ทางวฒั นธรรมอยา่ งไรก็ตาม หรือนยั หน่ึง หลกั การ ดงั กล่าวคือขอ้ ผกู พนั ทางศีลธรรมของศาสนา ดงั นนั เม่ือไดท้ าความเขา้ ใจว่าหลกั การดงั กล่าวคือขอ้ ผกู พนั ทางศีลธรรมที่มีพ้ืนฐานมาจากศาสนาอยา่ งถูกตอ้ งแลว้ ก็หมายความวา่ ชาวมุสลิมไม่เพียงแต่ตอ้ งปฏิบตั ิตาม หลกั การโดยเคร่งครัดเท่านนั ยงั ตอ้ งเผยแพร่มนั ในหมู่พวกพอ้ งมุสลิมดว้ ยกนั รวมทงั ผนู้ บั ถือศาสนาอ่ืนตาม ความเหมาะสมดว้ ย หลกั การดงั กล่าวทาให้ชาวมุสลิมสามารถอยู่ร่วมอย่างสันติกบั คนศาสนาอื่น ในส่วน ของความเช่ือทางศาสนาที่แตกต่างกนั นนั เม่ือไดท้ าความเขา้ ใจอยา่ งถูกตอ้ ง ก็จะไม่เป็นอุปสรรคต่อการท่ี ชาวมุสลิมจะดารงชีวติ อยา่ งสันติกบั ผนู้ บั ถือศาสนาอื่นหลกั คาสอนเรื่องขนั ติธรรมน้ีเป็นสิงที่ไดร้ ับการเนน้ ยาในคมั ภีร์กุรอาน โดยเฉพาะอยา่ งยงิความอดทนต่อศาสนาอื่น ตวั อยา่ งเช่น คมั ภีร์กุรอานประณามการสร้าง ความอปั ยศและการดูหมินต่อพระเจา้ หรือศาสนาของผอู้ ่ืน ดงั ท่ีปรากฏในบญั ญตั ิ (อายตั - verse) จากคมั ภีร์ ต่อไปน้ี 


  “องค์อัลเลาะห์ทรงมีบญั ชาเตือนมุสลิมไม่ให้ละเมิดหรือล่วงเกินต่อบรรดาผูต้ ่างศรัทธา ผูซ้ ่ึง สักการะต่อสิ่งอ่ืนๆ นอกจากพระองค์ ท้งั น้ีเพราะวา่ ผตู้ ่างศรัทธาอาจจะด่าทอกลบั และล่วงเกินองคอ์ ลั เลาะห์ เน่ืองจากขาดความ เขา้ ใจ ท้งั น้ีองค์อลั เลาะห์ไดใ้ ห้ความยุติธรรมแก่ทุกๆประชาชาติ ในผล แห่งสิ่งท่ีเขากระทา และเมื่อพวกเขา กลบั ไปสู่พระเจา้ ในวนั ตดั สิน พระองคก์ ็จะทรงบอกแก่พวก เขาถึงสิ่งท่ีพวกเขาไดเ้ คยกระทา” (บทท่ี 6 บญั ญตั ิ 108) 

บ ญั ญ ต ั ิ ท ี ่ อ า ้ ง ถ ึ ง น ้ ี ย ง ั แ น ะ น า ด ว ้ ย ว า ่ ม ุ ส ล ิ ม ค ว ร ป ก ป ้ อ ง ค ว า ม เ ช ื ่ อ ข อ ง ศ า ส น า อ ื ่ น จ า ก ก า ร ถ ู ก ด ู ห ม ิ น ด ว ้ ย
 
  ขนัติธรรมอีกรูปแบบหน่ึงที่กล่าวไวใ้นคมัภีร์กุรอานคือเสรีภาพในการดาเนินรอยตามความศรัทธา ของตวั เรา (แมไ้ ม่ใช่อิสลามก็ตาม) มุสลิมไม่ควรบงั คบั ให้ผูอ้ ื่นยอมรับอิสลาม เพราะความศรัทธาควรมี พ้ืนฐานจากการเลือกอย่างมีจิตสานึกไม่ใช่ถูกบงั คบั ถา้ ใครถูกบงั คบั ให้ยอมรับอิสลาม ศรัทธาของเขาหรือ เธอก็ไม่ใช่สิ่งท่ียอมรับได้หรือนยั หน่ึงอิสลามตระหนกั ถึงเสรีภาพทางศาสนาและความเชื่ออยา่ งเต็มเปี่ยม เราพบวา่ มีขอ้ ความในคมั ภีร์กรุ อานแสดงแนวคิดวา่ ความเชื่อในศาสนาใดๆก็ตาม ข้ึนอยกู่ บั ความสนใจส่วน บุคคลคนมีทางเลือกแมจ้ ะเป็นศรัทธาท่ีถูกช้ีนาในทางท่ีผิดถา้ เขาเลือกสัจธรรมก็เป็นสิงดีสาหรับเขาแต่ถา้ เขาเลือกสิงที่ผดิ ก็จะไดร้ ับผลจากการเลือกนนั เราพบเห็นแนวคิดดงั กล่าวปรากฏอยใู่ นบญั ญตั ิ ต่อไปน้ี 

“ไม่มีการบงั คบั กนั ในเรื่องเก่ียวกบั ศาสนา สิ่งที่ถูกตอ้ งไดถ้ ูกจาแนกแยกแยะออกจากสิ่งที่ผิดเป็นท่ีชดั เจน แลว้ ”–2:256
“สัจธรรมน้นั มาจากองค์อภิบาลของเจา้ ดงั น้นั หากผใู้ ดประสงค์จะศรัทธาก็ให้เขาศรัทธา หรือถา้ หากผใู้ ด ประสงคจ์ ะปฏิเสธก็ปล่อยใหเ้ ขาปฏิเสธ" – 18:29
“แทจ้ ริงเราไดช้ ้ีนาทางแก่เขาบางทีเขาอาจเป็นผขู้ อบคุณและบางทีอาจเป็นผปู้ ฏิเสธ”–76:3
“มาตรว่าองคอ์ ภิบาลของเจา้ ทรงประสงคแ์ ล้ว มนุษยท์ ้งั หมดบนผืนพิภพก็จะศรัทธา แลว้ เจา้ ยงั จะบงั คบั มนุษยใ์ หเ้ ป็นผศู้ รัทธาอีกกระน้นั หรือ” – 10:99 


ศาสนาอิสลามยืนยนั ว่าผศู้ รัทธาในศาสนาทุกคนมีสิทธิในเสรีภาพทางศาสนาและการเคารพบูชา (สถานที่ เคารพทางศาสนาทุกแห่ง (ไม่ว่าจะเป็นของชาวยิว คริสเตียน หรือ อิสลาม) อิสลามถือว่าเป็นที่ศกั ด์ิสิทธ์ิ ดงัน้นั ศาสนาอิสลามจึงขอให้ชาวมุสลิมปกป้องสิทธิเสรีภาพในการเคารพบูชาของทุกคนศาสนาอิสลาม สนบั สนุนใหก้ ่อต้งั สงั คมเสรีมีความเป็นสากล ทุกคนสามารถอยรู่ ่วมกนั โดยมีเสรีภาพทางศาสนาดว้ ยความ ปลอดภยั และทดั เทียมกนั ดงั น้นั องคอ์ ลั เลาะห์จึงตรัสไวใ้ นคมั ภีร์กุรอานวา่ “และหากว่าองค์อลั เลาะห์ทรง ขดั ขวางมิให้มนุษยต์ ่อสู้ซ่ึงกนั และกนั แลว้ บรรดาหอสวดและโบสถ์ของพวกคริสต์ และสถานที่สวดของ พวกยวิ และมสั ยดิ ท้งั หลายที่พระนามขององคอ์ ลั เลาะห์ถูกกล่าวราลึกอยา่ งมากมาย” (ซูเราะห์ 22, การจาริก แสวงบุญ, อายตั ิ 40) 
  โดยสรุป เห็นไดช้ ดั ว่าสิ่งท่ีคมั ภีร์กุรอานส่งเสริมให้เราทาความเขา้ ใจก็คือความเลื่อมใสในศาสนา ของคน ควรมีพ้ืนฐานอยู่บนความสุจริตใจและความตระหนกั และเป็นอิสระจากการบงั คบั ใดๆ หลกั การ เสรีภาพทางศาสนาไม่เกี่ยวขอ้ งกบั สัจธรรมของศาสนาใดศาสนาหน่ึง แมว้ า่ ในความเป็นจริง คมั ภีร์กุรอาน ถือว่าอิสลามคือศาสนาที่ถูกตอ้ ง แต่ก็มิไดห้ ้ามชาวมุสลิมให้ความเคารพต่อศาสนาอื่น ในเม่ือคนได้รับ อนุญาตใหเ้ ลือกนบั ถือศาสนาใดก็ไดแ้ ลว้ เขาก็ตอ้ งเคารพต่อการเลือกนบั ถือศาสนาของผอู้ ่ืนดว้ ยเช่นกนั 
 

ทศั นะของศาสนาอสิ ลามต่อ อาห์ลี กตี าบ 
พึงสังเกตว่าคมั ภีร์กุรอานพูดถึงศาสนาอื่นหรือที่เรียกว่า อาห์ลี กีตาบ (คนท่ีได้รับพระคมั ภีร์) และยงั ใช้ ความหมายคลา้ ยกนั กบั คาเดียวกนั เช่น อูตุล กีตาบ (คนที่ไดร้ ับพระคมั ภีร์ที่มีมาก่อน) และ นาสิบนั มินลั กี ตาบ คาวา่ อลั กีตาบ ถูกอา้ งถึงในคมั ภีร์กุรอาน 31 คร้ัง ปรากฏอยใู่ นบทต่างๆ ถึง 7 บท คาวา่ อลั กีตาบิน ใน คมั ภีร์กุรอานหมายถึงชาวอาหรับผนู้ บั ถือศาสนาท่ีมีพระเจา้ องคเ์ ดียว ซ่ึงไดร้ ับพระคมั ภีร์ศกั ด์ิสิทธ์ิ กรอบ ความคิดน้ีแสดงวา่ อิสลามถือวา่ ศาสนาท่ีมีมาก่อน (คริสตศ์ าสนาและศาสนายิว) และพระคมั ภีร์ของพวกเขา คือสจั ธรรม และการเช่ือในพระคมั ภีร์ท่ีมาก่อน ก็ถือวา่ เป็ นเสาหลกั แห่งความศรัทธาของศาสนาอิสลามดว้ ย 
  นอกจากน้นั คมั ภีร์กุรอานยงั ขอใหช้ าวมุสลิมเช่ือในพระเยซูและโมเสส รวมท้งั ศาสดาในพระคมั ภีร์ องคอ์ ่ืนๆดว้ ย เพราะพวกเขาคือผแู้ จง้ ข่าวสารของพระเจา้ ที่ถูกส่งมายงั โลกมนุษย์ เพื่อเป็ นการแสดงถึงความ เมตตาของพระเจา้ ตวั อยา่ งเช่น คมั ภีร์กุรอานประกาศวา่ ในพระคมั ภีร์ไม่ไดม้ ีแค่หลกั คาสอนของหนงั สือโท ราห์ของโมเสสและคาสอนของพระเยซูเท่าน้นั แต่ยงัมีคาแนะนาและเรื่องราวชีวิตของศาสดาท้งัหลายดว้ย เหตุน้ีองคอ์ ลั เลาะห์จึงตรัสถึงคมั ภีร์กุรอานอนั ศกั ด์ิสิทธ์ิวา่ 


  และเราไดใ้ หค้ มั ภีร์ลงมาแก่เจา้ ดว้ ยความจริงในฐานะเป็นท่ียนื ยนั คมั ภีร์ที่อยเู่บ้ืองหนา้ มนั และเป็น ท่ีควบคุม คมัภีร์ใหป้ลอดภยั(ซูเราะห์5,ส่วนขยาย,อายตัิ48) 
 
 
  โดยแน่นอน ในเรื่องราวของเขา เป็นบทเรียนสาหรับผมู้ ีสติปัญญา มิใช่เป็นเรื่องราวที่ถูกป้ันข้ึน แต่ วา่ เป็น การ ยนื ยนั ความจริงที่มีอย่ตู ่อหนา้ เจา้ (จากคมั ภีร์ต่างๆที่มาก่อนหนา้ น้ี) และเป็นการแจกแจง ทุกสิ่งทุกอยา่ ง และ เป็ นทางนาท่ีถูกตอ้ ง และเป็ นความเมตตาต่อกลุ่มชนผูศ้ รัทธา" (ซูเราะห์ 12, โจเซฟ, อายตั ิ 111) 
 
แมว้ ่าผนู้ บั ถือของพระคมั ภีร์เหล่าน้นั (คมั ภีร์กุรอาน, หนงั สือโทราห์ และคาสอนของพระเยซู)จะยนื ยนั ถึง ความแตกต่างของตน แต่คมั ภีร์กุรอานเน้นย้าว่าผูน้ บั ถือพระคมั ภีร์เหล่าน้นั มีความคลา้ ยกนั มากกว่าความ แตกต่าง มนั เป็นการยนื ยนั ถึงสายใยพิเศษระหวา่ งชาวมุสลิม ชาวยิว และชาวคริสต์ ดงั นนั จึงเป็นการสังชาว มุสลิมใหแ้ สวง กาลีมาตุน ซาวา (พ้ืนฐานร่วมกนั ) ในหมู่คนของพระคมั ภีร์ เพราะพวกเขาถูกมองวา่ เป็ นผทู้ ี่มี ความกรุณามีความศรัทธาที่ตงั อยู่บนพระคมั ภีร์ท่ีไดร้ ับมอบจากสวรรค์และเป็นผูท้ ี่มีประเพณีของการ ประกาศร่วมกนั ดูคมั ภีร์กุรอานบท 3:64 


  “จงกล่าวเถิดว่า โอบ้ รรดาผูไ้ ดร้ ับคมั ภีร์ จงมายงั ถอ้ ยคาหน่ึงซ่ึงเท่าเทียมกนั ระหว่างเราและพวก ท่านคือวา่ เรา ไม่เคารพสักการะนอกจากพระองค์เท่าน้ัน และเราจะไม่ให้สิ่งหน่ึงสิ่งใดเป็นภาคีกับ พระองค์ และพวกเราบาง คนก็จะไม่ยึดถืออีกบางคนเป็ นพระเจา้ อื่นจากองค์อลั เลาะห์ แลว้ หากพวกเขาผิน หลงั ให้ก็จงกล่าวเถิดวา่ พวก ท่าน จงเป็นพยานด้วยว่า แท้จริงพวกเราเป็นมุสลิม (ผู้น้อมตาม เจตจานงขององคอ์ ลั เลาะห์) 

นกั วิชาการมุสลิมมีทศั นะต่อความหมายของคาว่า กาลิมาตุน ซาวะ แตกต่างกนั ไป โดยบางคนบอกวา่ คาว่า กาลิมาตุน ซาวะ ประกอบดว้ ย หลกั คาสอนเร่ืองความเสมอภาคและยุติธรรม, การแกไ้ ขความขดั แยง้ อยา่ ง สันติ และการปฏิเสธฆาตกรที่อา้ งเหตุผลความเชื่อ ดว้ ยเหตุน้ี ศาสนาอิสลามจึงเน้นถึงความสาคญั ของการ แสวงหาพ้ืนฐานร่วมกนั และฉนั ทามติในระดบั สังคม ในสังคมแบบพหุวฒั นธรรมท้งั หลาย 

  “ชาวยวิและชาวคริสตจ์ะไม่มีวนัยอมรับเจา้จนกวา่เจา้จะปฏิบตัิตามศาสนาของพวกเขาจงกล่าวเถิด แทจ้ริงคาแนะนาของอลัเลาะห์เท่าน้ันคือคาแนะนาแน่นอนถ้าเจ้าปฏิบตัิตามความใคร่ของพวกเขา หลงัจากที่มี ความรู้มายงัแล้วก็ย่อมไม่มีผูคุ้้มครองและผูช้่วยเหลือใดๆสาหรับเจ้าให้พน้จากการ ลงโทษของอลั เลาะห์ได”้ (บท 2:120-121) 

  “กลุ่มหน่ึงจากผไู้ ดร้ ับคมั ภีร์น้นั ชอบหากพวกเขาจะทาให้พวกเจา้ หลงผิด และพวกเขาจะไม่ทาให้ ใครหลงผดิ นอกจากตวั ของพวกเขาเอง แต่พวกเขาไม่รู้” (บท 3:69) 

  “ผไู้ดร้ับคมัภีร์หลายคนชอบหากพวกเขาจะสามารถทาให้พวกเจา้กลบั เป็นผปู้ ฏิเสธการศรัทธาอีก ท้งั น้ี เพราะความอิจฉาริษยาที่มาจากพวกตวั เขาเอง หลงั จากความจริงไดป้ ระจกั ษแ์ ก่พวกเขา ดงั น้นั พวก เจา้จงให้ อภยั และเบือนหนา้เสียจนกว่าอลัเลาะห์จะประสานคาสั่งของพระองค์มาแทจ้ริงอลั เลาะห์น้นั ทรงเดชานุภาพ เหนือทุกสิ่ง” (บท 2:109) 

แต่คมั ภีร์กุรอานก็กล่าวไวว้ ่าผูท้ ่ีไดร้ ับคมั ภีร์ไม่ไดเ้ป็นเช่นน้นั ทุกคนมีบางคนที่ศึกษาบญั ญตั ิของพระเจา้ และประพฤติดี กาหนดใหม้ ีการทาความดีและหา้ มทาชวั่ ดงั น้นั พระเจา้ จึงตรัสไวใ้ นคมั ภีร์กรุ อานวา่ 
  “พวกเขาหาใช่เหมือนกนั ไม่ จากบรรดาผทู้ ่ีไดร้ ับคมั ภีร์น้นั มีกลุ่มชนหน่ึงที่เที่ยงธรรมซ่ึงพวกเขา อ่านบรรดา โองการของอลั เลาะห์ในยามค่าคืน และพร้อมกนั น้นั พวกเขาก็สุยดู (กม้ กราบ)กนั พวกเขา ศรัทธาต่ออลั เลาะห์ และวนั ปรโลก และใชใ้ ห้ปฏิบตั ิสิ่งที่ชอบ และห้ามมิให้ปฏิบตั ิสิ่งที่ไม่ชอบ และ ต่างรีบเร่งกนั ในบรรดาสิ่งดีงาม และชนเหล่าน้ีและอยู่ในหมู่ที่ประพฤติดี และความดีใดๆ ท่ีพวกเขา กระทาพวกเขาจะไม่ถูกปฏิเสธในความดีน้นั เป็นอนั ขาดและอลั เลาะห์ทรงรู้ดีต่อบรรดาผูท้ ี่ยาเกรง (คมั ภีร์กุรอาน บท 3:113-115) 

ดว้ ยเหตุท่ีผทู้ ี่ไดร้ ับคมั ภีร์ไม่ได้เหมือนกนั ท้งั หมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเจตคติที่มีต่อชาวมุสลิม คมั ภีร์กุ รอานจึงสัง่ สอนชาวมุสลิม และใหค้ าแนะนาต่างๆ ในการจดั การกบั ผทู้ ่ีไดร้ ับคมั ภีร์ตามเจตคติที่เขามีต่อชาว มุสลิม ดงั น้นั คมั ภีร์กุรอานจึงสั่งให้ชาวมุสลิมไม่เพียงแต่เคารพต่อผูท้ ่ีไดร้ ับคมั ภีร์ ซ่ึงไม่ไดต้ ่อสู้และขบั ไล่ ชาวมุสลิมออกจากบ้านเรือนของเขาเท่าน้ัน แต่ยงั รวมถึงผูท้ ี่ปฏิบตั ิต่อชาวมุสลิมด้วยความเมตตาและ ยุติธรรมดว้ ย นอกจากน้ีคมั ภีร์กุรอานยงั สั่งชาวมุสลิมให้จดั การกบั ผทู้ ่ีไดร้ ับคมั ภีร์เวลาท่ีมีปฏิสัมพนั ธ์ทาง สังคมอยา่ งสันติ ถา้ เกิดการโตแ้ ยง้ กนั กบั ผทู้ ี่ไดร้ ับคมั ภีร์ มุสลิมตอ้ งพยายามอย่างถึงที่สุดท่ีจะไม่โตแ้ ยง้ กบั พวกเขา อยา่ งไรก็ดี ถา้ ผทู้ ่ีไดร้ ับคมั ภีร์ขบั ไล่ชาวมุสลิมออกจากบา้ นเรือนของเขา และทาให้เขาตอ้ งตกอยใู่ น อนั ตราย เช่นน้ีแลว้ ชาวมุสลิมจะถูกสัง่ หา้ มไม่ใหร้ ักษามิตรภาพกบั ผทู้ ่ีไดร้ ับคมั ภีร์ 
  “อลั เลาะห์ มิไดท้ รงหา้ มพวกเจา้ เกี่ยวขอ้ งกบั บรรดาผทู้ ี่มิไดต้ ่อตา้ นพวกเจา้ ในเรื่องศาสนาและพวก เขามิไดข้ บั ไล่พวกเจา้ ออกจากบา้ นเรือนของพวกเจา้ ในการท่ีพวกเจา้ จะทาความดีแก่พวกเขา และให้ ความยตุ ิธรรมแก่พวก เขา แทจ้ ริงอลั เลาะห์ทรงรักผมู้ ีความยตุ ิธรรม” (บท 60 อลั มุมตาฮานาห์: 8) 


การช่วยให้ประชาชนและผ้นู าเป็นผ้ทู มี่ ีขันติธรรมมากข้ึน 
 

ผ้แูนะนาท่านที่3:ศาสตราจารย์ดร.พอลเอม็ ซูเลห์เนอร์ 
ประธานเทววทิ ยาอภิบาล กรุงเวยี นนา, ออสเตรีย 

ผมมีส่วนร่วมใน การศึกษาระบบค่านิยมของยุโรป (European Value System Study) มาต้งั แต่ปี 1992 และ คน้ พบว่าชาวยุโรปส่วนใหญ่ให้ความสาคญั ต่อขนั ติธรรมสูงมาก แต่พอเราถามว่าคนดาเนินชีวิตและ ประพฤติตนแบบผมู้ ีขนั ติธรรมหรือไม่ ค่าของขอ้ มูลท่ีไดก้ ลบั ต่ามากๆ ดงั น้นั จึงเกิดคาถามวา่ “เหตุใดคนใน ยโุ รปจึงไม่สามารถเป็นผทู้ ี่มีขนั ติธรรมอยา่ งที่ตนปรารถนา? 
  เรื่องน้ีน่าจะเป็นคาถามสาคญั ของที่ประชุมน้ี “คุณจะช่วยให้คนและแมแ้ ต่ผนู้ าเป็นผทู้ ี่มีขนั ติธรรม มากข้ึนไดอ้ ยา่ งไร?” ผมคิดวา่ นี่คือคาถามทางการเมืองสาคญั ที่สุดของที่ประชุม
  ผมขออธิบายจุดยืนของผมในเร่ืองน้ีคร่าวๆ ถา้ ใครไดศ้ ึกษาพระคมั ภีร์ศกั ด์ิสิทธ์ิของทุกศาสนา ซ่ึง เขา้ ร่วมในการประชุมท่ีน้ีดว้ ย คุณจะพบวา่ หลายเล่มแสดงให้เห็นว่าศาสนาส่วนใหญ่มีจุดยืนเพื่อสันติภาพ ความยตุ ิธรรม และความเมตตา ผมคิดวา่ นี่คือคุณลกั ษณะเชิงบวกของทุกศาสนา
  ผแู้ ทนของศาสนาสาคญั จะไม่ส่งเสริมสงคราม พวกเขายนื หยดั เพ่ือสันติภาพ ตวั อยา่ งเช่น ฟรานซิส แห่งอสั ซีซ่ี หรือ คานธี พวกลทั ธิซูฟี หรืออีกหลายท่านท่ีมาจากศาสนาพุทธ และแน่นอนพระเยซูผ่านคา เทศนาบนภูเขา ดงั น้นั คาถามจึงไดแ้ ก่ เหตุใดสมาชิกของศาสนาบางคนจึงมีแนวโน้มท่ีจะใชค้ วามรุนแรง ขณะที่บางคนใฝ่สันติภาพ?คาตอบน้นั ฝังรากลึกอยใู่ นบุคลิกภาพของบุคคลไม่ใช่ในความศรัทธาของเขา ผมเคยทาการสารวจครังหน่ึง เพื่อวเิ คราะห์ ลทั ธิเผด็จการในยุโรป โดยไดก้ รอบความคิดจากนกั สังคม วทิ ยาช่ือดงั ชาวเยอรมนั ธีโอดอร์ ดบั เบิลยู อดอร์โน เขาไดต้ งั คาถามว่าเหตุใดหลายคนจึงสนบั สนุนระบบ เผด็จการแบบเบ็ดเสร็จในยุโรปในศตวรรษที่ผ่านมา และก็ไดค้ าตอบว่าการท่ีพวกเขายอมตนต่อผูม้ ีอานาจ ดว้ ยความเต็มใจก็เพราะมีความคิดง่ายๆวา่ เขา ผทู้ ี่อยเู่ หนือกวา่ ยอ่ มถูกตอ้ งเสมอและเม่ือคนเหล่าน้ีถูกไต่ สวนดาเนินคดี เช่น ไอช์มานน์, เฮสส์ หรือ ฮอสส์ แกต้ ่างใหต้ วั เองวา่ เราก็แค่ทาหนา้ ท่ีของเราเท่านนั

  จากการสารวจความคิดเห็นของผมพบวา่ บุคลิกภาพของพวกเผด็จการน้นั เป็นพวกที่มีความอ่อนแอ และวติ กกงั วล นอกจากน้ีแลว้ การที่เป็นคนอ่อนแอ จึงใชค้ วามรุนแรงต่อผอู้ ื่นอยา่ งมาก ความอ่อนแอภายใน ใจน้ีเองท่ีเป็นเหตุผลแทจ้ ริงของการใชค้ วามรุนแรงต่อผอู้ ื่น และพวกที่มีบุคลิกแบบเผด็จการมกั ไม่สามารถ ยอมรับความเป็นพหุนิยม เขาไม่มีความสามารถ อย่างที่ภาษาเยอรมนั เรียกว่า พลูลาลิแทตทูเลอรันซ์ (Pluralitätstoleranz) หรือ “ความอดทนต่อความเป็นพหุนิยม” พวก “คนอื่น” อาจเป็นชาวยิวหรือมุสลิม หรือแมแ้ ต่ผหู้ ญิงหรือพวกโรมหรือชาวต่างชาติก็ได้คนอื่นถูกมองว่าเป็นศตั รูดว้ ยเหตุน้ีพวกเผด็จการจึง พยายามกาจดั คนอ่ืนดว้ ยการใชค้ วามรุนแรงสารพดั แบบ ตวั อย่างเช่น ดว้ ยการเผาท้งั เป็นในยุคกลาง ส่วน ปัจจุบนั ก็โดย “การแย่งชิงพ้ืนท่ีส่ือ” โดยลทั ธิก่อการร้าย หรือ สงคราม ดงั น้นั ใครก็ตามที่สนใจจะกาจดั ความรุนแรงทางศาสนาและเริ่มการเสวนาเชิงสร้างสรรคโ์ ดยสันติอย่างแทจ้ ริง ก็ตอ้ งลดแนวโน้มของการ เป็นเผด็จการเพื่อเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพของเขาใหไ้ด้
  ถึงตอนน้ีคุณคงตอ้ งถามว่าแลว้ หนทางมีอะไรบา้ ง? บางคนบอกว่าตอ้ งใช้การศึกษา ขอ้ มูล หรือ จริยธรรมสากล ผมยงั ไม่ค่อยมนั่ ใจเร่ืองหลกั จริยธรรมสกั เท่าไร เพราะจริยธรรมยงั ไม่พอสาหรับพวกท่ีชอบ วิตกกงั วลท้งั หลาย และเผด็จการโดยตวั มนั เองแล้วก็เป็ นความวิตกกังวลอย่างหน่ึง คุณจะไปบอกพวก วติ กจริตวา่ “อยา่ กงั วลไปเลย” ไม่ไดห้ รอก
  แลว้ คุณยงั มีวธิ ีการอะไรอยา่ งอ่ืนอีกไหม? ผมคิดวา่ คุณคงตอ้ งเยียวยาเขาแลว้ แต่วธิ ีการเยียวยาล่ะ? ตามประเพณีคาธอลิกของผมข่าวสารมนั เปลี่ยนแปลงจากที่เคยเป็นเรื่องลึกลบั สู่ความมีศีลธรรมหลายปีแลว้ แลว้ศาสนาจะเยยีวยาพวกวิตกจริตไดไ้หม?และเมื่อคนไดร้ับการเยียวยาแลว้เขาจะเป็นผมู้ีขนัติธรรมและมี ความโน้มเอียงต่อความเป็นน้าหน่ึงใจเดียวมากข้ึนผมไม่ไดบ้ อกคุณว่าความคิดเห็นของผมต่อการเยียวยา เป็นเช่นไร แต่ผมกาลงั จะทิ้งคาถามสาคญั ไวใ้ ห้คุณ เพราะในการกล่าวสุนทรพจน์ที่ผมไดร้ ับฟังมาน้นั ไม่มี ใครพูดถึงความวิตกกงั วลเลยสักคา เรามกั จะพูดถึงอานาจและจริยธรรมเสมอ แต่คุณตอ้ งพิจารณาผลที่ ตามมาของความวติ กกงั วลที่อยภู่ ายในใจคนและสงั คมสมยั ใหม่ดว้ ย

ผมขอแสดงความคิดเห็นต่อสุนทรพจน์สาคญั โดยผรู้่วมการประชุมของเราคือดร.ชเลนซอกอย่างส้ันๆ ฮนั ส์ คุง ส่งเสริมแนวคิดเร่ืองจริยธรรมโลกท่ีมีพ้ืนฐานบนหลกั การกฎทองคา แต่ผมไม่มนั่ ใจมนั น่าจะมี แนวทางอ่ืนที่เป็นประโยชน์กวา่ไหมผมเรียนรู้วิธีการเลือกน้ีจากคุณครูของผมคือโยฮนั แบ๊บติสเมตส์เขา จาประโยคๆ หน่ึง มาจากการพบปะกนั ระหวา่ ง ยสั เซอร์ อะราฟัต และ ยิตซัค ราบิน เมื่อปี 1994 ตอนที่ท้งั สองทาขอ้ ตกลงสันติภาพท่ีโด่งดงั ท้งั สองสัญญาวา่ “ในอนาคต เราจะจดจาความทุกขท์ รมานของผอู้ ื่น ซ่ึง เ ป ็ น ฝ ่ า ย ต ร ง ข า้ ม ต ล อ ด ไ ป ” เ พ ื ่ อ จ ด จ า ค ว า ม ท ุ ก ข ท์ ร ม า น ข อ ง ผ ู อ้ ื ่ น ด งั น ้ นั ท ี ่ ม า ข อ ง จ ร ิ ย ธ ร ร ม โ ล ก ใ น ค ว า ม ค ิ ด ของเมตส์ จึงไม่ใช่กฎทองคา แต่คืออานาจของผูท้ ี่ไดร้ ับความทุกข์ทรมานต่างหาก เป้ าหมายแทจ้ ริงของ จริยธรรมท้งั หลายก็คือการป้ องกนั ไม่ใหผ้ อู้ ื่นตอ้ งทุกขท์ รมานอีก 
  เงื่อนไขท่ีตอ้ งมีก่อนสาหรับเจตคติแบบน้ี สามารถพบเห็นไดใ้ นหัวใจของศาสนาสาคญั ของโลก มนั คือความเห็นอกเห็นใจหรือความเมตตา ความเห็นอกเห็นใจคือคุณลกั ษณะขององค์อลั เลาะห์ ผทู้ รงมี ความเมตตามาก มากที่สุด เวลาที่ตอ้ งการความมนั่ ใจมกั จะเริ่มตน้ ด้วยการกล่าวนามองคอ์ ลั เลาะห์เสมอ ความเห็นอกเห็นใจคือหวั ใจสาคญั ของพระยาห์เวห์ในประเพณีของชาวยวิ และพระเจา้ ของพระเยซูคริสตก์ ็ เป็นพระเจา้ ท่ีมีความเห็นอกเห็นใจเช่นกนั และก็มาถึงตรีกายของพระพุทธเจา้ หน่ึงน้นั เพื่อการปกป้องสอง เพ่ือเป็นปัญญาและสามคือความเห็นอกเห็นใจองคด์ าไลลามะคือพระพุทธเจา้แห่งความเห็นอกเห็นใจที่ กลบั ชาติมาเกิดใหม่
  ดว้ ยเหตุที่มีพ้ืนฐานอยู่บนความเห็นอกเห็นใจ ศาสนาสาคญั ของโลกจึงสามารถร่วมมือกนั อย่าง จริงจงั เพอื่ สร้างจกั รวาลท่ียตุ ิธรรมและมีสันติภาพ ที่ผมเสนอเช่นน้ีเพราะผมคิดวา่ ศาสนามีความสามารถใน การเยยี วยาอยา่ งมาก และน่ีคือพนั ธกิจของทุกศาสนา 


สูตรสาเร็จของสันติภาพ 
 

รายงานโดยศาสตราจารย์ดร.พอลเอม็ ซูเลห์เนอร์ 
ประธานเทววทิ ยาอภิบาล กรุงเวยี นนา 
 
แนวทางประวตั ิศาสตร์ 


ขอ้ ตกลงสันติภาพจากออ็ กส์เบิร์ก เม่ือปี 1555 ไม่ใช่ขอ้ ตกลงฉบบั แรก เพราะเคยมีขอ้ ตกลงแบบน้ีเกิดข้ึนเมื่อ ปี 1485 ในกูเต็นเบิร์ก/โบฮีเมีย ระหว่างพวกอูตราควิสต์แนวฮุสไซต์ (มีหลักการว่า ฆราวาสมีสิทธิ เ ช ่ น เ ด ี ย ว ก บั ส ง ฆ ์ ใ น พ ิ ธ ี ร ั บ ศ ี ล ม ห า ส น ิ ท ท ี ่ จ ะ ร ั บ ท งั ข น ม ป ั ง แ ล ะ เ ห ล า้ โ ด ย ใ น ส ม ยั น นั ฆ ร า ว า ส จ ะ ร ั บ ไ ด เ ้ พ ี ย ง ขนมปังและนาเท่านัน ซ่ึงเบ้ืองหลังคือการกดดันให้สถาบนั สันตะปาปา และคณะกรรมาธิการศาสนา ยอมรับวา่ ทงั บรรพชิตและฆราวาสนนั เท่าเทียมกนั และพระคมั ภีร์เท่านนั ที่มีอานาจสูงสุดในศาสนกิจ โดย ภายหลงั การปฏิรูปศาสนากลุ่มฮุสไซตไ์ ดเ้ ขา้ รวมกบั พวกติดตามลูเทอร์) กบั ผูป้ กครองคริสตจกั รคาธอลิก จากน้ันในปี 1552 หรือสามปีก่อนเกิดข้อตกลงสันติภาพออกส์บูร์ก จักรพรรดิเฟอร์ดินานด์ที่ 1 แห่ง ฮปั สบูร์ก ไดท้ าขอ้ ตกลงสันติภาพกบั พวกโปรเตสแตนตใ์ นพาสเซา (พาทาเวยี ในบาวาเรีย) 
  สิ่งสาคญั ท่ีสุดของการเปลี่ยนแปลงในมิติของสังคมวิทยาการเมืองแห่งยุโรปก็คือ“ไรซ์ทัค” (Reichstag) หรือ ราชสภา(ไม่ใช่รัฐสภา)แห่งออกส์บูร์ก ในปี 1555 นี่คือจุดสาคญั ในส่วนของสถานการณ์ เราเริ่มตน้ ดว้ ยจกั รวรรดิโรมนั อนั ศกั ด์ิสิทธ์ิที่มีความเป็นเอกภาพนี่คือผลของความสัมพนั ธ์อนั ยาวนานกว่า หน่ึงพนั ปีระหว่างตริสต์ศาสนาและอานาจทางการเมืองของตะวนั ตก กล่าวคือระหว่างรัฐและพระ สนั ตะปาปาหลกั การสาคญั คือมีเพยี งศาสนาเดียวเท่าน้นั ที่สามารถใชเ้ป็นพ้ืนฐานแห่งความเป็นเอกภาพของ จกัรวรรดิ
   สถานการณ์ภายในศาสนจกั รเองก็มีแต่ความวนุ่ วาย ผคู้ นเรียกร้องใหม้ ีการปฏิรูปศาสนา ผนู้ าของศา สนจกั รทาการฉ้อฉล ช่องวา่ งระหวา่ งหลกั คาสอนกบั การประพฤติปฏิบตั ิ(ความเป็นจริง)ของศาสนจกั รนนั ลงลึกมาก ความเช่ือถูกใช้ในทางท่ีผิดเพ่ือการระดมเงินบริจาค ตวั อย่างเช่น พระคาร์ดินัลอลั เบรคท์ ซ่ึง พยายามหาเงินมาซ้ือเมืองเมนซ์จากเจา้ชายองคห์น่ึงดว้ยการขายพระคุณการุณย์(การอภยับาป) 
  มีความพยายามอยา่ งหนกั เพื่อใหม้ ีการปฏิรูปศาสนจกั รท้งั ท่ีแกนกลางคือรากและสาขาท้งั หลาย (อนั โฮพต์ อุนด์ กลีเดิร์น - an Haupt und Gliedern) ความพยายามที่โดดเด่นคร้ังหน่ึงคือการปฏิรูปโดยคณะสงฆ์ แห่งคลูนีในฝรั่งเศส จากน้นั ก็มีขบวนการผูย้ ากไร้แห่งคาธาร์ (ซ่ึงหมายถึง “ผทู้ าความสะอาดศาสนจกั ร) และฟรานซิสแห่งอสั ซีซ่ี ความพยายามเหล่าน้ีบา้ งก็สาเร็จ บา้ งก็ถูกปราบปราม อานาจทางศาสนาและ การเมืองร่วมมือกนั อย่างใกลช้ ิด โดยไดร้ ับการจุดประกายจากการมีผลประโยชน์ร่วมกนั คือความอย่รู อด ดว้ ยการสนับสนุนความเป็นเอกภาพทางศาสนาซ่ึงเท่ากบั สนบั สนุนความเป็นเอกภาพทางการเมืองของ จกั รวรรดิเช่นกนั 
  เครื่องมือของการดาเนินนโยบายแบบน้ีก็คือ การต่อตา้ นของจกั รวรรดิ (“ไรซ์ซคั ”) และการเผาท้งั เป็น ยอน ฮุส (ผนู้ าขบวนการปฏิรูปฮุสไซต)์ ถูกเผาท้งั เป็นในปี 1415 แมแ้ ต่กระดูกของวิคลิฟ (นกั ปรัชญา ชาวองั กฤษซ่ึงเป็ นแรงบนั ดาลใจของฮุส) ก็ยงั ถูกขดุ ข้ึนจากหลุมศพและเผาที่ ลินคอลน์ ในปี 1428 เมื่อมาร์ ติน ลูเธอร์ ลุกข้ึนมาประทว้ งเรื่องการขายพระคุณการุณยผ์ า่ นเจา้ ผคู้ รองนครและอาร์คบิชอปแห่งเมนซ์ มนั ก็ กลายเป็นปัญหาของจกั รวรรดิข้ึนมาทนั ที และในปี 1521 เขาก็ถูกสภาแห่งเมืองเวิร์มลงโทษ เขาจะตอ้ งเก็บ คืนหนงั สือ(หรือญตั ติ) 95 เล่มของเขาซ่ึงเผยแพร่ในเมืองวติ เทนเบอร์ก ในปี 1517 แต่เขาปฏิเสธ 
  การท่ีลูเธอร์รอดมาไดเ้พราะเจา้ ผคู้ รองรัฐแห่งจกั รวรรดิตอ้ งการเป็นอิสระจากองคจ์ กั รพรรดิมากข้ึน ด งั น ้ นั เ จ า้ ผ คู ้ ร อ ง ร ั ฐ โ ว ล เ์ ฟ น บ ทั เ ต ล แ ห ่ ง แ ค ว น้ แ ซ ก โ ซ เ น ี ย จ ึ ง ช ่ ว ย ล ู เ ธ อ ร ์ จ า ก ก า ร ถ ู ก ค ุ ม ข งั ด ว้ ย ก า ร พ า เ ข า ห น ี ไ ป ท่ีวอร์เบอร์ก (ในไอซ์นคั ) จาก “ปฏิบตั ิการลบั ” คร้ังน้ีเท่ากบั เขาไม่ได้ละเมิดต่อองคจ์ กั รพรรดิและพระ สนัตะปาปาเท่าน้นั แต่ยงัละเมิดต่อหลกัการ“หน่ึงอานาจการเมืองและหน่ึงศาสนา”ใน“จกัรวรรดิโรมนัอนั ศกั ด์ิสิทธ์ิ” ดว้ ย เจา้ ผูค้ รองรัฐคนอื่นๆ จึงตามอยา่ งเจา้ แห่งแซกโซนี เพื่อเป็นการต่อตา้ นจกั รพรรดิ ดว้ ยการ ก่อต้งั สันนิบาตชมลั คลั ดิก (Smalcaldic League) องค์จกั รพรรดิพยายามที่จะเปลี่ยนตวั เจา้ ผคู้ รองรัฐจาก นิกายลูเธอรันมาเป็นนิกายคาธอลิกจนกลายเป็นเหตุให้เกิดสงครามชมลั คลั ดิกระหวา่ งจกั รพรรดิผพู้ ยายาม ปกป้องเอกภาพทางศาสนาจากพวกที่ไม่เห็นดว้ ยทางการเมืองและพวก“ไรช์ฟือร์สเตน”(Reichsfürsten - เจา้ราชรัฐ)ผทู้รงอานาจบางองค์ 
  แต่เหตุการณ์ทางประวตั ิศาสตร์ในขณะน้นั ก็ซบั ซ้อนวุ่นวายมากๆ เพราะองค์จกั รพรรดิก็กาลงั ทา สงครามในอิตาลี ขณะเดียวกนั จกั รวรรดิก็ถูกโอบลอ้ มทางตะวนั ออกโดยพวกมุสลิม และในปี 1529 เวียนนา ก็ถูกโอบลอ้ มดว้ ยกองทพั ของสุลต่านมุสตาฟาสุไลยมานที่1ซ่ึงไม่เพยี งแต่เป็นอนั ตรายต่อจกั รวรรดิเท่าน้นั แต่ยงั เป็นภยั ต่อตริสต์ศาสนารวมท้งั พวกโปรเตสแตนต์ดว้ ยเพื่อขอการสนับสนุนจากผูค้ รองรัฐที่นบั ถือ นิกายโปรเตสแตนต์ องคจ์ กั รพรรดิจึงยอมทาสัญญาสันติภาพกบั พวกเขา และนี่คือเป้ าหมายของการประชุม “ไรซ์สแตนเดอ” (Reichsstände - รัฐจกั รวรรดิ) ในออกส์บูร์ก ในปี 1555 และไดจ้ ดั ทาสิ่งที่เรียกวา่ “ไรซ์อบั๊ ชีด”์(Reichsabschied-การลดอานาจของจกัรวรรดิ) 

  อีก 50 ปี ต่อมาหลังข้อตกลงสันติภาพออกส์บูร์ก ศาสตาจารย์ด้านกฎหมายท่านหน่ึงได้คิดคาสองคาที่ เกี่ยวกบั “อิยสู”(iusหรือกฎหมาย)ดว้ยคาวา่อิยูสรีฟอร์มานดิ(iusreformandi)และอิยูสอีมิกรานดิ(ius emigrandi)ซ่ึงเป็นที่รู้จกั กนั ดี 

  • อิยูส รีฟอร์มานดิ คือความพยายามท่ีจะดึงอานาจทางศาสนาและการเมืองเขา้ ไวด้ ว้ ยกนั หลกั การ ของเอกภาพยงั คงไม่เปล่ียนแปลง เพียงแต่ทาให้มีความเป็ นภูมิภาคนิยมมากข้ึน กล่าวคือ อิยูส รี ฟอร์มานดิ (การปฏิรูปกฎหมาย) อนุญาตให้ผูป้ กครองทางการเมือง (คือจกั รพรรดิ, เจ้าราชรัฐ ท้งั หลาย) มีสิทธิเลือกศาสนาของตนได้ 
  • เพื่อให้เกิดความเป็ นเอกภาพทางสังคมและการเมือง จึงตอ้ งมีการบญั ญตั ิ อิยูส อีมิกรานดิ ออกมา บงั คบั ใช้ (เป็นสิทธิภายใตก้ ฎหมายในการยา้ ยถิ่นฐาน) เมื่อพิจารณาคร้ังแรกมนั คือการอนุญาตให้ พลเมืองทุกคนดารงชีวติ ตามความเชื่อแห่งศาสนาของตน แต่การทาเช่นน้นั ก็หมายถึงการยา้ ยออก จากประเทศหน่ึง เขา/เธอสามารถนาทรัพยส์ ินติดตวั ไปด้วย แต่เขา/เธอจะตอ้ งออกไป ในหลาย ทศวรรษต่อมา อิยูส หรือกฎหมายว่าด้วยเสรีภาพทางศาสนาถูกเปลี่ยนเป็นเครื่องมือของการลา้ ง บาปโดยใชค้วามรุนแรง 

ขอ้ ตกลงสันติภาพจากออกส์บูร์ก คือการเริ่มตน้ ของสันติภาพนานเกือนห้าสิบปี ทว่ายงั คงมีปัญหาซ่ึงยงั ไม่ไดร้ ับการแกไ้ ขอีกหลายอยา่ ง สูตรสันติภาพน้ีห้ามเจา้ ราชรัฐท่ีนบั ถือคาธอลิกรวมท้งั ราษฏรของพระองค์ เปลี่ยนไปนบั ถือ “ความเชื่อใหม่” ไม่เช่นน้นั ก็ตอ้ งสละตาแหน่ง แต่ในทางปฏิบตั ิแลว้ ทาไดย้ าก เพราะยงั มี ชนกลุ่มนอ้ ยนบั ถือโปรเตสแตนตอ์ าศยั อยตู่ อนกลางของจกั รวรรดิคาธอลิกน้ีดว้ ย เจา้ แห่งราชวงศฮ์ ปั สบูร์ก พยายามท่ีจะปราบปรามพวกฮุสไซตใ์นโบฮีเมียซ่ึงไม่ไดต้่อสู้เพื่อความเช่ือเท่าน้นั แต่ยงัสู้เพ่ืออิสรภาพของ ตนดว้ ย และน่ีคือขบวนการแห่งชาติที่จะแบ่งแยกโบฮีเมียออกจากจกั รวรรดิฮปั สบูร์ก หลงั เหตุการณ์โยนบก ที่กรุงปราก (Defenstration of Prague) เป็นเหตุการณ์ที่ชาวโบฮีเมียจบั ผแู้ ทนพระองค์ (ของจกั รพรรดิเฟอร์ดิ นานด์ท่ีสอง พระองค์เป็นทงั จกั รพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมนั อนั ศกั ด์ิสิทธ์ิและกษตั ริย์แห่งโบฮีเมียด้วย พระองคท์รงเป็นคาธอลิกท่ีเคร่งครัดปราบปรามนิกายอื่นอยา่งหนกัสร้างความไม่พอใจแก่ชาวโบฮีเมียอยา่ง มาก)โยนออกนอกหนา้ต่างช้นั ท่ีหน่ึงสงครามนองเลือด30ปีจึงเริ่มข้ึนส่งผลให้ในบางภูมิภาคของยโุรปมี ประชากรเสียชีวติ ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ และสิ้นสุดลงดว้ ยการทาขอ้ ตกลงสันติภาพเวสตฟ์ าเลีย ปี 1648 

ผลพวงทสี่ าคัญ 
ผลพวงที่ตามของขอ้ตกลงสันติภาพมีอะไรบา้ง? 
 
1. ประการแรกเลย การแสวงหาสันติภาพถูกแยกออกจากการต่อสู้เพ่ือความจริงทางศาสนา ผมเรียกการ แบ่งแยกน้ีว่าเป็นการแสดงออกซ่ึง“การเปลี่ยนแปลงสู่การเป็นรัฐฆราวาสที่มีความเมตตา”เพราะมนั เป็น กา้ วสาคญั สู่การเป็ น นิติรัฐแบบฆราวาส (ไรซ์สตดั ต/์ Reichstadt = รัฐที่อยภู่ ายใตก้ ฎหมาย) ซ่ึงมีการแบ่งแยก ศีลธรรมออกจากกฎหมายโดยเด็ดขาด 
 
2. การเปล่ียนแปลงสู่การเป็นรัฐฆราวาสที่มีความเมตตา ถูกก่อต้งั ข้ึนในระดบั จกั รวรรดิเท่าน้ัน ไม่ใช่ใน ระดบั รัฐที่อย่ใู นจกั รวรรดิ อิยูส รีฟอร์มานดิ ต้งั อยูบนหลกั การที่ว่าการสร้างสันติภาพในระดบั ทอ้ งถิ่นจะ ประสบความสาเร็จมากข้ึนถา้ บนดินแดนน้นั ๆ (ในแควน้ หน่ึง)มีแค่ศาสนาเดียว คริตจกั รนิกายออร์โธดอกซ์ มีประเพณีโบราณ(หลกั การ)เก่ียวกบั “ดินแดนตามรูปแบบบญั ญตั ิ” ซ่ึงหลกั ๆ หมายความว่า ในเขตการ ปกครองหน่ึงจะมีบิชอปดูแลได้เพียงคนเดียว ดังน้ันในทางปฏิบตั ิจึงเท่ากับบอกว่า พลเมืองทุกคนใน ดินแดนดงั กล่าวข้ึนอยู่กบั คริสตจกั รนิกายออร์โธดอกซ์หรือพูดให้เห็นเป็นรูปธรรมก็คือข้ึนอยู่กบั เขต ปกครองของพระราชาคณะในดินแดนน้ันๆ หลงั เกิดขอ้ ตกลงสันติภาพออกส์บูร์กและเวสต์ฟาเลียแล้ว เคร่ืองมือเพ่ือการบรรลุสันติภาพดว้ ยการสารภาพบาปในทอ้ งถิ่น ก็คือ “การลา้ งบาปดว้ ยการสารภาพบาป” เครื่องมือที่มีการใชค้ วามรุนแรงน้ีถูกนามาใชอ้ ีกคร้ังในสงครามบอลข่าน (ปี 1991-1995) โดยในระหวา่ งการ พยายามพชิ ิตชยั ในแควน้ คราจิน่าอีกคร้ัง พวกโครเอเชียคาธอลิกไดข้ บั ไล่(หรือสังหาร)กลุ่มชาติพนั ธุ์ที่ไม่ใช่ คาธอลิกคือชาวเซิร์บนบัถือนิกายออร์โธดอกซ์และชาวมุสลิมบอสเนีย 
  หลายทศวรรษหลงั ขอ้ ตกลงสันติภาพออกส์บูร์ก/เวสต์ฟาเลีย ไดม้ ีการแบ่งแยกอานาจทางศาสนา และการเมืองออกจากกนั ทวั่ ท้งั ยโุ รป แต่ไม่ใช่ในระดบั ของราชรัฐที่ต่าลงมา พนั ธมิตรระหวา่ งรัฐและศาสน จกั รกลบั เหนียวแน่นยิ่งกว่าสมยั จกั รวรรดิ สถานการณ์ในจกั รวรรดิเป็ นแบบสมยั ใหม่ แต่ในระดบั ราชรัฐ เป็ นแบบยคุ ก่อนสมยั ใหม่ ซ่ึงมนั ก็ดาเนินมาอยา่ งประสบความสาเร็จนานหลายปี 
  จากมุมมองของศาสนจกั ร/ศาสนามนั หมายความว่า พ้ืนฐานทางสังคมของคริสต์ศาสนา/การ สารภาพบาปในยุโรปหดตวั ลงเรื่อยๆ จากจกั รวรรดิสู่ดินแดนแห่งชาติ สู่พรรคการเมืองของพวกคริสเตียน และสุดทา้ ยก็คือปัจเจกชน สิทธิเสรีภาพทางศาสนามีประวตั ิท่ียาวนาน มนั คือหนทางจากชะตากรรมสู่การ เลือก(ปีเตอร์แอลปีเตอร์)การชาระลา้ งดินแดนในเชิงอุดมการณ์ไม่ไดป้ ระกนั เรื่องสันติภาพเสมอไปแต่ก็ เป็นยา่ งกา้ วสู่สันติภาพที่จาเป็นเช่นกนั 

3. เมื่อพิจารณาในมุมมองทางศาสนา การแบ่งแยก สันติภาพทางการเมือง (Landfrieden - แลนด์ฟรีเดน) จาก ความจริงทางศาสนา เป็นการเปิดทางสู่การสารภาพบาปของตริสต์ศาสนาตะวนั ตก เหตุการณ์สาคญั บน เส้นทางดงั กล่าวคือ “การสารภาพแห่งเมืองออกส์บูร์ก” ปี 1530 (Confessio Augustana – คอนเฟสซิโอ ออกสุ ตานา) ซ่ึงเป็นเอกสารสาคญั แสดงหลกั ความเช่ือของนิกายลูเธอร์ และ “สภาแห่งเทรียนต”์ หรือนิกาย คาธอลิก และมีการสารภาพของโปรเตสแตนท์(แปลว่าผปู้ ระทว้ ง, ผูค้ ดั คา้ น) ตามมาอีกหลายคร้ัง และมี วฒั นธรรมของการสารภาพเกิดข้ึนภายในดินแดนใหม่(แควน้ )ของผสู้ ารภาพ หมายถึงวฒั นธรรมคาธอลิกใน จกัรวรรดิฮปัสบูร์กวฒันธรรมโปรเตสแตนตใ์นยุโรปเหนือ 
 
4. ขอ้ ตกลงสันติภาพแห่งออกส์บูร์ก ยอมรับ (หรือ โอบรับ รวมเอาไวใ้ นตวั เอง) ดินแดนที่มีผูส้ ารภาพ รวมอยดู่ ว้ ยกนั ที่เรียกวา่ ราชรัฐอิสระ (Freien Reichstädte – ไฟรเอน ไรซ์สตดั ต)์ เช่น ออกส์บูร์ก หรือเนิร์น แบร์กภายในดินแดนเดียวกนั น้ีคาธอลิกและโปรเตสแตนต์อยรู่่วมกนั อยา่งสันติโบสถบ์ างแห่งถูกใชเ้พื่อ การเทศนาฟังธรรมของท้งั สองนิกาย นี่คือการเริ่มตน้ ของ ขบวนการสร้างสัมพันธภาพระหว่างศาสนา ภายในตริสต์ศาสนา แต่ยงั ไม่ถึงกบั เป็น (เอกภาพ)ระหว่างศาสนาสาคญั ของโลก ชาวยิวยงั คงถูกข่มเหง แมแ้ ต่นิกายลูเธอร์ก็ตาม สงครามระหว่างตริสต์ศาสนาและอิสลามกินเวลานานหลายศตวรรษ และในปี 1683 เวยี นนาก็ถูกโอบลอ้ มโดยจกั รวรรดิออตโตมนั อีกคร้ัง 
 
5. หน่ึงในบทเรียนสาคญั ของช่วงเวลาน้ีได้แก่ การร้อยรัดศาสนากับการใช้ความรุนแรงเขา้ ดว้ ยกนั น้นั มี ขอ้ เสียต่อท้งั การเมืองและศาสนาหลายประการดว้ ยกนั โดยในส่วนของศาสนาน้นั เง่ือนไขดีที่สุดสาหรับการ พฒั นาคือเสรีภาพไม่ใช่การใชค้ วามรุนแรง แมแ้ ต่พวกอเทวนิยมก็เหมือนกนั เช่นในประเทศยุโรปตะวนั ออก การยดั เยียดความเช่ือแนวอเทวนิยมด้วยความรุนแรงตอ้ งล้มเหลว และพบเห็นสถานการณ์คล้ายกนั น้ีใน บางส่วนของจกั รวรรดิฮปั สบูร์ก ท่ีโบฮีเมีย ความแปรปรวนของศาสนานิกายคาธอลิกเกิดจากอานาจทาง การเมือง เร่ืองน้ีน่าจะเป็นเหตุผลที่ทาใหส้ าธารณรัฐเชค เป็นหน่ึงในประเทศท่ีมีวฒั นธรรมแบบอเทวนิยมใน ท่ามกลางทวปี ของชาวคริสเตียนด้งั เดิมใช่ไหม? การรวมตวั ของศาสนากบั การใชค้ วามรุนแรง และการรวม ศาสนจกั ร กับ อานาจทางการเมืองเข้าดว้ ยกัน กลับทาลายท้งั ศาสนาและนิกายต่างๆ ชื่อเสียงเร่ืองการ สารภาพของคริสเตียนภายหลงัสงครามสามสิบปีถูกทาลายลงและเป็นเหตุผลสาคญัของการเกิดลทัธิต่อตา้น อิทธิพลและการกระทาของพระในยโุ รป ดว้ ยเหตุน้ี นกั ปรัชญาในยุคแห่งแสงสว่างทางปัญญาจึงแบ่งแยก ศาสนาและศาสนจกัรออกจากกนั เพราะในแง่หน่ึงสาหรับพวกเขาแลว้ศาสนาคือสิ่งสากลและในอีกแง่ หน่ึง ศาสนาอิสระซ่ึงปราศจากศาสนจกั รหรือไม่ไดส้ ังกดั นิกายใดเริ่มแพร่หลาย ศาสนจกั รตกอยู่ในภาวะ วกิ ฤติ ดงั น้นั ท้งั ศาสนจกั รและศาสนาจึงต่างก็สูญเสียความไวว้ างใจและอานาจ ในขณะที่วอลแตร์โจมตีศา สนจกั รและปกป้องศาสนาแต่ฟอยเออร์บคั ,มาร์กซ์,เองเกลส์และฟรอยด์ต่างป่าวประกาศวา่ ศาสนาเป็น อนั ตรายต่อปัจเจกชนและต่อสังคมทงั มวล 
 
6. ไม่ใช่เร่ืองง่ายเลยที่จะอธิบายวา่ เหตุใดวฒั นธรรมอเทวนิยมอื่นๆ เช่น เยอรมนีตะวนั ออกหรือเอสโตเนีย จึงเคยเป็นวฒั นธรรมแบบโปรเตสแตนตม์ าก่อน เป็นไปไดไ้ หมวา่ ความเป็นโปรเตสแตนต์ท่ีเนน้ เร่ืองความ เป็นปัจเจกชนอย่างสูงมีแนวโน้มต่อการทาให้เป็นวฒั นธรรมแบบฆราวาสมากกว่าคาธอลิกอีกท้งัยงัมี ความสามารถในการสร้างเครือข่ายระหวา่ งผยู้ ดึ มนั่ ศรัทธาดว้ ย? 


การทาให้ทนัสมัย–การทาให้เป็นฆราวาส–เวอร์บันตุง(การทาให้เป็นพหุนิยม)

เราจะเขา้ ใจสถานการณ์ทางศาสนาในยโุ รปปัจจุบนั ดีข้ึน ถา้ เราพิจารณาววิ ฒั นาการทางประวตั ิศาสตร์หลงัขอ้ ตกลงสันติภาพ 
 
7. โดยปกติแลว้ การทาให้เป็ นฆราวาสถูกมองวา่ เป็ นผลลพั ธ์ของการทาให้ทนั สมยั ในลกั ษณะที่ศาสนจกั ร เริ่มมีอานาจลดลง และโลกทศั น์ทางศาสนาถูกแทนที่ดว้ ยโลกทศั น์ทางวิทยาศาสตร์ หลกั สาคญั ในบริบท ทางทฤษฎีดงั กล่าวคือ"ยงิ่ ทนั สมยั เท่าไรก็มีความเป็นฆราวาสมากข้ึนเท่าน้นั ”แต่ถา้ เราพิจารณาขอ้ มูลเชิง ประจกั ษท์ ี่เชื่อถือได้จะพบวา่ ยุโรปไม่ไดถ้ ูกทาให้มีความเป็นฆราวาสแต่อย่างใดแต่ถูกทาให้เป็นพหุนิยม มากกวา่ ทฤษฎีเร่ืองการทาให้เป็นฆราวาสผ่านการทาให้ทนั สมยั โดยตวั มนั เองแลว้ มีลกั ษณะเป็นแนวคิด แบบยุคหลงั สมยั ใหม่ และใช้ไดผ้ ล(อธิบายไดจ้ ริง)ในบริบทของการร้อยรัดศาสนา/อุดมการณ์กบั การใช้ ความรุนแรงเขา้ ดว้ ยกนั หลงั ยคุ สมยั ใหม่เท่าน้นั 
 
8. ถ้าหากว่ามีรัฐสมยั ใหม่ท่ีมีระดบั ของเสรีภาพสูง มีการแบ่งแยกหลกั ศีลธรรมและกฎหมายออกจากกนั เช่นน้นั แลว้ ผลลพั ธ์ของการทาใหท้ นั สมยั จึงไม่ใช่การทาใหเ้ป็นฆราวาสแต่เป็นพหุนิยม 
 

ขันติธรรมและความเข้าใจ 
 

รายงานนาเสนอโดยฯพณฯยาสุโอะฟูกดุ ะ 
อดีตนายกรัฐมนตรีญปี่ ่ นุ 
 
การประชุมพิเศษคร้ังน้ีถูกจดั ข้ึนเพอื่ ทาใหค้ วามปรารถนาอนั ยาวนานของ นายกรัฐมนตรีเฮลมุท ชมิดท์ เป็น ความจริงข้ึนมา เขาเป็นหน่ึงในเพื่อนที่มีค่ายิ่งของคุณพ่อผูล้ ่วงลับของผม เยอรมนีและญี่ปุ่นต่างก็มี ประสบการณ์ร่วมกนั ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กล่าวคือเราท้งั คู่เป็นชาติผแู้ พส้ งครามในสงครามโลกคร้ังที่ สองและสามารถผงาดข้ึนจากเถา้ ถ่านของสงครามไดอ้ ยา่ งน่ามหศั จรรย์นี่อาจเป็นสายใยท่ีผกู พนั คุณพ่อของ ผมกบั ท่านนายกรัฐมนตรีก็เป็นได้ 
  แ ต ่ ผ ม ก ็ เ ห ม ื อ น ก บั ห ล า ย ท ่ า น ใ น ท ่ ี น ้ ี ค ื อ ผ ม ไ ด เ ้ ร ี ย น ร ู ้ จ า ก น า ย ก ร ั ฐ ม น ต ร ี ช ม ิ ด ท อ์ ย า่ ง ม า ก แ ล ะ เ ร า ต อ้ ง ยอมรับวา่ การร้องขอให้จดั การประชุมแบบน้ีอีกคร้ัง คือสิ่งท่ียนื ยนั ถึงภูมิปัญญาท่ีมีวิสัยทศั น์ของเขา เราทุก คนต่างกร็ ู้วา่ การประชุมน้ีช่างเหมาะเจาะกบั ช่วงเวลาจริงๆ 
 
บทเรียนสาคญั อยา่ งหน่ึงท่ีผมเรียนรู้จากนายกรัฐมนตรีชมิดท์ คือข่าวสารตามแนวคิดของคานตด์ งั ต่อไปน้ี: การรักษาสนั ติภาพไม่มีทางเกิดข้ึนไดด้ ว้ ยสัญชาตญาณของมนุษยโ์ ดยธรรมชาติ แต่สันติภาพเป็นสิ่งที่ไม่ได้ ทาแค่คร้ังเดียวเสร็จ แต่ตอ้ งทาดว้ ยความต้งั ใจและความจริงใจของมนุษยต์ ลอดกาล
  ออตโตบิสมาร์คนกั การเมืองชาวเยอรมนั ในศตวรรษท่ี19กล่าววา่ “คนโง่เรียนรู้จากประสบการณ์ ส่วนคนฉลาดเรียนรู้จากประวตั ิศาสตร์”ผมเช่ือวา่ การร้ือฟ้ืนความพยายามในการพิจารณาใคร่ครวญสิ่งท่ีเรา สามารถเรียนรู้จากประวตั ิศาสตร์ คือสิ่งสาคญั สาหรับเราซ่ึงอาศยั อยใู่ นศตวรรษท่ี 21 

มีคนท่ีเคยมีประสบการณ์กบั สงครามโลกคร้ังที่สองและยุคสมยั น้นั อย่างแทจ้ ริงเช่นผม เหลืออยู่น้อยลง เร่ือยๆ มนุษยชาติส่วนใหญ่เกิดข้ึนหลงั สงคราม เมื่อนึกถึงเหตุการณ์สาคญั ที่เกิดข้ึนในยุคหลงั สงครามโลก คร้ังท่ีสอง จะพบว่ามีอยู่สองเหตุการณ์ ที่น่าจะกระตุกเราให้ฉุกคิดถึงจริยธรรมสากล ซ่ึงเป็นแก่นสารของ การประชุมน้ี นนั่ คือการสิ้นสุดของสงครามเยน็ ในปี 1989 และอีกเหตุการณ์คือเหตุการณ์ 9/11 
  ปี1989ฟรานซิสฟูกุยามะนกัประวตัิศาสตร์ชาวอเมริกนั ไดเ้ขียนหนงัสือซ่ึงมีช่ือเสียงโด่งดงัคือ “การสิ้นสุดของประวตั ิศาสตร์” (The End of History) โดยเขาเสนอว่าการสิ้นสุดของสงครามเยน็ คือ จุดสินสุดของอุดมการณ์ของมนุษย์และลทั ธิเสรีนิยมและประชาธิปไตยจะกลายเป็นรูปแบบสูงสุดของ การเมืองที่เป็ นสากล 
  ปี 1993 ศาสตราจารยแ์ ซมูเอล ฮนั ติงตนั ไดโ้ ตแ้ ยง้ สมมติฐานดงั กล่าวในหนงั สือของเขาคือ “การ ปะทะกนั ของอารยธรรม” หรือ (Clash of Civilizations) โดยเขาเสนอว่าแมร้ ัฐชาติยงั คงเป็นตวั แสดงที่ เข้มแข็งที่สุดในการเมืองระหว่างประเทศ แต่ความขดั แยง้ สาคญั ในระดับโลก มีแนวโน้มว่าจะเกิดข้ึน ระหวา่ งอารยธรรมและกลุ่มต่างๆ กล่าวคือการปะทะกนั ของอารยธรรมจะครอบงาการเมืองระดบั โลก และ แนวรอยเลื่อนระหวา่ งอารยธรรมจะกลายเป็นแนวหนา้ ของสงครามในอนาคต 
  การอภิปรายดังกล่าวทาให้ประธานาธิบดีคาตานิแห่งอิหร่านนาเสนอให้มีการจดั “การเสวนา ระหวา่งอารยธรรม”ต่อสมชัชาใหญ่สหประชาชาติเพ่ือป้องกนั “การปะทะกนัของอารยธรรม”ซ่ึงสมชัชา ใหญ่ก็ไดล้ งมติใหป้ ี 2001เป็น“ปีแห่งการเสวนา” 
  ช่างน่าขนั ท่ีปีซ่ึงเป็นปีแห่งการเสวนา เป็นปีที่เกิดเหตุการณ์ 9/11 นาทีที่เครื่องบินซ่ึงถูกยึดโดย ผกู้่อการร้ายปักหวัเขา้ใส่อาคารเวลิดเ์ทรดเซ็นเตอร์ในนิวยอร์ก“ปีแห่งการเสวนาระหวา่งอารยธรรม”ก็หลุด ลอยไปทนั ที แต่พวกคุณส่วนใหญ่ก็คงเห็นดว้ ยกบั ผมวา่ การเสวนาระหวา่ งอารยธรรมไดร้ ับความสาคญั มาก ข้ึนในปัจจุบนั 
  ในศตวรรษใหม่น้ีมีความขดั แยง้ และความตึงเครียดระหวา่ งประเทศแพร่หลายไปทวั่ ส่วนสันติภาพ และเสถียรภาพของโลกยงั คงไม่มีความแน่นอน ความก้าวหน้าของโลกาภิวตั น์ทางเศรษฐกิจ ทาให้ดู เหมือนวา่ มีความเจริญรุ่งเรืองมากข้ึน แต่มีผทู้ ่ีไดร้ ับประโยชน์จากมนั เพียงหยบิ มือเท่าน้นั ในขณะท่ีช่องวา่ ง ความไม่ทดั เทียม ความยากจน และความทุกขใ์ จในโลกมีแต่จะขยายตวั 
  เห็นไดช้ ดั วา่ ประชาคมระหว่างประเทศไม่ไดถ้ ูกอยใู่ ตร้ ่มธงแห่งเสรีนิยมประชาธิปไตย ดงั ที่ฟราน ซิส ฟูกุยามะ ไดพ้ ยากรณ์ไวแ้ ต่ “รอยเล่ือนของอารยธรรม” ดงั ที่แซมูเอล ฮนั ติงตนั เสนอไวก้ ็ไม่ชัดเจน เช่นกนั เพราะรัฐชาติยงั คงแสดงบทบาทสาคญั ในการผนึกคนไวด้ ว้ ยกนั แต่กลุ่มต่างๆ เช่น เอ็นจีโอ (องคก์ ร ที่ไม่ใช่รัฐบาล) ซ่ึงมีวฒั นธรรม ชาติพนั ธุ์ ศาสนา ชุมชนทอ้ งถิ่นหรืออุดมการณ์ และจุดประสงค์กลบั มี พลวตั และบทบาทมากกวา่ เช่นเดียวกบั บทบาทในระหวา่ งประเทศ นอกจากน้นั การเชื่อมต่อระหวา่ งบุคคล แบบขา้ มเขตแดนของชาติยงั ขยายตวั อย่างรวดเร็ว ด้วยความก้าวหน้าแบบก้าวกระโดดของเทคโนโลยี สารสนเทศ สรุปก็คือ โลกเริ่มมีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงไปไกลกวา่ ท่ีฟรานซิส ฟูกุยามะ หรือ แซมู เอลฮนัติงตนั พยากรณ์ไว้ 

แต่น่าเสียดายนบั แต่“ปีแห่งการเสวนาระหว่างอารยธรรม”ในปี 2001เป็นตน้ มาการอภิปรายในประเด็น ดงั กล่าวในระดบั นานาชาติไม่ไดม้ ีการลงลึกมากนกั โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะหลงั ผนู้ าโลกหลายคนดู เหมือนจะทุ่มเทสติปัญญาและพลงั งานของตนต่อประเด็นดงั กล่าวว่า จะจดั การกบั ความขดั แยง้ ที่ยงั มีอยู่ อยา่ งไร หรือจะเอาชนะวกิ ฤติเศรษฐกิจเร่งด่วนอยา่ งไร หรือจะขยายอิทธิพลระหวา่ งประเทศอยา่ งไร ยงิ่ ไป กวา่ น้นั การที่สาธารณชนมีขอ้ มลู ลน้ เกิน เนื่องจากความกา้ วหนา้ อยา่ งรวดเร็วของเทคโนโลยีสารสนเทศ ทา ให้ผูน้ ารู้สึกกังวลว่าตนจะรักษาการสนับสนุนจากสาธารณชนด้วยการทาให้พวกเขาพอใจได้อย่างไร ท่ามกลางสถานการณ์ดงั กล่าว ผูน้ าทางการเมืองและผูน้ าทางปัญญากลบั ไม่สามารถให้น้าหนกั ต่อความ ตอ้ งการจริยธรรมและการเสวนาระหวา่ งอารยธรรมไดอ้ ยา่ งเพยี งพอ 
  มีผนู้ าและนกั คิดทางศาสนาสาคญั ของโลก เขา้ ร่วมในการประชุมคร้ังน้ีหลายคน ประชาคมระหวา่ ง ประเทศอยู่ในภาวะวุ่นวาย ส่วนระบบค่านิยมโลกเริ่มมีความหลากหลาย มีการเปล่ียนแปลงและมีการ กระจายตวั ภายใตส้ ถานการณ์เช่นน้ี ศาสนามีอะไรจะนาเสนอบา้ ง? นี่คือประเด็นหลกั ของการประชุมน้ี 
  มหนั ตภยั ของเหตุการณ์ 9/11 ทาใหค้ าถามเกี่ยวกบั ศาสนาและการเมืองระหวา่ งประเทศไดร้ ับความ สนใจมากข้ึน การโจมตีหลายคร้ังของกลุ่มอลั กออิดะห์ห์ ทาใหเ้ กิดการวิพากษว์ ิจารณ์แบบไม่เลือกหนา้ ต่อ ศาสนาอิสลามเกิดข้ึนทวั่ โลก ท่ามกลางสถานการณ์ยากลาบากดงั กล่าว บางคนกล่าวหาวา่ โลกของพวกเอก เทวนิยมหรือผูท้ ่ีนบั ถือพระเจา้ องคเ์ ดียว ซ่ึงไม่ใช่แค่อิสลามเท่าน้นั แต่ยงั รวมถึงตริสต์ศาสนาและศาสนายู ดาย หรือระบบค่านิยมแบบเอกเทวนิยมซ่ึงแพร่หลายไปทวั่ โลกคือสาเหตุห่างไกล(จากผล)ของ “การปะทะ กนั ของอารยธรรม” หรือ “การแบ่งแยกของอารยธรรม” สิ่งท่ีผมอยากถามในที่น้ีคือ ขอ้ โตแ้ ยง้ เหล่าน้นั มนั มี ความจริงไหม หรือ ไม่ตรงประเด็นเลย? หรือถามอีกแบบก็ได้ว่า สังคมแบบพหุเทวนิยมของเอเชีย และ ระบบค่านิยมแบบพหุนิยมของพวกเขา ตลอดจนมาตรฐานทางจริยธรรมของสังคมดงั กล่าว พอจะบ่งบอก อะไรบางอยา่ งแก่โลกแบบเอกเทวนิยมไดบ้ า้ งไหม? 
 
   คาตอบของผมต่อคาถามขอ้ น้ีคือ “ได”้ และ “ไม่ได”้ อยา่ งละคร่ึง 
 
ผมขอโฟกสั ไปที่แนวคิดแบบพหุเทวนิยมส้ันๆ ดว้ ยเหตุที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศแบบพหุเทวนิยม ชาวญี่ปุ่นหลาย คนเช่ือในพระพุทธศาสนาแต่ลทั ธิชินโตซ่ึงมีกาเนิดในประเทศและแนวโน้มแบบวิญญาณนิยมของลทั ธิ ดงั กล่าวฝังรากลึกอยใู่ นตวั คนๆเดียว พวกเขาถือวา่ วิญญาณและชีวติ ดารงอยไู่ ม่เพียงแต่ในสิ่งมีชีวิตทุกอยา่ ง เท่าน้นั แต่ยงั มีอยใู่ นสิ่งไม่มีชีวิต แมแ้ ต่กอ้ นหินและแม่น้าก็ยงั มี ความเชื่อที่แตกต่างเหล่าน้ีซ่ึงไดแ้ ก่ ศาสนา พทุ ธลทั ธิชินโตและวิญญาณนิยมต่างผสมกลมกลืนอยใู่นวญิ ญาณของคนญี่ปุ่นหลายคนไปศาลเจา้ชินโต วนั ท่ี 1 มกราคม ร่วมฉลองเทศกาลคริสตม์ าส แต่งงานในโบสถค์ ริสต์ และจดั งานศพในวดั ชาวพุทธ พวกเขา ทาสิงเหล่าน้ีโดยไม่มีความรู้สึกขดั แยง้ กนั แต่อยา่ งใด 
  แต่ใช่ว่าชาวญ่ีปุ่นจะไม่มีความรู้สึกทางศาสนาอย่างลึกซ้ึง พวกเราหลายคนรู้สึกว่ามีภาวะเหนือ ธรรมชาติท่ีอยเู่หนือหรือเกินกวา่สติปัญญาและประสบการณ์ของมนุษย์ไม่วา่ใครจะเรียกภาวะน้ีวา่ พระเจา้, พระพุทธเจา้ หรือสวรรค์ก็ตามเราคิดว่ามีหนทางแห่งความเชื่อในภาวะดงั กล่าวท่ีเปิดกวา้ งไดห้ ลายทาง ดว้ ยกนั 
  สาหรับพวกเอกเทวนิยมสิ่งที่คลุมเครือเช่นน้ีไม่ใช่สิ่งท่ีเขา้ใจไดห้ รือยอมรับได้แต่สังคมที่มีเจตคติ ทางศาสนาเช่นน้ีก็มีคุณสมบตัิที่ดีเช่นกนั กล่าวคือเราสามารถยอมรับระบบค่านิยมและความเชื่อที่แตกต่าง ของผอู้ ื่นโดยไม่มีการต่อตา้ นมากนกั รวมท้งั ยงั มีมาตรฐานทางจริยธรรมร่วมกนั กบั ผอู้ ่ืนดว้ ย 
  ค า ส า ค ญั ใ น ท ่ ี น ้ ี ก ็ ค ื อ “ ส า น ึ ก แ ห ่ ง ข นั ต ิ ธ ร ร ม ” ต ่ อ ผ อู ้ ื ่ น ข นั ต ิ ธ ร ร ม อ า จ เ ป ็ น ก า ร เ ข า้ ถ ึ ง ส ิ ่ ง ท ่ ี เ ร า ก า ล งั พยายามให้นิยามในท่ีประชุมน้ี ทวา่ ขนั ติธรรมท่ีแทจ้ ริงจะเติบโตข้ึนไดก้ ็ต่อเม่ือมีความเขา้ ใจคนที่มีภูมิหลงั และความเชื่อแตกต่างจากเราแลว้ เท่าน้นั 
 
“การใชห้ลกัจริยธรรมสากลประกอบการตดัสินใจ”ทาใหเ้ราตอ้งพจิารณาวา่จะใชจ้ริยธรรมร่วมกนัมากที่สุด ในระดบั โลกไดอ้ ยา่ งดีท่ีสุดอยา่ งไร ผมขอเสนอคาแนะนาของผมเองไวส้ ักหน่อย 
   ประการแรกเลย มนั คือ “ความเห็นอกเห็นใจ” คุณพ่อผูล้ ่วงลบั ของผมไดป้ ระกาศสิงท่ีเรียกกนั ว่า “หลกัการของฟกูดุะ”เม่ือปี1977ในระหวา่งไปเยอืนเอเชียตะวนัออกเฉียงใต้สาระสาคญัของหลกัการน้ีคือ การสร้างความสัมพนั ธ์ที่มีความไวว้ างใจซ่ึงกนั และกนั แบบ “ใจถึงใจ” ช่วงกลางทศวรรษ 70 เกิดความรู้สึก เป็นปฏิปักษ์ไม่เป็นมิตรและการก่อจลาจลต่อตา้ นญ่ีปุ่นในประเทศในเอเชียตะวนั ออกเฉียงใตอ้ ยู่บ่อยครัง เพราะการเจาะเขา้ สู่เศรษฐกิจในภูมิภาคดงั กล่าวแบบเชิงรุกของญี่ปุ่น กรอบความคิด “ใจถึงใจ” เป็นอะไรที่ เขา้ ใจง่ายสาหรับทุกคน และจบั ใจชาวเอเชียตะวนั ออกเฉียงใตแ้ ทบจะในทนั ที “ใจถึงใจ” หมายถึงความเห็น อกเห็นใจ หรือความปรารถนาท่ีจะสนองประโยชน์แก่ผอู้ ื่นอยา่ งแทจ้ ริง 
  ประการที่สองคือ การมี “ความอ่อนไหวทางวฒั นธรรม” ต่อผูอ้ ่ืน เราคือผลผลิตแห่งวฒั นธรรม เฉพาะของเรา เวลาที่เราติดต่อกบั ผทู้ ่ีมาจากภูมิหลงั ท่ีต่างกนั เราจะมองดูเขาผา่ นสายตาที่เคลือบดว้ ยภูมิหลงั ทางวฒั นธรรมและค่านิยมของเรา เราตอ้ งตระหนกั เสมอวา่ เวลาท่ีเรารู้สึกรังเกียจหรือวจิ ารณ์ผทู้ ี่แตกต่างจาก เรา สิงซ่ึงสะทอ้ นบุคคลท่ีเรารู้สึกรังเกียจก็คือตวั ตนที่น่าเกลียดอยใู่ นกระจกนนัการพยายามทาความเขา้ ใจ ดว้ ยความรู้สึกอ่อนไหวต่อผูท้ ี่แตกต่างจากเราจึงเป็นคุณสมบตั ิสาคญั ในสิงท่ีเรากาลงั จะบรรลุกนั ในท่ีน้ี นนัเอง 
  ประการที่สามคือ“การสร้างความเช่ือมนั่ ”กบั หุน้ ส่วนผนู้ าทางการเมืองในท่ีน้ีทุกคนต่างทราบดีวา่ ในการเจรจาระหว่างประเทศน้นั ตนตอ้ งยอมเส่ียง ส่วนจะเส่ียงถึงระดบั ไหนข้ึนอยู่กบั ว่าเขาจะสร้างความ เช่ือมนั่ กบั คู่เจรจาไดแ้ ค่ไหน หลกั การพ้ืนฐานในการอภิปรายของเราที่นี่ ก็คือการสร้างความเชื่อมนั่ ในหมู่ พวกเราเช่นกนั ผมมนั่ ใจว่าท่ีประชุมสามารถส่งข่าวสารสาคญั ในเร่ืองน้ีสู่ประชาคมระหว่างประเทศแห่ง ศตวรรษที่ 21 ได้ 
 
ญี่ปุ่นเป็นชาติผแู้ พส้ งครามในสงครามโลกคร้ังที่สองเราไดร้ ับอนุญาตใหเ้ขา้ สู่ประชาคมระหวา่ งประเทศใน ปี 1951 ตอนน้นั คนญี่ปุ่นยงั ไดร้ ับความทุกข์ยากจากความเสียหายของสงคราม แต่สายตาของประชาคม น า น า ช า ต ิ เ ต ม็ ไ ป ด ว้ ย ค ว า ม เ ก ร ้ ี ย ว ก ร า ด แ ล ะ เ ย น็ ช า ต ่ อ อ ด ี ต ผ รู ้ ุ ก ร า น แ ล ะ ช า ต ิ ท ี ่ พ า่ ย แ พ ้ พ ว ก เ ข า ร ู ้ ส ึ ก ว า่ ญ ่ ี ป ่ ุ น ค ว ร ถูกลงโทษอย่างหนกั จนไม่มีวนั กลบั มาแข็งแกร่งไดอ้ ีก แต่รัฐมนตรีกระทรวงการคลงั ของศรีลงั กาสมยั น้นั และกลายเป็นประธานาธิบดีในเวลาต่อมา ไม่เห็นดว้ ยกบั ท่าทีเกร้ียวกราดเช่นน้นั เปล่ียนแปลงเจตคติของ พวกเขาดว้ ยการยกคาสอนของพระพทุ ธเจา้ ที่วา่ 

“ความเกลียดชงั ไม่สามารถเยยี วยาไดด้ ว้ ยความเกลียดชงั การไม่เกลียดตอบสามารถฟ้ืนฟูสันติภาพในใจเรา ได้นี่คือความจริงอนัเป็นนิรันดร” 
  

ขันติธรรม:ความดีงามทถ่ี กู ตีค่าต่ากว่าความเป็นจริง 
ในยคุ สมยั แห่งการแบ่งแยกนิกายของเรา 

 
ศาสตราจารย์ โทมัส เอส แอกซ์เวริ ์ทธี 
เลขาธิการใหญ่สภาปฏิสัมพนัธ์ 
 
เรามีชีวิตอยใู่ นยคุ สมยั แบบฆราวาส การอุทิศตนเพ่ือหลกั การของศาสนา นิกาย หรือกลุ่ม คือปรากฏการณ์ แห่งยคุ สมยั ของเราและดว้ ยเหตุน้ี จึงเป็นภยั คุกคามต่อสันติภาพและระเบียบท้งั ภายในและระหวา่ งรัฐต่างๆ ลองอ่านพาดหวั ข่าวแลว้ จะเขา้ ใจ: ท่ีประเทศเมียนมาร์ มอ็ บพระสงฆจ์ ุดไฟไล่ชาวมุสลิม คร่าชีวิตไปกวา่ 40 คนและขบั ไล่ชาวมุสลิมจากบา้ นเรือนและธุรกิจเกือบ 13,000 คน
  กลุ่มโบโกฮาราม(หรือ“ห้ามการศึกษาแบบตะวนั ตก”)ซ่ึงเป็นอิสลามนิกายหน่ึงในไนจีเรียตอน เหนือ ลอบวางระเบิดในโบสถ์คริสเตียนเกือบทุกสัปดาห์ ส่งผลให้เฉพาะปี 2012 มีผเู้ สียชีวิตถึง 900 คน ที่ ลิเบีย กางเขนอนุสรณ์สร้างความข่นุ เคืองแก่ฝงู ชนซ่ึงเป็นพวกสุดโต่งอยา่ งมากจนถึงขนาดกระทาการดูหมิ่น สุสานทหารเครือจกัรภพเลยทีเดียว
  ท่ีอิรักนักวิเคราะห์ช่ือดงั คานนั มากิยาซ่ึงเห็นชอบกับการรุกรานของสหรัฐฯเพื่อการโค่นล้ม อานาจซดั ดมั ฮุสเซน ประกาศว่า “ขบวนการอาหรับสปริง บดั น้ีกลายเป็นอาหรับวินเทอร์แลว้ ” ฮุสเซนใช้ นิกายนิยมและลทั ธิชาตินิยมเป็นเครื่องมือต่อตา้ นศตั รูภายในของเขาในยามท่ีเขากาลงั อ่อนแอ แต่พรรค การเมืองซ่ึงเป็นพวกชีอะตข์ องอิรักกลบั ทาสิ่งเลวร้ายยงิ่ กวา่ นนั่ คือสร้างความชอบธรรมแก่การปกครองของ ตนบนหลกั การนิกายนิยม และมนั ไม่ใช่เร่ืองระหว่างมุสลิมกบั คริสเตียน หรือชีอะต์กบั ซุนนี เพราะการ แตกแยกภายในขบวนการของมุสลิมก็มีขนาดใหญ่และเด่นชดั เช่นกนั ตวั อยา่ งที่อียปิ ต์ หลงั จากการล่มสลาย ข อ ง ร ะ บ อ บ ก า ร ป ก ค ร อ ง ข อ ง ม ู บ า ร ั ค ข บ ว น ก า ร ซ า ล า ฟ ี ไ ด แ้ ต ่ ง ต ้ งั ม ุ ส ล ิ ม น ิ ก า ย ซ ุ น น ี เ ข า้ อ ย ใ่ ู น ส ภ า ส ู ง ส ุ ด ข อ ง กองกาลงั ติดอาวุธในฐานะผูล้ ะทิ้งศาสนา สมาชิกพรรคซาลาฟี อลั -นูร์ ได้ลาออกจากรัฐบาลภราดรภาพ มุสลิมของประธานาธิบดีโมฮาเหม็ด มูร์ซี และให้การสนับสนุนการขบั ไล่เขาออกจากอานาจเมื่อเดือน ก ร ก ฎ า ค ม ป ี 2 0 1 3 ท ่ ี อ ี ย ปิ ต ก์ ็ ม ี ก า ร แ ต ก แ ย ก ค ร ้ ั ง ใ ห ญ ่ ร ะ ห ว า่ ง ช า ว อ ี ย ปิ ต ท์ ี ่ ม ี โ ล ก ท ศั น ์ แ บ บ ฆ ร า ว า ส ม า ก ก ว า่ ก บั พวกมุสลิมเคร่งศาสนา แมแ้ ต่ในขบวนการของพวกมุสลิมดว้ ยกนั ยงั แทบหาฉนั ทามติไดน้ อ้ ยมาก
  ริงๆแลว้ แง่มุมปัญหาอนั เน่ืองจากการเป็นนิกายนิยมท้งั หลายท่ีเกิดข้ึนในปัจจุบนั เคยมีมาก่อนแลว้ ในประวตั ิศาสตร์ของอียิปต์ ที่สเปนยคุ ก่อนยุคแห่งแสงสวา่ งทางปัญญา ฝูงชนผบู้ า้ คลงั่ ทาร้ายคนต่างความ เ ช ่ ื อ บ ่ อ ย ค ร ้ ั ง ( ใ น ป ี 1 3 9 1 ม ี ก า ร ส ั ง ห า ร ห ม ่ ู ท ี ่ ช วั ่ ร ้ า ย ม า ก ป ร ะ ม า ณ ก นั ว ่ า ม ี ช า ว ย ิ ว ถ ู ก ส ั ง ห า ร เ ก ื อ บ ห น ่ ึ ง ใ น ส า ม ของท้งั หมด)เช่นที่เกิดข้ึนในไนจีเรียและเมียนมาร์ในปัจจุบนั เช่นเดียวกบั ซีเรีย ผปู้ กครองในสมยั ศตวรรษท่ี 15และ16ชอบเล่นไพใ่ บเดด็ คือนิกายนิยมตวั อยา่ งเช่นกษตั ริยเ์ฟอร์ดินานดแ์ ละราชินีอิซาเบลลาทาการลา้ ง เผา่ พนั ธุ์คนจานวนมาก ดว้ ยการบงั คบั ให้มีการเปล่ียนศาสนาและการขบั ไล่ชาวยิว 70,000 ถึง 100,000 คน ในปี 1492 และพวกมอริสกอส (มุสลิมเช้ือสายสเปน)ถึง 300,000 คนในปี 1609

  แมจ้ ะมีการดูหมิ่นสุสานเกิดข้ึนในลิเบียยุคปัจจุบนั แต่จริงๆแลว้ มีการทาลายล้างโดยไร้เหตุผล สมควรยิ่งกว่าน้นั ในระหว่างการปฏิรูปศาสนา ตวั อย่างเช่น ซีโมน สกามา ต้งั คาถามว่า “เกิดอะไรข้ึนกบั นิกายคาธอลิกอังกฤษ? ในซีรีส์ทีวีชุดประวตั ิศาสตร์อังกฤษ ของเขา ระหว่างท่ีเขาบรรยายว่าพวก โปรเตสแตนตค์ ลงั่ ศาสนาทาลายหนา้ ต่างกระจกสี ราวก้นั ระหว่างที่บูชากบั ส่วนท่ีเหลือของโบสถ์ รูปป้ัน และแมแ้ ต่โต๊ะพิธีศีลมหาสนิทอยา่ งไรบา้ ง รัฐสภาของพวกพิวริตนั (โปรเตสแตนตน์ ิกายหน่ึง)ไปไกลกว่า น้นั ถึงขนาดระบุวา่ การเฉลิมฉลองเทศกาลคริสตม์ าสเป็นสิ่งผดิ กฎหมาย เม่ือปี 1647 

  แลว้ การใชค้ วามรุนแรงระหวา่ งชีอะตแ์ ละซุนนีล่ะ? เหตุการณ์สังหารหมู่วนั นกั บุญบาร์โทโลมิว ปี 1572 มีพวกอุกโน (Huguenot ออกเสียงแบบฝรังเศส องั กฤษออกเสียงวา่ ฮูเกอะนอต หมายถึงพวกที่นบั ถือ นิกายโปรเตสแตนต์ในฝรังเศสสมยั ก่อน) ถูกสังหาร ทาร้ายจนพิการ และถูกทาให้ตอ้ งอบั อายโดยฝูงชน คาธอลิกผบู้ า้ คลงั่ ร่วม5,000คนเบนจามินแคปแลนบรรยายวา่ “เป็นช่วงเวลาที่ฉาวโฉ่ที่สุดในยุคสมยั ใหม่ ตอนตน้ ”แลว้ เรื่องราวระหวา่ งพวกซาลาฟีซุนนีกบั มุสลิมซุนนีล่ะ?สงครามศาสนาในองั กฤษทาให้ผนู้ บั ถือนิกายแห่งองั กฤษกบั ผทู้ ่ีไม่เห็นดว้ ยกบั นิกายพิวริตนั ลุกข้ึนมาต่อสู้กนั ท่ีจริงนิกายโปรเตสแตนตก์ ็มีทิฐิ มานะต่อพวกโปรเตสแตนตน์ ิกายอ่ืนๆ เช่นเดียวกบั ที่มีต่อพวกคาธอลิกโรมนั นนั่ แหละ
  ปี 1648 รัฐสภาองั กฤษซ่ึงส่วนใหญ่เป็นพวกเพรสไบทีเรียน ได้ประกาศใช้ “กฤษฎีกาเพื่อการ ลงโทษผทู้ ่ีมีความเห็นนอกรีตดูหมิ่นศาสนา” และแมเ้ วลาจะผา่ นไปเนิ่นนานถึงปี 1662 ก็ยงั มีพวกเควกเกอร์ (สมาชิกสมาคมเคร่งศาสนาชื่อ Society of Friends ในองั กฤษ)ถูกจองจาถึง 4,000 คน นกั ประวตั ิศาสตร์ชื่อ ซี.ว.ี เวจดว์ ดู้ เขียนถึงเร่ืองราวในช่วงตอนน้ีและแสดงความเห็นอยา่ งเผด็ ร้อนเก่ียวกบั การฟ้องร้องดาเนินคดี พวกเควกเกอร์ว่า “ขอ้ บญั ญตั ิทางศาสนาว่าดว้ ยการไม่ใชค้ วามรุนแรงมกั ทาให้มีการใช้ความรุนแรงอย่าง หนกัเสมอ” 

แมย้ โุ รปสมยั ศตวรรษที่ 16 และ 17 จะแสดงใหเ้ ห็นการเลือกปฏิบตั ิทางศาสนา การไร้ขนั ติธรรม และการใช้ ความรุนแรง ในระดบั ที่เกินกว่าเหตุการณ์ในปัจจุบนั อย่างมาก แต่ก็ยงั มีคนที่แสดงความกลา้ หาญ ความ เขา้ ใจ ความรัก และความคิดเร่ืองขนั ติธรรมก็ค่อยๆ เติบโตข้ึนอยา่ งชา้ มากๆ ยุคสมยั ของนิกายนิยมในยุโรป ถูกแทนท่ีดว้ ยยคุ แห่งแสงสวา่ งทางปัญญา และเสาหลกั หน่ึงของยคุ แห่งแสงสวา่ งทางปัญญาซ่ึงคร้ังหน่ึงเคย ถูกเหยยี ดหยามก็คือความดีงามของขนั ติธรรมนนัเอง เจอร์เกน ฮาเบอร์มาส กล่าววา่ การยอมรับแนวคิดเรื่อง ขนัติธรรมทางศาสนากลายเป็น“ผสู้ร้างสันติภาพเพื่อความถูกตอ้งทางวฒันธรรม”ในความหมายทวัไป 
  แอนดรูเมอร์ฟีใหน้ิยามขนัติธรรมวา่เป็นเจตคติ(ท่าที)หรือ“ความเตม็ใจท่ีจะยอมรับความถูกตอ้ง ซ่ึงเป็ นไปไดข้ องความคิดเห็นในทางตรงกนั ขา้ ม” มนั คือความดีงามที่ต้งั อย่บู นการยอมรับ ดงั ท่ีวอลแตร์ เขียนไวใ้ น พจนานุกรมปรัชญา (Philosophical Dictionary) ของเขาวา่ “ความไม่ลงรอยคือความเจ็บป่ วยที่ สาคญั ของมนุษยชาติและขนั ติธรรมคือวิธีเยียวยาเดียวท่ีมีอยู่”ส่วนเจย์นิวแมนบอกว่า“ขนั ติธรรมจะ แสดงออกมาให้เห็นเมื่อคนๆน้นั เป็นผทู้ ี่มีขนั ติธรรม ความอดทนอดกล้นั จะแสดงใหเ้ ห็นเมื่อคนๆน้นั ไดใ้ ช้ ความอดทนอดกล้ันแล้ว” ความอดทนอดกล้นั คือแนวปฏิบตั ิ มันแสดงถึง “การหักห้ามใจจากการใช้ มาตรการลงทณั ฑผ์ ทู้ ่ีไม่เห็นดว้ ยกบั บรรทดั ฐานซ่ึงที่ยอมรับแพร่หลาย” 
  ความอดทนอดกล้นั คือแนวปฏิบตั ิหรือขอ้ ตกลงที่ช่วยใหอ้ ยรู่ ่วมกนั อยา่ งสันติได้เป็นกรอบความคิด ท่ีแตกต่างจากเจตคติหรือการจูงใจของผทู้ ่ีมีส่วนในขอ้ ตกลง ความแตกต่างน้ีสาคญั กล่าวคือ ขนั ติธรรมคือ เจตคติของบุคคลท่ีฝังรากอยู่ในความอ่อนน้อมถ่อมตน (ว่าเราทุกคนย่อมทาผิดกนั ได)้ ซ่ึงตรงกนั ขา้ มกบั ความคลงั่ ดงั ที่จอห์นมอร์เลย์บรรยายไวว้ า่ เป็นอคติ(ความลาเอียง)ท่ีน่าราคาญใจไม่มีการยอมใหแ้ ละการ ประนีประนอมใดๆ ดงั น้นั จึงเป็นอุปสรรคต่อขนั ติธรรมของบุคคลมากมาย เช่น อวิชชา ความเช่ือถือทาง ไสยศาสตร์ความเขา้ใจผดิ ความเกียจคร้านและความรู้สึกวา่ตนเหนือกวา่
  ขนั ติธรรมอาจถูกกล่าวถึงในเร่ืองตลก การใชค้ าหยาบคาย การล่วงละเมิดทางวาจา การเลือกปฏิบตั ิ และการใชค้ วามรุนแรง ตวั อยา่ งเช่นท่ีสกอตแลนด์ ไดม้ ีการจดั ต้งั กลุ่มที่ปรึกษานิกายนิยม เพื่อแกไ้ ขปัญหา ความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างคาธอลิกกบั โปรเตสแตนตซ์ ่ึงปรากฏให้เห็นในเหตุการณ์ต่างๆเช่นการแข่งขนั ฟุตบอล 
  ถา้ ขนั ติธรรมคือเจตคติหรือความดีงามของบุคคล ข้ึนอยกู่ บั การศึกษา การชกั จูงส่วนบุคคล และการ เรียนรู้ซ่ึงกันและกนั ความอดทนอดกล้นั ก็เป็นแนวปฏิบตั ิ ท่ีเป็นการต้งั ใจเลือกว่าจะไม่แทรกแซงการ ประพฤติปฏิบตั ิของผอู้ ่ืน เมื่อยโุ รปกา้ วจากยคุ ของสงครามศาสนาสู่ยคุ แห่งแสงสวา่ งทางปัญญา แนวปฏิบตั ิ และการประนีประนอมหลายอย่าง อนุญาตให้ปฏิเสธศาสนจกั รซ่ึงมีการจดั ต้งั ตามกฎหมาย หรือศรัทธา ความเชื่อที่แพร่หลายอยู่ในสังคมได้ แต่ระบอบการปกครองท่ีมีความอดทนอดกล้นั ซ่ึงค่อยๆววิ ฒั นาการ อยา่ งชา้ ๆ ก็ไม่หมายความวา่ จะมีความกา้ วหนา้ ในส่วนของขนั ติธรรมมากนกั 
  วดจว์ ดู้ เขียนไวว้ า่ แมผ้ นู้ าของยโุ รปในศตวรรษท่ี 17 จะถูกบีบใหต้ อ้ งยอมรับความเป็นจริงวา่ ตริสต์ ศาสนามีนิกายท่ีแตกต่างออกไปเป้าหมายของทุกคนยงัคงเป็นโบสถส์ ากล(แน่นอนเป็นโบสถ์ของพวกเขา เ อ ง ) แ ล ะ ค ว า ม อ ด ท น อ ด ก ล ้ นั ย งั ค ง “ ถ ื อ ว ่ า เ ป ็ น เ ร ื ่ อ ง ท ี ่ น ่ า ท อ้ ใ จ แ ม แ้ ต ่ พ ว ก ส า ย ก ล า ง เ อ ง ก ็ ต า ม ” ด ว้ ย เ ห ต ุ น ้ ี ระบอบการปกครองที่มีความอดทนอดกล้นั จึงเป็นการประนีประนอมที่ทาได้จริงเพื่อบรรลุซ่ึงการอยู่ ร่วมกนั โดยสันติ ที่อาจจะหรืออาจจะไม่เกี่ยวขอ้ งกบั ความกา้ วหนา้ ของขนั ติธรรมมากนกั และในการต่อสู้ นิกายนิยมน้ัน เราจาเป็นต้องมีท้ังแผนการเปลี่ยนแปลงเจตคติส่วนบุคคลและแผนการทาให้การ ประนีประนอมของสถาบนั เกิดผลสาเร็จ


การอภิปราย 

ประธาน โอบาซานโจ: ความหมายของถอ้ ยคาท่ีเปล่ียนไป และถอ้ ยคาท่ีน่าเคารพยกยอ่ งในปัจจุบนั อาจไม่ใช่ สิ่งท่ีน่าเคารพยกย่องอีกต่อไปในวนั รุ่งข้ึน และถอ้ ยคาซ่ึงไม่น่าเคารพยกย่องในวนั น้ี ก็อาจกลายเป็นท่ีน่า เคารพยกยอ่ งในวนั พรุ่งน้ีก็เป็นได้และเราแต่ละคนต่างก็เป็นผทู้ ี่ไดร้ ับเกียรติและเกียรติน้ีมาพร้อมกบั ภาระ ไม่วา่ สถานการณ์หรือศาสนาของเราจะเป็นอยา่ งไรก็ตาม มีประเด็นบางอยา่ งที่ เจเรมี โรเซน ไดช้ ้ีให้เราเห็น และเขาปิดทา้ ยด้วยข้อสังเกตว่าหลกั มนุษยธรรมร่วมกัน กาหนดให้เราต้องเป็นผูท้ ี่มีขนั ติธรรม เอาละ ประเดน็ ท่ีวา่ น้ีคืออิทธิพลหรือปัจจยั ท่ีจะช่วยใหห้ ลกั มนุษยธรรมร่วมกนั น้ีมีผลใหเ้ราเป็นผทู้ ี่มีขนั ติธรรมน้นั คืออะไร? เราพดู ถึงปัจจยั ทางการเมืองและเศรษฐกิจ และเราตอ้ งแกไ้ ขปัจจยั ที่มีอิทธิพลต่อหลกั มนุษยธรรม ร่วมกนั ของเราจริงๆ 
  ท่ีประเทศของผม เราพดู ถึงโบโกฮาราม ราวกบั วา่ มุสลิมและคริสเตียนกาลงั ทาสงครามใส่กนั จริงๆ แต่นนั่ มนั ไม่จริงเลยเมื่อหลายปีก่อนผมไปท่ีศูนยข์ องพวกโบโกฮารามทางภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือของ ประเทศผม เพราะผมอยากจะรู้ว่ามีองค์กรท่ีเรียกวา่ โบโกฮารามจริงไหม ถา้ มี พวกเขาเป็นใคร? พวกเขามี ผนู้ าไหม? และถา้ มีผนู้ า ใครเป็นผนู้ า? เขาพร้อมที่จะคุยไหม? วตั ถุประสงคข์ องเขาคืออะไร? ความคบั ขอ้ ง ใจของเขามีอะไรบา้ ง? มีปัจจยั ภายนอกใดๆเกี่ยวขอ้ งไหม? ถา้ มี มีมากแค่ไหน? สิ่งท่ีผมพบก็คือโดยพ้ืนฐาน แลว้ พวกเขาไม่ไดเ้ ป็ นคนเลวเลย ปัจจยั สาคญั คือความยากจนและการวา่ งงาน และปัญหาอื่นๆอีกมากมายที่ เกิดตามมาเช่นการคา้ยาเสพติดการคา้ปืนการแกแ้คน้ การยดึมนั่ในหลกัการพ้ืนฐานอยา่งเคร่งครัดเพราะมี ปัญหาทางสังคมเช่นน้ี พอผมถามถึงวตั ถุประสงค์ พวกเขาจึงตอบวา่ “ชะรีอะห์” (คือ ประมวลขอ้ กฎหมาย ที่มาจากคาสอนศาสนาและหลกันิติศาสตร์(jurisprudence) พ้ืนฐานของศาสนาอิสลามโครงสร้างทาง กฎหมายจะครอบคลุมวิถีการดาเนินชีวิตของบุคคลและสาธารณชน ตลอด จนครอบคลุมดา้ นต่าง ๆ ของ ชีวิตประจาวนั ทงัระบบการปกครองระบบเศรษฐกิจระบบการดาเนินธุรกิจระบบการธนาคารระบบ ธุรกรรมหรือทาสัญญา ความสัมพนั ธ์ในครอบครัว หลกั การอนามยั ปัญหาของสังคม และอื่นๆ) พวกเขา เข้าใจหลักมนุษยธรรมร่วมกัน แต่ยงั มีปัจจัยอื่นๆ อีกหลายประการที่มีผลต่อความเข้าใจเรื่องหลัก มนุษยธรรมร่วมกนั เพื่อการเป็นผมู้ ีขนั ติธรรม


ศรี ศรี ระวี แชงการ์: ผมขอเสริมสิ่งที่ซูเลห์เนอร์พดู สักหน่อย นนั่ คือความวติ กกงั วลและความทุกขใ์ จในตวั บุคคลผูก้ ่อความขดั แยง้ คนท่ีมีความสุขจะไม่สร้างความขดั แยง้ กบั ใคร เวลาที่คนเรามีความทุกข์ใจและ ท อ้ แ ท ใ้ จ ค ว า ม ต ึ ง เ ค ร ี ย ด ศ า ส น า ก ็ จ ะ ก ล า ย เ ป ็ น ข อ้ อ า้ ง ข อ ง ค ว า ม ข ดั แ ย ง้ ข อ ง ก า ร เ ร ิ ่ ม ต น้ ก า ร ต ่ อ ส ู ้ ผ ม ค ิ ด ว ่ า พฤติกรรมที่ยอมรับไม่ไดก้ ็คือ ปัจจยั เร่ืองความตึงเครียด ความวิตกกงั วล การไม่ไดถ้ ูกนบั รวมอยู่ในกลุ่ม การขาดปฏิสัมพนั ธ์หรือขาดความเขา้ ใจผอู้ ่ืน น่ีคือสาเหตุหลกั ของความขดั แยง้ หลายอยา่ งในกลุ่มและสังคม ท้งั หลาย เป็นสิ่งท่ีพบเห็นในชีวิตประจาวนั ในสังคม ท่ีไหนท่ีคนมีความสุข พวกเขาก็จะอยู่กันอย่างมี ความสุขโดยท่ีศาสนาชนช้นั ชุมชนหรือเผา่ พนั ธุ์ไม่ไดเ้ป็นอุปสรรคเลย

ดร.มัคติ: ผมคิดว่าในโลกท่ีซับซ้อนและเป็นพลวตัเช่นน้ีขนัติธรรมยงัไม่พอหรอกเราต้องการอะไร มากกว่าน้นั เพราะบางคร้ังขนั ติธรรมก็เป็นเรื่องของการคานึงถึงปัญหาแทจ้ ริงบางอย่าง แต่บางคร้ังขนั ติ ธรรมก็หมายถึงการเพิกเฉยต่อบางเรื่อง เพราะฉะน้ันสิ่งที่เราตอ้ งการตอนน้ีก็คือความเป็นพหุนิยมอย่าง แทจ้ ริง ในความเขา้ ใจของผม พหุนิยมอาจประกอบดว้ ยอย่างแรกเลยคือ โลกทศั น์ที่มีต่อผูอ้ ื่น และรวมถึง การแสดงออกซ่ึงความเช่ือทางศาสนาในบริบทสาธารณะและในระดบั หน่ึงเราน่าจะมองดูคนท่ีไม่มีขนั ติ ธรรมจากพฤติกรรมท่ีสังเกตได้ มากกวา่ มองพฤติกรรมที่สังเกตไดน้ ้ีจากโลกท่ีอยภู่ ายในใจ ซ่ึงเกี่ยวขอ้ งกบั โลกทศั น์ของคนๆหน่ึงที่เราอาจเรียกวา่ “ความเช่ือของคน” และประการท่ีสองแน่นอนวา่ เวลาที่พูดถึงพหุ นิยมการเสวนาเป็นสิ่งสาคญั แต่ถา้ เรามองวา่ การเสวนาเป็นแค่ข้นั ตอนหรือยา่ งกา้ วหน่ึงเพื่อใหเ้ราเกิดขนั ติ ธรรมและความเป็นพหุนิยมเพราะการเสวนาเป็นเร่ืองของการรับฟังร่วมกนั ความเขา้ใจร่วมกนั และการ เคารพซ่ึงกนั และกนั แต่สิ่งท่ีสาคญั เช่นกนั คือการยอมรับวา่ ผอู้ ่ืนแตกต่างจากเรา รวมถึงการประนีประนอม กบั ผอู้ ่ืน และความร่วมมือ การเป็นหุน้ ส่วนกบั ผอู้ ่ืนในระดบั หน่ึง 
  ถึงจะมีความแตกต่างทางศาสนา แต่ก็ยงั มีความเหมือน มีสิ่งท่ีมีอยู่ร่วมกนั อยดู่ ว้ ย เจา้ สิ่งน้ีแหละท่ี ตอ้ งเอามาใชป้ ระโยชน์ เราจะไดส้ ามารถพฒั นาสังคมที่มีสันติและความอดทนมากข้ึน แต่ขนั ติธรรมก็ไม่ใช่ เรื่องง่ายเสมอไปเช่นเดียวกบั พหุนิยมไม่ง่ายเช่นกนั เพราะมนั มีค่านิยมซ่ึงอาจเป็นอุปสรรคหรือคอยเหนี่ยว รังไว้ 

  ในส่วนน้ี ผมขอยกตวั อยา่ งอีกอยา่ งหน่ึง วา่ ความแตกต่างระหวา่ งศาสนาอิสลามกบั ศาสนาอื่นๆ ไม่ เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด ปีท่ีแลว้ ผมเดินทางไปร่วม ศาสนเสวนา ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่นนั่ มี ตวั อยา่ งท่ีดีของการทางานร่วมกนั เพ่ือการต่อสู้เพ่ือความเชื่อทางศาสนาของตนคือ คมั ภีร์กุรอานและคมั ภีร์ ไบเบิลระหวา่ งมุสลิมกบั ยวิ ให้เห็น แมจ้ ะมีความแตกต่าง แต่ก็มีความเคารพและความเขา้ ใจต่อสิ่งที่เรามีอยู่ ร่วมกนั และความเขา้ ใจต่อความรับผิดชอบร่วมกนั ของเรา ยงั คงมีความเป็นไปไดท้ ี่ศรัทธาท่ีแตกต่างจะ สามารถร่วมมือกบั อีกฝ่ายหน่ึงอย่เูสมอเพราะเรามีความเคารพต่อผูอ้ ่ืนดว้ ยศกั ด์ิศรีและความจริงใจอย่าง เตม็ที่ 

ศาสตราจารย์ชาง:เราสามารถเชื่อมโยงคุณความดีของขนั ติธรรมและการขาดขนั ติธรรมกบั สิ่งที่ไดพ้ ดู ถึงใน วาระก่อนหนา้ เกี่ยวกบั บทบาทท่ีสาคญั ของผูน้ าชุมชนของเราสามารถแสดง ผมกาลงั นึกถึงตวั อย่างสอง ตวั อย่างซ่ึงผมรู้จกั เป็ นอย่างดี ตวั อย่างแรกคือสิ่งที่ส่วนใหญ่น่าจะรู้จกั กันอยู่แล้ว นั่นคือในช่วงปฏิวตั ิ อุตสาหกรรม ชาวจีนซ่ึงใหค้ วามสาคญั ต่อความสมั พนั ธ์ที่กลมเกลียวกบั เพ่อื นบา้ น กบั เพื่อนร่วมงานไม่วา่ จะ มีความเช่ือทางศาสนาเช่นไร มีความแตกต่างทางชาติพนั ธุ์และภาษาอย่างไร แต่ผคู้ นกลบั หนั หลงั ให้กนั มี การทาผดิ หนา้ ท่ีท่ีไดร้ ับมอบหมาย มีความเกลียดชงั กนั อย่างรุนแรงจนยากจะเขา้ ใจได้ โดยมีคนหลายร้อย คนเขา้ ไปมีส่วนเกี่ยวขอ้ ง แต่ท้งั น้ีไม่ไดจ้ ะบอกวา่ มีผนู้ าในชุมชนเล็กๆ ท่ีโจมตีบา้ นน้ี เพราะฉะน้นั ผมจึงเชื่อ ว า่ เ ร า ต อ้ ง ใ ค ร ่ ค ร ว ญ ก นั ใ ห ้ ล ึ ก ซ ้ ึ ง ว า่ ธ ร ร ม ช า ต ิ ข อ ง ม น ุ ษ ย เ ์ ป ็ น อ ย า่ ง ไ ร ค ว า ม ส ั ม พ นั ธ ์ ร ะ ห ว า่ ง เ ส ี ย ง เ ร ี ย ก ร ้ อ ง เ ช ิ ง ทฤษฎีหรือผนู้ าโดยทวั่ ไป และพฤติกรรมของประชาชนในระดบั รากหญา้ เป็นอยา่ งไร 
  เร่ืองที่สองคือ คีร์กิซสถาน ผมเคยไปมาแลว้ สองคร้ัง คือก่อนและหลงั การเลือกต้งั ผมไปเยอื นเมือง ออสชี ท่ีซ่ึงชาวคีร์กิซและอุสเบคอยู่ร่วมกนั พวกเขามีความเชื่อทางศาสนาซ่ึงแมแ้ ต่พวกเขากนั เองก็ยงั แยก ไม่ออก บางคนถือนิกายซุฟฟี บางคนถือนิกายอื่น ซ่ึงไม่เก่ียวอะไรกบั ความแตกต่างทางชาติพนั ธุ์เลย แต่ ในช่วงเลือกต้งั มีการก่อเหตุร้ายดว้ ยการเผาบา้ นเรือน สังหารประชาชนเกิดข้ึน เรื่องน้ีไม่เกี่ยวกบั ความ แตกต่างทางชาติพนั ธุ์ เพราะปกติชาวคีร์กิซก็แยกแยะตวั เองกบั ชาวอุสเบคได้ยากเช่นกนั แมจ้ ะใช้ภาษา ต่างกนั เพราะฉะน้นั สิ่งท่ีเกิดข้ึนท้งั หมดจึงดูเหมือนเกี่ยวขอ้ งกบั ศาสนา ชาติพนั ธุ์ การปลูกฝังความเชื่อท่ีอยู่ ลึกลงไปโดยผนู้ า ดว้ ยเหตุที่เร่ืองทงั หมดน้ีมนั เกิดข้ึนอยา่ งฉบั พลนั ในระดบั หน่ึง ดงั นนั ผมจึงสงสัยวา่ เป็น เพราะผนู้ าลม้ เหลวหรือวา่ เกิดจากความแตกต่างทางศาสนากนั แน่ 

ดร.ฮาบาช: ผมเชื่อว่าขนั ติธรรมคือค่านิยมท่ีสูงส่งมากแต่ผมก็อยากจะกล่าวถึงประสบการณ์ของเราใน ประเทศของเราสกั หน่อย ซ่ึงแสดงใหเ้ ห็นวา่ ขนั ติธรรมอยา่ งเดียวยงั ไม่พอ ประเทศของผมคือซีเรีย แมแ้ ต่นกั ปรัชญายุโรปผูม้ ีชื่อเสียงยงั กล่าวว่าทุกประเทศล้วนมีสองประเทศอยู่ในนัน นันคือประเทศของเขา กับ ประเทศซีเรีย เพราะคุณพบเห็นมันได้ในประวตั ิศาสตร์ศาสดาของซีเรีย ประวตั ิศาสตร์ศาสนาหรือ ประวตั ิศาสตร์วฒั นธรรม เราอยู่ในสถานการณ์ท่ีดีมากๆ ทุกคนรู้ว่าในซีเรียมีทงั มุสลิม คริสเตียน และยิว และในสังคมมุสลิม ก็ยงั มีกลุ่มท่ีหลากหลายอย่รู ่วมกนั โดยไม่มีปัญหา เราอยู่ในสถานการณ์ที่มีความกลม เกลียวและความครอบคลุมผสมผสาน เราไดพ้ บปะกบั ผนู้ ามุสลิม ผนู้ าคริสเตียน และแมแ้ ต่ผนู้ าชาวยิวทุก วนั 
  แ ต ่ น นั ่ ม นั ย งั ไ ม ่ พ อ เ พ ร า ะ ถ า้ ป ร า ศ จ า ก ป ร ะ ช า ธ ิ ป ไ ต ย แ ล ะ เ ส ร ี ภ า พ ป ร า ศ จ า ก ศ กั ด ์ ิ ศ ร ี ป ร า ศ จ า ก ค ว า ม ไวว้างใจระหวา่งกนั ขาดความเขา้ใจระหวา่งนิกายเราก็คงไปไม่ถึงเป้าหมายเชิงบวกใดๆแน่นอนผมจึงคิด วา่ มนั ไม่ใช่ความรับผิดชอบของผนู้ าทางศาสนาเท่าน้นั แต่เป็นความรับผดิ ชอบของผนู้ าทางการเมืองเขามี ความรับผิดชอบเดียวกับผูน้ าศาสนา ในการเรียกร้องหาขันติธรรมและความกลมเกลียวแบบน้ี ดังที่ ประธานาธิบดีโอบาซานโจกล่าวไวว้ า่ ปัญหาตอนน้ีคือมีปัญหาอยภู่ ายในหมู่มุสลิมมากมาย ผมเชื่อวา่ ปัญหา แบบน้ีเป็นความรับผิดชอบของผูน้ าการเมืองและผูน้ าศาสนา ถ้าไม่มีประชาธิปไตย ไม่มีศกั ด์ิศรี ไม่มี เสรีภาพเมื่อใด เม่ือน้นั เราก็จะไดเ้ ห็นการปฏิวตั ิอยา่ งเช่นที่เกิดข้ึนในซีเรีย 

ประธานโอบาซานโจ: อารีฟ ซามฮารี พดู ถึงสิ่งที่ไดต้ ้งั ขอ้ สังเกตไว้ นนั่ คือศาสนากาลงั ลม้ เหลว ผมไดย้ ินคน พูดว่าเรามีศาสนามากข้ึนแต่คนกลบั มีจิตวิญญาณน้อยลงและศาสนาที่ปราศจากจิตวิญญาณไม่สามารถ บรรลุซ่ึงขนั ติธรรมอยา่ งที่เราพูดถึง ผนู้ า ไม่วา่ จะเป็นผนู้ าการเมืองหรือผนู้ าศาสนา ทาตวั เป็นแบบอยา่ งที่ดี ไดม้ ากแค่ไหน?เขาทาตวั เป็นคุณครูหรือนกั เทศน์?แต่กลบั ไม่มีแบบอย่างอะไรมาแสดงใหเ้ห็นจริงในทาง ป ฏ ิ บ ตั ิ ห ร ื อ เ ป ็ น ต วั อ ย า่ ง เ ล ย
  เรากล่าวไวใ้ นวาระน้ีวา่ ขนั ติธรรมอยา่ งเดียวยงั ไม่พอไม่วา่ จะเป็นขนั ติธรรมเพ่ือการยอมรับและ การยอมรับเพ่ือให้เกิดการตอบแทนตามมา มนั ก็ยงั ไม่พอ ตอนน้ีสถานการณ์มนั เปล่ียนไปแล้ว เกิดการ เปล่ียนแปลงในซีเรียอยา่ งรวดเร็ว และไม่ใช่แค่ในซีเรียเท่าน้นั ดงั น้นั ไม่วา่ สิ่งที่เรามีอยจู่ ะเป็นอะไรก็ตาม เรา จะทาเหมือนมนั ไม่สาคญั ไม่ได้ผมสรุปได้หรือยงั ว่าไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไรไม่ว่าจะมีความกลม เกลียวขนั ติธรรมและท้งั หลายท้งั ปวงหรือไม่แต่มนั ตอ้ งเป็นการส่งข่าวสารเช่นความรักเพราะถา้ คุณไม่ส่ง ข่าวสารเช่นความรักออกไปคุณจะทาเหมือนมนั ไม่มีความสาคญั ไม่ไดเ้ลยมนั อาจอยทู่ ี่นนั่ ในวนั น้ีแต่ไม่ได้ อยทู่ ่ีนนั่ ในวนั พรุ่งน้ี 
  และผมก็อยากจะขออา้ งถึงประเทศท่ีเราไดจ้ ากการนาเสนอท้งั สามคร้ัง และมนุษยธรรมก็เป็น ประเด็นหน่ึงในน้นั 

ศาสตราจารย์ชาง: เราเริ่มตน้ ดว้ ยการพดู ถึงวา่ ตอ้ งมีความชดั เจนในภาษาที่เราใชก้ บั กรอบความคิดดงั กล่าว ดว้ ย ในทศั นะของผม หลกั การของขนั ติธรรมก็คือ การหกั ห้ามใจท่ีจะยดั เยยี ดความคิดความเช่ือใส่ผอู้ ื่น เรา ตอ้ งไม่มีการบีบบงั คบั นนั่ คือสิ่งที่เราหวงั วา่ จะทาไดข้ ้นั ต่าสุดแลว้ ล่ะ และนนั่ คือเกมสาคญั ในยุโรปดงั ท่ีเรา ไดม้ ีการนาเสนอไปบา้ งแลว้ เม่ืออยา่ งนอ้ ยก็มีคนเริ่มพดู วา่ “เราจะใชช้ ีวิต และใชช้ ีวิตอยา่ งที่ทุกคนตอ้ งการ” พวกเขาอาจไม่ไดต้ อ้ งการสถานการณ์เหมือนของคนอื่น ศาสนาอื่น และทศั นะแบบอื่น แต่พวกเขาก็เต็มใจที่ จะถูกผกู มดั ดว้ ยสิ่งน้นั และไม่ใช่กาลงั บงั คบั เพื่อให้บรรลุเป้ าหมายของตวั เอง ถึงตอนน้ีในยุคสมยั ของเรา สิ่งน้นั ก็ยงั มีความสาคญั อยู่ 
  เคยมีใครบางคนบอกวา่ ขนั ติธรรมก็คือผสู้ ร้างสันติภาพเพื่อสิทธิและวิวฒั นาการอยา่ งอื่นในสังคม มนุษย์ ดงั น้ันการลงมือทางานเพ่ือพยายามให้เกิดความมนั่ ใจได้ว่า อย่างน้อยเราก็มีขนั ติธรรมจึงเป็ น วตั ถุประสงคท์ ่ีทาไดจ้ ริง เวลาที่เราดึงผูน้ าศาสนา ผูน้ าการศึกษาและผนู้ าการเมืองมาอย่ดู ว้ ยกนั ดร. ซูเลห์ เนอร์ไดแ้ สดงความเห็นสาคญั วา่ เราอาจพูดถึงขนั ติธรรมในทางทฤษฎีอย่างไรก็ได้ แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ ยึดมนั่ ต่อค่านิยมดงั กล่าวแมแ้ ต่น้อย มีการปฏิเสธขันติธรรมในหมู่คนจานวนมาก เพราะฉะน้ัน ถ้าเรา กระโดดมาท่ีเร่ืองสิทธิมนุษยชนทนั ที แต่ไม่ไดใ้ ห้เวลาในการศึกษาเกี่ยวกบั ความดีงามของขนั ติธรรมเลย ก็ มีแต่จะลม้ เหลว และกาลงั สร้างความลาบากแก่ตวั เองแลว้ 
  ดงั น้นั ผมจึงคิดถึงแนวคิดที่เป็นไปได้เกี่ยวกบั สิ่งที่เราตอ้ งทาเพ่ือเป็นการเริ่มตน้ (1)สั่งสอนเร่ือง คุณค่าของขนั ติธรรมในเจตคติของบุคคล,(2)พิจารณาเรื่องการประนีประนอมที่เป็นไปไดจ้ ริงในทางปฏิบตั ิ นายกรัฐมนตรีเครเตียง ช่วยเจรจาเรื่องกฎบตั รวา่ ดว้ ยสิทธิในปี 1982 แต่ความคิดน้ีเกิดข้ึนครังแรกตงั แต่ปี 1952เท่ากบั วา่ ตอ้ งใชเ้วลาถึง30ปีเลยทีเดียวเรามีคนอยา่ งนายกรัฐมนตรีเฮลมุทชมิดท์และประธานาธิบดีจิ ส ก า ร ์ ด เ ด ส แ ต ง ผ ชู ้ ่ ว ย ท า ใ ห ้ เ ก ิ ด ก า ร ร ว ม ต วั เ ป ็ น ส ห ภ า พ ย ุ โ ร ป จ า ก ท ี ่ ฌ อ ง โ ม เ น ต ์ เ ค ย ค ิ ด ไ ว ใ้ น ท ศ ว ร ร ษ 2 0 ซ่ึงก็ตอ้ งใชเ้วลา30ถึง40ปีจึงมีการนาแนวคิดนนั มาปฏิบตั ิ 

  ผมขอปิดท้ายด้วยผลงานคร้ังก่อนของสภา ซ่ึงเป็นการทางานร่วมกันกับปฏิญญาว่าด้วยความ รับผิดชอบของมนุษยชนความรับผดิ ชอบของมนุษยใ์ นฐานะที่เป็นผเู้ชื่อมต่อระหวา่ งศาสนาและชาติพนั ธุ์ ต่างๆท่ีเราเริ่มไว้เราเพิ่งจะคิดกนั โดยเราเริ่มตน้ ในปี 1996และ1997แต่ก็ยงั ไม่เป็นที่ยอมรับโดยสิทธิ มนุษยชนหรือมีการลงมติในยเูอ็นแต่นนั่ ไม่ใช่เหตุผลที่จะไม่ทางานกนั ต่อไปเพราะมนั เป็นความคิดที่ป่ียม พลงั มาก เป็นความคิดซ่ึงตอ้ งใชเ้ วลาหลายทศวรรษกวา่ จะบรรลุได้ ผมอยากเสนอต่อสภาน้ีวา่ เราเพิ่งจะเริ่ม ความพยายามของเราและยงัมีอะไรที่จาเป็นตอ้งทาอีกมากดว้ยความเตม็ใจเรามาถูกทางแลว้ 

ศาสตราจารย์ไซคาล: ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจกบั คาว่า“ขนั ติธรรม”นะมนั อาจดีในบางสถานการณ์แต่ โดยรวมแลว้ มนั เหมือนเป็นการยดั เยียดแก่ผูอ้ ื่นผมอยากให้ส่งเสริมการประนีประนอมกนั มากกว่ามนั เหมาะสมกว่า แลว้ ก็อยากจะแสดงความเห็นเกี่ยวกบั ท่านระวี แชงการ์ ซ่ึงพูดถึงเรื่อง ความคบั ขอ้ งใจ และ การถูกลิดรอน เพราะเง่ือนไขแบบน้ีทาให้คนใชค้ วามรุนแรง แต่มนั ก็ยงั มีเหตุผลอื่นอยดู่ ว้ ย เมื่อชีวิตของคุณ และอิสรภาพในสังคมของคุณถูกคุกคามหรือล่วงละเมิดโดยคนนอกมนั ก็นาไปสู่การกระทาที่เป็นการใช้ ความรุนแรงเช่นกนั คาถามท่ีผมอยากทิง้ ไวก้ ็คือ “มีสิ่งที่เรียกวา่ การใชค้ วามรุนแรงโดยชอบธรรมไหม?” 

ผู้ปกครองสังฆมณฑลนคร นิโฟน: จากที่ไดฟ้ ังการอภิปรายและอ่านเอกสารท้งั หมดแลว้ ผมไดถ้ ามตวั เอง เกี่ยวกบั ความจริงท่ีวา่ พวกเขายงั ไม่เคยใชค้ าวา่ “ความรัก” ในความหมายเดียวกบั คาวา่ ขนั ติธรรม เลย ผมไม่ ร ู ้ ว ่ า ท า ไ ม ค ุ ณ ไ ม ่ เ ข า้ ใ จ เ ร ่ ื อ ง ก า ร ย อ ม ร ั บ ด ว้ ย ค ว า ม ร ั ก ห ร ื อ ? ค ุ ณ ไ ม ่ เ ข า้ ใ จ เ ร ่ ื อ ง ค ว า ม เ ป ็ น น ้ า ห น ่ ึ ง ใ จ เ ด ี ย ว ด ว้ ย ความรักหรือ? คุณไม่เขา้ ใจเร่ืองศกั ด์ิศรีในความรักหรือ? คุณไม่เขา้ ใจเร่ืองเสรีภาพในความรักหรือ? คุณไม่ เขา้ ใจเรื่องการประนีประนอมกนั ดว้ ยความรักหรือ? ทาไมเราจึงไม่ใช่มนั ล่ะ? 

นายกรัฐมนตรีเฟรเซอร์: ขอยกตวั อยา่ งจากเร่ืองท่ีผมรู้ดีท่ีสุด เราเคยมีสังคมซ่ึงดารงอย่จู นกระทงั่ ถึงตอน เริ่มตน้ สงครามโลกคร้ังที่สอง ซ่ึงบอกวา่ ถา้ คุณตอ้ งการเป็นชาวออสเตรเลียที่ดี คุณก็ตอ้ งเป็นแบบพวกแอง โกล-แซกซอน-เซลติก (เช้ือสาย องั กฤษ-เยอรมนั -เซลติกหรือไอริช) ถา้ ไม่ใช่ก็ตอ้ งแสร้งทา แมว้ ่าจะมีคน มากมายเดินทางมาถึงออสเตรเลียในทศวรรษ1800จากอฟั กานิสถานจีนและจากทุกๆที่เมื่อสงครามสิ้นสุด ล ง ค น จ า ก ร ้ อ ย ก ว ่ า ป ร ะ เ ท ศ ท วั ่ โ ล ก ก ็ เ ร ิ ่ ม ม า ท ี ่ อ อ ส เ ต ร เ ล ี ย ใ น ส ั ง ค ม ข อ ง เ ร า ข นั ต ิ ธ ร ร ม ม ี ค ว า ม ห ม า ย ต ่ อ ก า ร เป็นคนออสเตรเลียที่ดี คุณตอ้ งไม่ลืมวฒั นธรรมหรือประวตั ิศาสตร์ของคุณ วนั เวลาท่ีแสนพิเศษของคุณ วนั แห่งวฒั นธรรมของคุณ ถา้ คุณตอ้ งการไปเฉลิมฉลองเทศกาลเหล่าน้นั ก็ไดเ้ ลย เพราะนนั่ คือสิ่งท่ีสอดคลอ้ ง กนั กบั การเป็นคนออสเตรเลียที่ดี 
  ดงั น้นั เพื่อให้เกิด ขนั ติธรรม การยอมรับ จึงมีความพยายามปรึกษาหารือกนั เพื่อให้แน่ใจวา่ ผมู้ า ใหม่ทุกคนเขา้ ใจถึงการเป็นคนออสเตรเลียที่ดี คุณตอ้ งไม่ลืมว่าตวั เองเป็นใครและมาจากไหน หรือไม่ลืม ความรักในประเทศบา้ นเกิดของคุณ ผมคิดวา่ สิ่งน้ีสอดคลอ้ งกบั สิ่งท่ี ฌอง เครเตียง พดู ถึงช่วงแรกของวนั น้ี ทีน้ีก็ข้ึนอย่กู บั ว่าคุณจะนิยามสิ่งที่ประสบการณ์ไดส้ อนคุณเก่ียวกบั คาว่า “ขนั ติธรรม” ว่ามนั คือสิ่งที่มีอยู่ ร่วมกนั นอ้ ยที่สุดหรือเป็นสิ่งที่ถูกตีความอยา่ งกวา้ งๆ ผมคิดวา่ คนส่วนใหญ่น่าจะตีความมนั กวา้ งๆ มากกวา่ 


ศ า ส ต ร า จ า ร ย ์ ช า ง : จ า ก ค ว า ม เ ข า้ ใ จ เ ร ่ ื อ ง ถ อ้ ย ค า ข อ ง ผ ม ค ว า ม ร ั ก ม ี ล า ด บั ท ี ่ ส ู ง ก ว า่ ใ น ก า ร ป ้ อ ง ก นั ค ว า ม ว นุ ่ ว า ย ใ น ส งั ค ม ส ่ ง เ ส ร ิ ม ค ว า ม เ ข า้ ใ จ แ ล ะ ค ว า ม ส ง บ ส ุ ข ใ น ส ั น ต ิ จ า เ ป ็ น ต อ้ ง ม ี ข นั ต ิ ธ ร ร ม แ ต ่ ถ า้ ต อ้ ง ก า ร ไ ป ใ ห ้ ไ ก ล ก ว า่ น้นั ก็ตอ้ งมีการยอมรับ และการตอบแทน (ในความคิดของผมมนั คือ การเคารพอยา่ งแทจ้ ริง) ซ่ึงเริ่มเขา้ ใกล้ ความรักแลว้ เพราะฉะน้นั ในระดบั น้ีผมวา่น่าจะใช้ขนั ติธรรมในระดบั ต่าสุดเป็นระดบั เริ่มตน้ 

ท่านศรีศรีระวีแชงการ์:ประเด็นที่วา่การใชค้ วามรุนแรงเป็นสิ่งท่ียอมรับไดห้ รือมีความชอบธรรมไหมผม อยากจะบอกวา่ สงครามคือสิ่งเลวร้ายที่สุดใครก็ตามท่ีเริ่มตน้ สงครามยอ่ มมีเหตุผลของการทาสงครามผม คิดเช่นน้นั เพราะการสื่อสารมนั ล่มสลาย และสัมผสั แห่งมนุษยเ์ กี่ยวกบั วา่ คุณสามารถส่ือสารกบั คนทวั่ ไป อยา่ งไรซ่ึงเป็นทกั ษะของการสื่อสารสูญเสียไปคือหน่ึงในเหตุผลดงั น้นั การใชค้ วามรุนแรงจึงไม่ควรถือวา่ มีเหตุผลสมควรไม่วา่ จะอยา่ งไรก็ตาม 

ดร. เมตตานันโท: ผมคิดว่าคา “ขนั ติธรรม” ตอ้ งเป็นที่เขา้ ใจในฐานะที่เป็นหลกั การขอ้ ที่สองในจริยธรรม ต่อจากความยุติธรรม ถา้ คุณจะให้เหตุผลกบั อะไรก็ตาม คุณจะให้เหตุผลต่อการที่เด็กนอ้ ยถูกทาร้ายต่อหนา้ คุณวา่อยา่งไร?คุณจะมาบอกวา่คุณยงัคงมีความอดทนต่อสถานการณ์เพราะถา้คุณทาเช่นน้นั แสดงวา่คุณมี ความพอใจ ไม่รับผดิ ชอบต่อสถานการณ์ คุณไม่เป็ นธรรม ผมคิดวา่ มนั มีเหตุผลต่อการท่ีคุณไม่สามารถพูด ออกมาวา่ ไม่มีที่สาหรับการใชค้ วามรุนแรงแต่อยา่ งใด ผมคิดวา่ เราตอ้ งถือวา่ ความยุติธรรมคือหลกั การสาคญั ต่อการตดั สินวา่ อะไรผดิ อะไรถูก เหตุผลท่ีอยเู่ บ้ืองหลงั สถานการณ์น้นั ๆ คืออะไร
  ถา้ มีเด็กถูกทาร้ายต่อหนา้ คุณ โดยที่เขาไม่สามารถปกป้ องตวั เองไดเ้ ลย วธิ ีช่วยเหลือก็คือตอ้ งเขา้ ไป แทรกแซงและตอ้ งทาโดยทนั ที คุณจะมาบอกวา่ “เราตอ้ งหยุดเพราะเรามีความอดทน” เพราะนนั่ คือการไม่ รับผดิ ชอบเป็นการปฏิเสธสิทธิในการดารงอยแู่ ละสิทธิต่อชีวติ ของผอู้ ่ืนดงั น้นั ขนั ติธรรมจึงเป็นหลกั การท่ี สองรองจากความยตุ ิธรรม ถา้ คุณแสดงหลกั การของความยตุ ิธรรมอยา่ งถูกตอ้ ง ดว้ ยความเคารพต่อสิทธิและ ศกั ด์ิศรีของผอู้ ื่น เราก็สามารถอดทน เวลาที่เราเห็นสถานการณ์ตรงหน้าเป็นความยุติธรรมและเป็นธรรม ไม่เช่นน้นั แลว้ ก็คงไม่สามารถใชห้ ลกั ขนั ติธรรมในวงกวา้ ง 

ประธาน โอบาซานโจ: ผมคิดวา่ ขนั ติธรรม เพยี งอยา่ งเดียวยงั ไม่พอ เราตอ้ งคานึงถึงสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ด้วยแต่ไม่ว่าเราจะทาอะไรก็ตามสาหรับผมแล้วการตอบแทนต่อกันและกันมีความสาคญั มากๆหลัก มนุษยธรรม ค่านิยม ความมนั่ คงร่วมกนั (ถา้ คุณตอ้ งการให้ตวั เองมีความมนั่ คง คุณตอ้ งคิดถึงความมนั่ คง ของผมดว้ ย) ความเจริญรุ่งเรือง ความรักในกนั และกนั การประนีประนอมยอมกนั ความเคารพ การยอมรับ และแน่นอนการอยใู่ นสังคมร่วมกนั สิ่งที่เรามีอยรู่ ่วมกนั และความกลมเกลียว ท้งั หมดน้ีข้ึนอยกู่ บั ความเป็น ผ นู ้ า ท ่ ี ด ี แ ล ะ เ ป ็ น แ บ บ อ ย า่ ง ท ี ่ ด ี ไ ม ่ ว า่ จ ะ เ ป ็ น ผ นู ้ า ท า ง ก า ร เ ม ื อ ง ศ า ส น า ห ร ื อ แ ม แ้ ต ่ ผ นู ้ า ใ น ช ุ ม ช น ก ็ ต า ม ผ ม ค ิ ด ว า่ ถา้เรามีได้ก็แสดงวา่เราอยบู่ นเส้นทางสู่สังคมใหม่แลว้


THAILAND Ver.